ในที่สุดการรอคอยที่แสนจะยาวนานก็สิ้นสุดลง หลังจากประตูท้ายเครื่องบิน C - 123 ของกองทัพอากาศที่บินอยู่ในระดับสูงจากสนามกระโดดร่ม ศูนย์การทหารราบ ระดับ 3,500 ฟุต เปิดออก พร้อมกับเสียงดังสนั่นดั่งมาจากนรกของเครื่องยนต์และเสียงลมที่พัดภายนอกเครื่องบินจนทำให้พูดกันไม่รู้เรื่อง หลังจากครูยอง หรือ จ่าสิบเอกลำยอง แห่งแผนกจู่โจมและส่งทางอากาศ โรงเรียนทหารราบ ผู้สอนวิธีการดึงร่มแบบกระตุกเองที่ผมฝึกอยู่ใต้ต้นมะขามเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาให้สัญญาณลุกขึ้น
เที่ยวบินเที่ยวนี้ มีนักเรียนกระโดดร่มแบบกระตุกเองที่วันนี้จะมีการตัดสายครั้งแรกหรือที่เรียกแบบเข้าใจง่าย ๆ คือ "ครั้งนี้ถ้ามึงไม่ดึงห่วงร่มเอง มึงตายแน่" ประมาณ 5 - 6 คน โดยมีผมตอนนั้นยศร้อยเอกเป็นผู้อาวุโสที่สุดของกลุ่ม และจะเป็นคนแรกที่จะหลุดลอยจากท้ายเครื่องบินลำนี้เป็นคนแรก
ผมเองย้ายมาจากกองพันทหารราบที่บางเขนมาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนทหารราบเมื่อ 1 มกราคม 2533 ตามสัญญาที่ต้องมาใช้ทุนที่ไปเรียนชั้นนายร้อยทหารราบที่สหรัฐ และย้ายมาด้วยความเต็มใจเพราะสอบได้หลักสูตรชั้นนานพันทหารราบสหรัฐ ที่กำลังเตรียมตัวเดินทางในอีก 1 ปีข้างหน้า โรงเรียนทหารราบบรรจุให้ผมเป็นอาจารย์แผนกวิชาทั่วไป ที่เป็นแผนกที่สอนวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับทหารราบ แม้ว่าผมจะเรียนได้ลำดับ 1 จากหลักสูตรชั้นนายร้อยทหารราบ สหรัฐมา โดยที่ผมไม่ทราบเหตุผลการบรรจุที่ตำแหน่งนี้ แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรมากนัก ผมอยู่ที่แผนกนี้ได้สามเดือน หลังจากไปกวาดวิชาสอนทั้งแผนที่และภาษาอังกฤษ จากอาจารย์ท่านอื่น ๆ มาสอนเองหลายหลักสูตร อาจารย์สุรินทร์ เจ้าตำรับผ่าโลกของกองทัพบกไทย ก็มาบอกว่าผมควรจะหาทางย้ายไปแผนกจู่โจมและส่งทางอากาศน่าจะเหมาะสมและมีความก้าวหน้ามากกว่า
ช่วงนั้นแผนกจู่โจมและส่งทางอากาศมีเสือดิ่งเป็นอาจารย์หัวหน้าแผนก มีพี่ดนัยจากลพบุรีย้ายมาใช้ทุนหลักสูตรชั้นนายพันสหรัฐแบบผมที่แผนก ซึ่งท่านทั้งสองเป็นนักโดดร่มแบบดิ่งพสุธามาหลายครั้งและยังคงโดดอยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังส่งเสริมปลุกเร้าให้กำลังพลในค่ายธนะรัชต์ทุกชั้นยศ และทั้งชายและหญิง รวมทั้งพลเรือนเข้ามาฝึกโดดร่มและเข้าชมรมดิ่งพสุธาของศูนย์การทหารราบที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ (มีพลเรือนชื่อรัฐที่พึ่งจบปริญญาตรีจากสหรัฐ และชาวไร่อ้อยที่เป็นผู้หญิงมาสมัครเข้าชมรมด้วย)
หลังจากที่อาจารย์สุรินทร์พูดกับผมสองสามหนให้ผมย้ายแผนก ผมก็ได้มีโอกาสเจอกับพี่ดนัยซึ่งพี่ดนัยก็เอ่ยปากชวนผมไปอยู่ด้วย คงอาจเป็นที่ผมใจง่ายหรือเปล่าไม่ทราบ หลังจากพี่ดนัยพาผมไปพบเสือดิ่ง วันรุ่งขึ้น 1 เมษายน 2533 หลังจากผมขออนุญาตอาจารย์หัวหน้าแผนกวิชาทั่วไปแล้ว ผมก็ไปทำงานวันแรกที่แผนกจู่โจมและส่งทางอากาศ ซึ่งกำลังพลหลายนายมีขีดความสามารถพิเศษที่ผมไม่มีมาก่อนและไม่เคยคิดจะมีก็คือการโดดร่มดิ่งพสุธา แต่เมื่อเข้ามาแล้วพึ่งมาทราบภายหลัง ผมจะต้องพิสูจน์ความสามารถด้วยการเข้าชมรมดิ่งพสุธาเช่นกัน (ซึ่งไม่รู้จะพิสูจน์ไปทำไม) ในช่วงรอคำสั่งปรับย้ายเดือนตุลาคม การเข้าชมรมทางแผนกจะจัดครูฝึกให้แบบไม่ต้องมีหลักสูตรใดใด ระหว่างนั้นก็ให้ลงนามในสัญญาว่าจะสมัครใจที่จะโดดร่มแบบดิ่งพสุธาเองและไม่เอาผิดฟ้องร้องใครหากเกิดอุบัติเหตุ ผมเองไม่ต้องคิดนาน เอาเลยเซ็นต์รับสภาพไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีในเรื่องการเรียนชั้นนายพันที่สหรัฐที่เป็นความต้ังใจก่อนการย้ายมาค่ายธนะรัชต์ และที่สำคัญคือไม่ได้บอกให้พ่อแม่หรือคนที่รักทราบให้ต้องเป็นห่วงโดยช่วยอะไรไม่ได้
การฝึกพื้นฐานการโดดดิ่งพสุธาของผมเริ่มหลังจากเปิดการฝึกหลักสูตรส่งทางอากาศของศูนย์การทหารราบไปได้สักระยะหนึ่ง โดยช่วงเช้าและบ่าย ผมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายทหารยุทธการและการฝึกของหลักสูตร คือพี่ดนัยในการฝึกนายทหารนายสิบทั่วไปในการโดดร่มแบบสายดึงประจำที่เย็น ๆ ก็จะมีพี่ดนัย ครูยองและจ่าเล็กมาฝึกแห้งท่าทรงตัวกลางอากาศให้กับผมที่ใต้ต้นมะขามข้าง ๆ หอโดด 34 ฟุต ผมฝึกไปก็ยังรู้สึกงงอยู่ในใจว่านี่ผมสับสนหรือเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าที่มาฝึกดิ่งพสุธาในตอนนี้ จนเวลาผ่านไปจนถึงวันตัดสายครั้งแรก ที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งคืน ทั้งคืนผมนอนอยู่ที่บ้านพักห้องแถวเก่าแก่ของ ศูนย์การทหารราบ ซึ่งมิอาจข่มตาให้หลับได้จนฟ้าสาง ผมเองไม่ได้นอนแม้แต่งีบเดียวเพราะความสับสนในสมองทั้งคืน แต่ยังไงผมก็ต้องไป อาบน้ำ แต่งตัว ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปที่แผนก รับร่มและตรวจความเรียบร้อยแบกขึ้นบ่า แล้วก็ไปขึ้นรถเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินหัวหิน นับเวลาถอยหลังสู่เวลาที่ผมจะหลุดลอยออกจากเครื่องบินสู่เวหาที่ไม่มีกิ่งก้านให้เกาะเกี่ยว
ครูยองให้สัญญาณเตรียมพร้อมแล้ว ผมลุกขึ้นเดินไปที่ปลายแรมแล้วค่อย ๆ กลับหลังหัน ให้หน้าหันไปตามเครื่องบิน ครูลำยองเอาเชือกร่มขนาดใหญ่ผูกติดตัวกับสายสลิงของเครื่องบินแล้วนั่งคุกเข่ากอดขาผมไว้ พร้อมกับชะโงกหน้ามองลงไปที่พื้นด้านล่างของสนามโดดเพื่อมองหาผ้ารูปตัวที (T) ที่ปูเป็นสัญลักษณ์จุดปล่อยนักโดดร่มที่พื้นด้านล่างสลับกับไฟสัญญาณสีแดงที่เปลี่ยนเป็นเขียวภายในลำตัวเครื่องบิน
เมื่อได้จังหวะพร้อมแล้วครูลำยองปล่อยมือที่กอดขาผมแล้วตะโกนตะเบ็งเสียงคำว่า "โดด" แข่งกับเครื่องยนต์เครื่องบินพร้อมกับตบที่ขาผมเป็นสัญญาณให้ผมเดินถอยหลังเพื่อให้ลมช่วยดูดออกจากท้ายเครื่องบินวินาทีนี้ช่างเป็นวินาทีที่ใจผมสามารถตัดขาดออกจากโลกและคนที่ผมรักหรือเกลียดได้อย่างเด็ดขาดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมความคิดที่ว่า "ผมบ้าไปแล้วที่ทำแบบนี้" เมื่อสักครึ่งชั่วโมงก่อนที่ผมแต่งร่มรอก่อนที่เครื่องบินจะพาผมเหินสู่เวหา โดยที่ผมไม่มีความกล้าที่จะตัดสินใจเปลี่ยนใจไม่ขึ้นเครื่องซึ่งจะเป็นสิ่งน่าอายอยู่บ้าง แต่เป็นวิธีที่ทำให้ผมปลอดภัยเพื่อให้ผมเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ผมย้ายจากกองพันทหารราบมาเป็นอาจารย์แผนกวิชาทั่วไปของโรงเรียนทหารราบ แต่ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนใจ
วินาทีนี้ผมต้องลืมทุกเรื่องให้หมด ยกเว้น "ถ้ามึงไม่ดึงห่วงร่ม มึงตายแน่" เท่านั้น ผมปล่อยเท้าทั้งสองของผมให้เลื่อนหลุดออกจากขอบแรมเครื่องบิน เสียงฟู่ของลมดังผ่านหูของผมทะลุหมวกกันน็อคมันเป็นเสียงที่ไม่อาจบอกได้ว่ามันเป็นเสียงจากสวรรค์หรือนรกกันแน่ แต่ผมต้องไม่สนใจ ร่างผมปลิวออกไปแล้ว ท่าทางที่ร่างกายแขนขาแอ่นคว่ำหน้าลงเป็นแบบขนนกเพื่อให้ตัวตกลงมาแล้วไม่หมุนควงสว่าน ซึ่งอาจทำให้ร่มพันตัวได้หากร่มเปิดออก เป็นสิ่งที่ผมต้องไม่เพียงแต่นึกแต่ผมต้องทำให้ได้เหมือนที่รับการฝึกมา "หนึ่งพันหนึ่ง หนึ่งพันสอง หนึ่งพันสาม หนึ่งพันสี่ จับ (ห่วง) ดึง" ผมหุบมือทั้งสองที่กำลังถลาลมว่าจับที่ห่วงร่มบริเวณหน้าอกด้านขวา กำแน่น แล้วดึงอย่างสุดแรงเกิด
สลักที่ขัดแผ่นปิดผ้าร่มที่ผูกติดกับห่วงร่มของผมถูกดึงออกตามแรงที่ผมดึงห่วง ร่มนำที่เป็นสปริงเป็นอิสระเด้งออกอย่างแรง แล้วดึงให้ร่มหลักตามออกมา เสียงผ้าร่มหลุดออกจากแผ่นผ้าที่รัดร่มกินลมเสียงแผ่นผ้าร่มปะทะลมดังผึบผับ แล้วกางกินลมดึงตัวผมให้ลดอัตราเร็วที่พุ่งตกลงไปยังพื้นโลกให้ชะลอตัวลง ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าเหมือนกับเหยี่ยวถลาลม แล้วค่อย ๆ ลดระดับลงจนมายืนที่พื้นดิน สนามโดดร่ม ที่มีชาวบ้าน พลเรือนนอกค่ายและครอบครัวกำลังพลที่ทราบข่าวการโดดร่มได้ขับขี่รถต่าง ๆ มายืนรอดูก่อนการโดดหลายชั่วโมงอยู่หลายคน
ซึ่งถ้าคนดูเหล่านี้ในใจคิดเหมือนกับที่พี่ดนัย คนชวนผมย้ายมาอยู่ที่แผนกจู่โจมและส่งทางอากาศบอกไว้ระหว่างการฝึกว่า "คนดูที่เขามาดูการโดดร่มซึ่งเขามากันจากที่ไกล ๆ นั้น เพราะเขาอยากเห็นคนร่มไม่กาง" ซึ่งถ้าเป็นจริงตามนั้นแล้วละก้อ ผมต้องขอบอกว่า "เสียใจด้วยนะเฟ้ย งวดนี้พวกมรึงผิดหวังกันไปก่อนแล้วกันนะ ร่มตรูกางโว้ย"
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์


