8 พฤษภาคม 2521 วันนี้ผมและเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนกว่า 700 นาย ได้ก้าวเข้าประตูรั้ว โรงเรียนเตรียมทหารที่เด็กหนุ่มนับหมื่นในแต่ละปีใฝ่ฝันที่จะเดินเข้ามาอย่างพวกเรา ในฐานะนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 21ผมเองกับเพื่อน ๆ อีกหลายร้อยนาย อายุเฉลี่ย 16 - 17 ปี และถ้าไม่คิดมากก็สามารถเรียกตัวเองว่าเด็กบ้านนอกก็น่าจะได้ เพราะมาจากต่างจังหวัดกันและพ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นตาสีตาสายายมียายมากันไม่น้อย วันนี้เป็นวันแรกของการเรียน ผมเองออกจากบ้านที่พักซึ่งอาศัยอยู่กับลูกป้าที่สุดซอยองครักษ์ บางกระบือ ตอนหกโมงเช้า นั่งรถสาย 55 จากถนนอำนวยสงครามไปต่อสาย 4 ที่สามย่าน จากการที่ทดลองนั่งมาแล้วคิดว่าคงถึงโรงเรียนไม่เกิน 7 โมงเช้าแล้วค่อยหาข้าวเช้ากินตามที่เคยเป็นนักเรียนมัธยม ต่อจากนั้นก็เดาว่าคงเป็นหน้าที่ของครูที่สอนหนังสือจะเอายังไงกันต่อก็คงไม่เป็นปัญหา
การแต่งกายของผมในตอนนั้นเรียกว่าชุดนักเรียนใหม่ ตัดผมข้างสั้น ด้านบนยาวสัก 5 เซนติเมตร ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม เข็มขัดกากีแกมเขียวหัวเข็มขัดทองเหลือง รองเท้าหนังหุ้มส้นผูกเชือกสีดำ ถุงเท้าดำ กระเป๋าหิ้วสีดำแบบมีซอกข้าง เดินออกจากบ้านอย่างมีความสุข เมื่อไปถึงหน้าโรงเรียนก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติ เพราะเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่เข้าไปในโรงเรียนกันแล้ว แต่ยังไม่ไปถึงไหนคงอยู่หน้าอาคารเรียนที่เรียกว่าอาคารตัววายกันโดยเข้าแถวและมีรุ่นพี่ที่เป็นนักเรียนบังคับบัญชายืนสั่งการล้งเล้งอยู่หลายคน ผมก็ยังไม่คิดอะไรมากก็เดินเข้าไปสมทบ แล้วก็แปลกใจมากขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของเพื่อนที่เข้าแถวอยู่ก่อนหน้ามีลักษณะวิตกกังวลเป็นส่วนใหญ่โดยไม่พูดไม่จากัน
ในวันแรกที่เข้าไปจะเป็นการชี้แจงการปฏิบัติที่พิลึกพิลั่นจากนายทหารปกครองและนักเรียนบังคับบัญชาแบบที่ไม่เคยคาดว่าจะมีแบบนี้กันมาก่อน เช่น การปฏิบัติตัวของพวกเราวันแรกทำผิดกันมากแต่วันนี้เป็นวันแรกจะยกโทษให้ก่อน วันพรุ่งนี้ให้ตัดผมที่ผมคิดว่าสั้นอยู่แล้วให้ด้านบนยาวไม่เกินครึ่งเซนติเมตรเรียกว่าใช้นิ้วสองนิ้วจับไม่ติด มาถึงโรงเรียนก่อนเวลา 05.15 น. โดยกินอาหารเช้ามาให้เรียบร้อยก่อนเข้าโรงเรียน เวลาออกนอกโรงเรียนต้องติดกระดุมคอเสื้อ เวลาเดินต้องเดินเป็นคู่เท้าพร้อมกัน ห้ามขึ้นลงรถหน้าโรงเรียน เวลาเจอรุ่นพี่ต้องหยุดแล้วม้วนกระเป๋ายกมือไหว้ คอยรถเมล์ให้ยืนเข้าแถวตามระเบียบพักนอกชายคา ขึ้นรถเมล์ให้ขึ้นด้านประตูหลังแล้วห้ามนั่ง ขัดรองเท้าให้ขัดส้นรองเท้าและพื้นด้านล่างของรองเท้าด้วย และอีกสารพัดสารพันแบบหมดปัญญาจำ
ผมเองเป็นคนกินข้าวเช้าแต่จะมาวันนี้ละมั้งในชีวิตที่เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้กินข้าวเช้า ซึ่งเป็นการสอนบทเรียนให้กับชีวิตให้รู้จักเตรียมการและพร้อมต่อสิ่งที่คาดไม่ถึง ในตอนสายมีการแบ่งหมวดและกองร้อย และตอนเรียน ผมเองเขาจัดให้เป็นลำดับที่ 1 ของตอนหรือห้อง 6 ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตอนซึ่งมีความรับผิดชอบต่อตอนและเพื่อน ๆ ตาดำ ๆ ในตอนอีก 30 กว่าคน (หลังจากผ่านมาได้สักพักก็มาคิดตอนหลังว่าแค่เอาตัวเองให้ไปได้ตลอดรอดฝั่งยังแย่เลย มรึงยังมาให้กรูดูแลรับผิดชอบคนอีกสามสิบกว่าคนอีก) สำหรับในสายการปกครองเป็นหมวด 2 กองร้อยที่ 1 กองพันที่ 3 กรมนักเรียน โดยมีรายชื่อผู้บังคับบัญชาในสายการบังคับบัญชาและใกล้เคียงที่ต้องท่องจำให้ได้คือ ผู้หมวด ผู้กอง หัวหน้าหมวด หน้าหน้ากอง หัวหน้านักเรียน เท่าที่พอจะจำได้ตอนนี้ ก็มี นาวาอากาศเอกถาวร นาวาอากาศโทเฉลิมพล เรืออากาศเอกสถิตย์ เรืออากาศเอกสุธรรมพงษ์ ร้อยเอกประเสริฐศักดิ์ ร้อยตรีชัยกิจ ร้อยตรีณัฐกนิษฐ์ นักเรียนเตรียมทหารณรัชต์ นักเรียนเตรียมทหารณฤทธิ์ นักเรียนเตรียมทหารสมมาตร นักเรียนเตรียมทหารนิวัติ นักเรียนเตรียมทหารวัชรปราณี นักเรียนเตรียมทหารสุเทพ เป็นต้น
วันแรกทางโรงเรียนปล่อยกลับบ้านไม่เย็นมากนักผมกลับไปก็รีบตัดผมก่อน ซึ่งเข้าไปนั่งรอที่ร้านตัดผมปากซอยช่างก็ไม่ยอมเรียกสักที จนต้องเดินไปถามว่าเมื่อไรจะถึงคิว เขามองหน้าคงนึกว่าผมพูดเล่นเพราะพึ่งตัดไปเมื่อสองวันก่อนผมก็สั้นแสนสั้นไม่รู้ว่าจะสั้นไปมากกว่านี้ได้ยังไง ผมก็บอกว่าเอาเฮอะน่าตัดให้เหลือครึ่งเซ็นพอ ช่างบอกว่าแบบนี้โกนหัวดีกว่ามั้ง ผมบอกว่าไม่ได้เอาแบบที่บอกนี่แหละ หลังจากตัดเสร็จก็ไปหาอาหารมาตุนก่อนกลับไปขัดรองเท้าแบบเติมน้ำและหัวเข็มขัดตามที่พึ่งได้รับการสอนเทคนิคการขัดมาวันนี้
วันรุ่งขึ้นหลังจากวางแผนย้อนหลังที่ต้องให้ไปถึงหน้าโรงเรียนก่อนเวลา 05.15 น. ผมต้องตื่นตอนตี 4 ตั้งนาฬิกาปลุกแบบเข็มไขลานแล้วต้องทะลึ่งพรวดไม่นอนต่อแล้วค่อย ๆ ย่องออกจากที่นอนที่ปูกับพื้นและมุ้งหัวบันไดชั้นสองของบ้านด้วยความเกรงใจลูกป้า ลงมาล้างหน้าเข้าครัวแล้วทอดไข่ดาวในความมืดแล้วแปะลงไปในขนมปังแผ่นคู่ที่ทาด้วยน้ำพริกเผา พยายามกระเดือกกินให้ได้ 2 คู่ ตามด้วยน้ำในตู้เย็นให้คล่องคอขึ้นอีกหน่อย ก่อนอาบน้ำแต่งตัวให้แล้วเสร็จภายในเวลา 04.30 น. จากนั้นก็ไขประตูรั้วบ้านออกจากบ้านเดินออกมาปากซอยใช้เวลาสักสิบนาที เพื่อมารอขึ้นรถเมล์สาย 16 หน้าร้านน้อมจิตต์แทนสาย 55 เพราะสาย 55 ไปไม่ทัน มาเปลี่ยนรถที่หน้าสภากาชาดไทย อังรีดูนังค์ ไปถึงหน้าโรงเรียนเวลาตีห้าเศษ ๆ กะว่าไปถึงไม่มีใครแน่ แต่เดาผิดตามเคยเพราะมีเพื่อน ๆ มายืนตามระเบียบพักเข้าแถวหันหน้าสลอนส่วนใหญ่ยืนตัวแข็ง บางคนยุงกัดก็แอบเอามือมาลูบแขนไล่ยุงออกรวม ๆ แล้วนับสิบคน โดยมีรุ่นพี่ยืนอยู่หลังประตูรั้วคอยจ้องมองคนขยับตบยุงอยู่เพื่อที่จะเอามาเล่นงานตอนเปิดประตูเวลา 05.15 น.
การปฏิบัติตัวของผมในสองสามสัปดาห์แรกเป็นที่น่าแปลกใจต่อตัวผมเป็นอย่างยิ่งเพราะทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่ว่าขนจมูกยาก หัวเข็มขัดด้านในไม่มัน ส้นรองเท้าไม่ขัด ถุงเท้ายาวไม่เท่ากัน จอนไม่กัน เสียงไม่ดัง ตบเท้าไม่เข้มแข็ง อกไม่ยืด บอกตรงไม่ทัน จำชื่อพี่ไม่ได้ ซอกกระเป๋ามีตั๋วรถเมล์ หน้าไม่ทันสมัย แถมด้วยความรับผิดชอบลูกตอนที่ผมต้องรับผิดชอบร่วมด้วยเวลาลูกตอนบอกพี่ ๆ ว่าหัวหน้าตอนยังไม่ได้บอกตามที่หัวหน้าหมวดสั่งมา เช่น พี่เขาฟ้องมาว่าเจอน้องกินน้ำเก๊กฮวยแต่หาตัวไม่เจอ รวมแถวช้า ฝึกไม่ได้เรื่อง วันหนึ่งหลายสิบรายการทั้งเช้าทั้งเย็น และเวลาฝึก ซึ่งการแก้ไขก็คือการทำโทษ ด้วยการยึดพื้น และงอเข่าครึ่งนั่ง (คล้าย ๆ สลับเข่า) รวม ๆ แล้ววันหนึ่งน่าจะเป็นพันครั้ง (รายการกอดคออบไอน้ำในตอนรายการเดียวก็งอเข่าสองสามร้อยครั้งแล้ว)
และด้วยผมเป็นเด็กเพชรบุรี มาใหม่ ๆ ก็ยังพูดสำเนียงเพชรบุรีเช่นเดิม ซึ่งเวลารายงานตัวขออนุญาตผ่านผู้อาวุโสในโรงเรียน หรือเรียกแถวก็เป็นที่เฮฮาและขำกันทั้งนักเรียนบังคับบัญชาและลูกตอน บางครั้งอดกลั้นไม่อยู่ก็ทำให้ถูกแดกหรือถูกซ่อมแบบที่เรียกว่ารับผิดชอบร่วมกันเป็นพิเศษกว่าหมวดใกล้เคียง ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานให้แก่พี่ ๆ แต่พวกผมเหนื่อยกันเป็นประจำ และจากการเป็นหัวหน้าตอนและสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ หัวหน้าหมวด หัวหน้ากองมักคอยดึงตัวผมออกจากกลุ่มมาเป็นพิเศษด้วย เช่น ในตอนเช้าขนาดมาถึงโรงเรียนตีห้ากว่า แต่กว่าจะได้ถึงตอนเรียนที่ห่างจากประตูไม่ถึง 500 เมตร ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง คือ 7 โมงเช้า ตบฉากและงอเข่ากันอยู่นั่นเหละ กว่าจะผ่านท่อน้ำดับเพลิงข้างโรงพละที่มีหมวดแป๊ะเฝ้าอยู่ได้ก็เดินเป็ดรอบสระน้ำและเอากระเป๋าขัดหลังเดินตบฉากกันหลายรอบ อยากจะเป็นเวรประจำตอนแบบเพื่อน ๆ เพื่อเป็นบัตรผ่านทางด่วนก็ไม่มีเงินซื้อดอกไม้ และถ้าไม่รวมแถวตอนเจ็ดโมงเช้าคงตบเท้ากับเดินเป็ดไปเรื่อย ๆ ตอนเย็นก่อนออกจากประตูโรงเรียนพี่ ๆ นักเรียนบังคับบัญชาที่เป็นนักเรียนประจำซึ่งพักในโรงเรียน ก็มาคอยดักเล่นกับน้อง ๆ โดยเพื่อนผมคนอื่นเขาออกไปกันหมดแล้ว แต่ผมเองต้องแถมด้วยการถูกดึงตัวออกมาจากแถว มายึดพื้นอยู่หน้าประตูทางออกช่องเล็ก รอจนหกโมงเย็นจึงออกเป็นชุดสุดท้าย เพราะพี่ ๆ ต้องไปกินข้าวตามเวลาที่โรงเลี้ยงกำหนด เป็นต้น
ผมเดินออกมาจากประตูเล็กของโรงเรียนเตรียมทหาร (เพื่อนบอกว่า ไม่น่าเรียกว่าโรงเรียนหรอกน่าจะเรียกว่า 'น..' (เติมเอาเอง) มากกว่า" แล้วมายืนคอยรถเมล์ตรงข้ามสวนลุมพินี กำเงินค่ารถเมล์บาทห้าสิบ ด้วยมือซ้ายที่ถือกระเป๋าไว้แน่นไม่ให้ตกโดยเฉพาะเวลาม้วนกระเป๋ายกมือไหว้รุ่นพี่ที่ผ่านมา เพราะถ้าตกแล้วอาจมีเรื่องได้ถ้าเก็บขึ้นมา จากนั้นก็นั่งรถเมล์ฝ่ารถติดสองต่อมาถึงบ้านประมาณสองทุ่ม ตอนลงรถเมล์แต่ละครั้งเหมือนธรณีสูบเพราะทั้งขาและเข่าอ่อนหมดแรงจากการงอเข่ามาทั้งวัน จะซื้อของติดเข้าไปกินก็ไม่ได้เพราะกลัวพี่เจอแล้วเอาไปฟ้อง สิ่งแรกเมื่อถึงบ้านก็ถอดเสื้อผ้าแล้วรีบย้อนออกไปร้านอาหารตามสั่งร้านลุงใกล้บ้านกินก่อนร้านปิดแล้วกลับมาขัดรองเท้าเครื่องหมาย
เรื่องอ่านหนังสือที่เคยชอบเป็นชีวิตจิตใจก่อนเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารตอนนี้ลืมไปได้เลยไม่ต้องอ่านเพราะไม่อ่านก็ไม่ถูกแดก เอาเรื่องความเป็นความตายคือ ทำรองเท้าเครื่องหมายมันก่อน ขัดไปหลับไป เสร็จแล้วก็ซักเสื้อผ้าที่สกปรกทุกวัน แล้วก็รีดชุดใหม่ที่ตากค้างไว้ วันไหนแจ็คพ็อดมีแถมคัดชื่อพี่ ๆ บนกระดาษชำระ กว่าจะได้นอนก็เกือบห้าทุ่มโดยไม่ต้องข่มตาให้หลับเพราะไม่มีแรงจะลืมตาอยู่แล้ว จากนั้นก็เตรียมตัวตื่นตีสี่กันใหม่
จำได้ว่าคืนหนึ่งด้วยความวิตกจริตนอนไปได้สักพักหนึ่งก็สะดุ้งตื่นดูนาฬิกา เห็นเข็มชี้เลข 5 กับเลข 11 คิดว่าตีห้าแล้ว แต่นาฬิกาเบี้ยวไม่ปลุกกระโดดพรวดจากที่นอนไม่ต้องกินและอาบน้ำแล้ว ไม่ฟังอีร้าคร่าอีลมแต่งตัวแล้วออกมายืนคอยรถเมล์เลย ใจก็คิดว่าวันนี้กรูซวยอีกแล้ว พอมาถึงป้ายรถเมล์เห็นคนเดินลงจากรถเมล์กันตรึมผิดกว่าทุกวัน ร้านรวงที่เคยปิดหลายร้านก็ยังเปิดขายอาหารกันอยู่ เอะใจเลยถามเวลาคนที่เดินไปมาอีกทีเพราะระเบียบไม่ให้นักเรียนใหม่ใส่นาฬิกาข้อมือ เวรเลยตูดันดูเข็มนาฬิกาสลับกัน จากเวลาจริง 23.25 นาฬิกา เป็น 4.55 นาฬิกา เลยต้องเดินกลับบ้านมานอนใหม่ ลูกป้าที่อยู่ด้วยตื่นมาพอดีเห็นตอนกลับมาแล้วก็งง ๆ ถามว่าเมื่อตอนค่ำเห็นกลับมารอบแล้วนี่ ผมเองได้แต่ยิ้ม ๆ แล้วก็ตอบว่า "ใช่แล้ว" ก่อนกลับไปกางมุ้งนอนใหม่อีกรอบ
ในห้วงเดือนแรกที่เป็นนักเรียนใหม่นั้น ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การได้รับการฝึกความอดทนแบบทหารตั้งแต่อายุ 16 ปีกว่า ๆ ของผม ที่ต้องทำกันกลางแดด ผมและเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไม่เคยใส่รองเท้าหนังหรือรองเท้าคอมแบ็ทถูกรองเท้ากัดจนเลือดเปียกถุงเท้า บางคนทนไม่ได้ต้องถอดออกมาแขวนคอนั่งอยู่ข้างสนามฝึกคอยก้มลงกราบเวลาเพื่อนที่ฝึกวิ่งผ่านมา เวลาค่ำคืนที่มนุษย์ทั่วไปเขาพักผ่อนหลับฝันหวานกันอยู่แต่เราต้องอดหลับอดนอนกันเพื่อทำให้รองเท้ามันที่สุด
"ใครทนไม่ได้ ลาออกไป" เป็นคำท้าทายที่มีให้ได้ยินเกือบทุกเวลา "ใครจะลาออกวะ ใครออกก็โง่แล้ว" ผมมักคิดอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม ก็มีเพื่อนหลายคนยอมแพ้ต่อสถานการณ์และหายไปจากกลุ่มเพื่อน ๆ และหมดสภาพการเป็นนักเรียนเตรียมทหารไป หลายคนที่น้ำตาไหลรินต่อสภาพกดดันที่ตนเองไม่เคยได้รับมาก่อน แต่สำหรับผมในตอนนั้น ความคิดของผมมีอยู่อย่างเดียวว่า "อย่าไปหวังพึ่งใคร ผมต้องฝ่าฟันไปให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมต้องอดทน อดกลั้น และใจเย็น แก้ปัญหาทุกอย่างที่มันเข้ามาให้ได้ ผมจะต้องไม่แพ้ ผมจะต้องไม่ล้ม ผมจะต้องเดินเข้าไปหาความยากลำบากและเอาชนะมันให้ได้"
ผมเองไม่ทราบว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่มาจากท่ายางบ้านเกิดและสอบเข้าได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารคนเดียวของอำเภอในปี 2521 การที่ผมหลุดมาคนเดียวย่อมไม่มีใครเป็นเพื่อนคู่คิดทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหรือให้กำลังใจ และไม่มีใครช่วยผมได้หากผมตัดสินใจผิดพลาด ดังนั้น ผมจะต้องไม่ทำร้ายตนเองด้วยการลาออก หรือทำผิดระเบียบร้ายแรง ซึ่งนั่นจะเป็นการทำร้ายพ่อแม่คนที่ผมรักและบูชาที่สุดไปด้วย และสิ่งที่ผมจะต้องทำให้ได้คือ ผมจะต้องไม่ร้องไห้ให้คนอื่นเห็น แม้ว่าผมจะได้รับความกดดันหรือเจ็บช้ำน้ำใจจากการปฏิบัติหน้าที่ของพี่ ๆ ที่เขาได้รับมอบหมายความรับผิดชอบมา แม้ว่าความเจ็บใจของผมจะมีมากมายเพียงใดผมก็ต้องกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลให้ได้
การเปิดเรียนในเดือนพฤษภาคมนับว่าเป็นโชคดีของผมเป็นอย่างมากเพราะเป็นเริ่มต้นของฤดูฝนที่ฝนตกหนักแทบทุกวัน และถ้าฝนตกหนักหลังจากหกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่ผมเดินออกจากประตูโรงเรียนด้วยเครื่องแบบที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเปียกโชกและกลิ่นอับเพื่อไปขึ้นรถเมล์ด้วยแล้วผมจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะในขณะที่ผมเดินฝ่าพายุที่พัดกระหน่ำและฝนที่ไหลเทลงมาดั่งฟ้ารั่วที่ทำให้ผมเปียกไปทั้งตัว โดยที่ผมไม่หลบหรือกางร่มเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งของพี่ ๆ ที่บอกว่า "นักเรียนเตรียมทหารไม่ใช่เกลือหรือน้ำตาลที่ละลายไปกับน้ำ" เวลาผมเดินผ่านคนที่ยืนกางร่มหรือหลบอยู่ใต้หลังคาที่คอยรถเมล์แล้ว เขาคงมิอาจรู้หรือแยกแยะได้ว่า น้ำที่อยู่บนใบหน้าและกำลังอาบแก้มผมอยู่นั้น มันเป็นน้ำฝนเป็นหรือน้ำตาของลูกผู้ชายกันแน่
8 พฤษภาคม 2555 ฝนเริ่มตกแล้วอันเป็นสัญญาณการเข้าหน้าฝนเหมือนเมื่อ 34 ปีที่ผ่านมา โรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนของลูกผู้ชาย โรงเรียนที่สร้างสัมพันธภาพของเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 21 กว่า 700 นาย ได้อย่างยืนยาวและเหนียวแน่นกว่าโรงเรียนใด ๆ ของพวกเรายังคงอยู่ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนไปจากเดิมหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้ง ผู้บังคับบัญชา ครูอาจารย์ที่เกษียณไปกันหมด น้องใหม่ที่บางนายอาจจะเป็นลูก ๆ ของพวกเราบางคนที่แข่งขันกันเข้ามาเดินตามรอยเท้าพ่อหลังจากฟังเรื่องราวชีวิตสมัยนักเรียนของพ่อที่เล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติของสรรพสิ่ง หากแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ผมและเพื่อนหลาย ๆ นาย รวมทั้งผมเชื่อว่าพี่ ๆ น้อง ๆ แต่ละรุ่นที่จบจากโรงเรียนแห่งนี้คิดและหวังที่จะให้มันคงอยู่และควรจะอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านานคู่กับโรงเรียนเตรียมทหาร ก็คือ โรงเรียนแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตนักสู้ที่ไม่มีวันยอมแพ้ต่อความลำบากและโชคชะตา แม้ในบางครั้งจะรู้ว่ารางวัลสุดท้ายที่ได้รับจากการต่อสู้นั้นคือ ความว่างเปล่า ความพ่ายแพ้หรือแม้แต่ความตาย
----------------------------------------
Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น