ช่วงนี้ชายไทยกลุ่มหนึ่งคงตื่นเต้นกับชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนไปแบบฉับพลันทันที คนกลุ่มนั้นก็คือกลุ่มที่ได้รับเลือกให้รับใช้ชาติด้วยการเป็นพลทหารนั่นเอง พลทหารนับว่าเป็นการสบการณ์หนึ่งที่มีคุณค่าและยากที่จะลืมเลือนได้ แม้ว่าตัวผมเองจะไม่เคยผ่านชีวิตการเป็นทหารเกณฑ์ด้วยตนเองแต่ก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดอย่างมากก็คงจะเรียกได้ เพราะภารกิจแรก ๆ ที่ผมรับหน้าที่ตอนจบเป็นผู้หมวดใหม่ก็คือ การเป็น ผู้ช่วยผู้ฝึกทหารใหม่รุ่นรุ่น 28 ผลัด 1 ที่รายงานตัวเมื่อ 1 ถึง 3 พฤษภาคม 2528 ของกองพันทหารราบที่ผมบรรจุลงครั้งแรกในตำแหน่งผู้บังคับหมวดปืนเล็ก เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2528 และผมยังได้รับภารกิจซ้ำอีกสองครั้งของการฝึกทหารใหม่รุ่น 28 ผลัดที่ 2 และ รุ่น 29 ผลัดที่ 1 และมาทำหน้าที่เต็มตัวในตำแหน่งผู้ฝึกทหารใหม่รุ่นที่ 29 ผลัดที่ 2 และรุ่นที่ 30 ผลัดที่ 1
หน่วยที่ผมบรรจุเป็นกองพันทหารราบที่กำลังพลส่วนใหญ่พึ่งผ่านและมีประสบการณ์การป้องกันประเทศและบ้านเมืองมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะสมรภูมิเขาค้อ ปี 2515 หรือ ชายแดนไทย กัมพูชา ช่วงเขมรแตกปี 2522 ถึง 2524 ซึ่งแต่ละคนจะผ่านและเห็นความเดือดร้อนแสนสาหัสของคนบ้านแตกสาแหรกขาดของคนเขมร เห็นการล้มตายลงต่อหน้าต่อตาของมนุษย์ด้วยกันและที่สำคัญคือการตายของเพื่อนที่เป็นทหารด้วยกัน ดังนั้นเมื่อหมดภารกิจการทำหน้าที่ของทหารในการเป็นปราการป้องกันภัยให้แก่ประชาชนและพ่อแม่พี่น้อง หน้าที่ต่อมาก็คือการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ตนเองได้เจอมาให้แก่กำลังพลของหน่วยที่เข้ามาใหม่และไม่มีโอกาสประสบกับสถานการณ์จริงมาก่อนด้วยการทำหน้าที่เป็นครูฝึกทหาร จึงทำให้การฝึกทหารของกองพันทหารราบที่ผมบรรจุนั้นเต็มไปด้วยความโหดมันฮา แบบที่จะทำให้การฝึกของหน่วยอื่นรวมทั้งการฝึกประเภทอื่น ๆ ต้องได้อายที่เดียว
ระหว่างการฝึกทหารใหม่ของผมปี 2529 - 2530 ที่ผมรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกทหารนั้นนายทหารที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยหลักของผมก็มี ป๋าเหลิม หมวดหวิน หมวดนาจ และน้องนายทหารใหม่ที่พึ่งจบมาอีกสองคน รองลงไปก็เป็นผู้หมวดฝึกอีกสี่คนได้แก่ จ่ามารถ จ่าหนก จ่าเลิศและจ่าเถียร โดยมีครูฝึกที่เป็นนายทหารประทวนและผู้ช่วยครูที่เป็นสิบตรีกองประจำการหรือพลทหารที่ผ่านการฝึกมาแล้วอีกจำนวนหนึ่ง โดยก่อนการฝึกจะมีการฝึกเพื่อเตรียมการประมาณ 4 อาทิตย์ ซึ่งห้วงดังกล่าวจะเป็นการทบทวนทำความเข้าใจ เตรียมวิชาและเครื่องมืออุปกรณ์รวมทั้งสนามที่จะทำการฝึกให้แก่ทหารใหม่ให้มีความพร้อม สำหรับผมหน้าที่ที่สำคัญก็คือการวางแผนฝึกและประสานงานให้เป็นไปตามนโยบายและงานทางธุรการเพื่อให้ผลการฝึกออกอยู่ในเกณฑ์สูงมีความปลอดภัยและทำให้ทหารใหม่สามารถปฏิบัติงานหรือทำหน้าที่ที่จะได้รับต่อไปได้เป็นอย่างดี
การรับหน้าที่การฝึกรุ่นแรกของผมคือ ทหารเกณฑ์ผลัดที่สองที่ส่งมาข้ามกองทัพมาจากทางอีสานใต้ จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีษะเกษ ทหารผลัดที่สองนี้มีข้อดีก็คือ มีความอดทนและวินัยเป็นเลิศ ไม่ค่อยติดยาเสพติด แต่ข้อเสียก็คือ ระดับการศึกษาจะต่ำกว่าทหารผลัดหนึ่ง โดยจะมีหลายคนที่ยังอ่านหนังสือไม่ได้ แต่โชคดีหน่อยที่ทุกคนพูดภาษาไทยได้ต่างจากก่อนหน้าผม 7 - 8 ปี ที่บางคนพูดได้แต่ภาษาเขมร อย่างไรก็ตามจากการสอบถามครูฝึกแล้วมักชอบทหารจากอีสานมากกว่า การรายงานตัวของทหารโดยทั่วไป ผลัดแรกจะรายงานตัวในวันที่ 1 – 3 พฤษภาคม หลังจากจับใบดำใบแดงแล้ว เกือบหนึ่งเดือน สำหรับผลัดที่ 2 จะเป็นต้นเดือน พฤศจิกายน แต่หน่วยของผมเป็นทหารข้ามเขต การรายงานตัวจึงเป็นห้วง 4 – 6 พฤศจิกายน
ในวันแรกของการรายงานตัวของทหารใหม่นั้น ในขั้นต้นเท่าที่ผมทราบก็คือ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทางสัสดีจะนัดให้มาขึ้นรถที่หน้าว่าการอำเภอ และนำไปรวมที่จังหวัด จากนั้นก็จะมีรถขนย้ายข้ามจังหวัดมาส่งที่ มณฑลทหารบกที่ 1 หรือ 11 ในปัจจุบัน ที่ตั้งอยู่ บริเวณเชิงสะพานเกษะโกมล ถนนนครไชยศรี จากนั้นก็จะมีการคัดเลือกและแบ่งเฉลี่ยให้กับหน่วยต่าง ๆ โดยเอาการศึกษาเป็นตัวจับ ได้แก่ ปริญญาตรีขึ้นไปกลุ่มหนึ่ง ปวช. ปวส. มศ. 4 – 5 กลุ่มหนึ่ง ม.ศ. 1 – 3 กลุ่มหนึ่ง ป 1 – ป. 7 กลุ่มหนึ่ง และผู้ที่ไม่ผ่านการศึกษาอีกกลุ่มหนึ่ง สำหรับอีกส่วนหนึ่งเป็นพวกที่พ่อแม่ใจถึง โดยได้ทราบกิตติศักดิ์การฝึกของกองพันที่ผมสังกัด และหวังจะให้ลูกได้รับบทเรียนลูกผู้ชายแบบเต็ม ๆ ก็พยายามติดต่อขอให้นำลูกหลานของตนมาลงที่หน่วย เท่าที่เจอก็มีหลายรูปแบบเช่น เป็นหมอมาก็มี ติดยาก็มี ไม่เอาถ่านก็มี ซึ่งก็ไม่ผิดหวังที่ส่งมาที่หน่วย โดยเฉพาะพวกไม่เอาไหนจากที่บ้าน
เมื่อทหารใหม่ได้รับการแยกหน่วยเสร็จแล้วก็เดินทางพร้อมกับครูฝึกของหน่วยที่ส่งไปรับมาที่หน่วยฝึกทหารใหม่ที่อยู่ด้านในสุดของกองพัน ซึ่งก็มีขั้นตอนแบ่งมอบหน้าที่ให้ครูฝึกแต่ละคนไว้แล้ว โดยขั้นแรกหลังลงจากรถบรรทุกทหารซึ่งมักจะมาถึงตอนสองสามทุ่มไปแล้วก็พาไปหาข้าวกินน้ำกินให้สบายอกสบายใจเสียก่อน จากนั้นก็ทำบัญชีประวัติ ที่อยู่ การศึกษา ความสามารถ โรคประจำตัว บุคคลใกล้ชิด แล้วก็แจกสิ่งของเสื้อผ้าตั้งแต่รองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ รองเท้าคอมแบท ถุงเท้า กางเกงใน กางเกงขาสั้น เสื้อยืด หมวกแก๊ป เข็มขัด สบู่ ขันน้ำ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ที่นอน หมอน มุ้ง และสิ่งของอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นของรับแจกฟรี จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าพลเรือนใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้ให้รวมทั้งของมีค่าที่ผู้หมวดฝึกจะทำบัญชีไว้เพื่อส่งคืนในวันจบการฝึก ก่อนเก็บเข้าคลังรักษาไว้ชั่วคราว ถ้าเวลาค่ำมืดมากก็จะพาขึ้นไปบนโรงนอนหรือกองร้อยฝึกแจกสายมุ้งและหาที่นอนพักผ่อนเพื่อตื่นขึ้นมารับคำชี้แจงในวันรุ่งขึ้น
วันที่สอง การตื่นก็ยังเป็นการตื่นตามระเบียบทหารคือ ตีห้าครึ่ง สิบเวรหน่วยฝึกก็จะเป่านกหวีดโดยจะเริ่มการเป็นทหารที่ละเล็กละน้อยก็คือ การได้ยินเสียงตะโกนให้รีบลงมาพร้อมกับขันน้ำ แปรงสีฟันยาสีฟัน และรองเท้า ผ้าใบ ซึ่งจะมีเวลาประมาณสิบนาทีในการทำธุระส่วนตัว ซึ่งนั่นหมายความว่า แปรงฟันและเข้าห้องน้ำเท่านั้น จากนั้นก็จะมารวมแถวหน้าหน่วยฝึกเพื่อเรียนรู้วิธีการออกกำลังกายของทหารขั้นต้นจากนายทหารเวรที่เป็นผู้หมวดฝึกและผู้ช่วยครูที่นอนร่วมกับทหารใหม่ซึ่งแต่งกายเรียบร้อยคอยอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนตีห้าครึ่ง พอใกล้เวลาหกโมงเช้าครูนายสิบที่เหลือซึ่งพักอยู่บ้านพักไม่ไกลนักก็ทยอยกันมาถึงหน่วยฝึกในชุดฝึกหมวกรองในคาดเหลืองและเริ่มแบ่งกลุ่มของทหารใหม่ออกเป็นกลุ่มย่อย และแนะนำท่าเบื้องต้นเช่น การยืนตรง การเดิน การหัน การเข้าแถวแบบต่าง ๆ จนเจ็ดโมงเช้า ก็พาเดินไปทานอาหารเช้า ซึ่งครูส่วนใหญ่ที่ยังไม่เบื่ออาหารโรงเลี้ยงรวมทั้งผมด้วยก็ได้อาศัยข้าวทหารใหม่เป็นอาหารหลักโดยไม่ต้องไปหุงหาหรือเตรียมให้เปลืองเวลาหรือเงินทองแต่อย่างไร ซึ่งทำให้เป็นการประหยัดไปในตัว พลทหารสมัยผมฝึกได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 24 บาท หักค่าอาหารสามมื้อ 16 บาท เหลือคืนวันละ 8 บาท นั่นหมายถึงอาหารมื้อละประมาณ 6 บาท จึงมีให้เลือกไม่มากนักแต่ก็กินกันอิ่มแทบทุกคน โดยเฉพาะตอนใกล้จบการฝึกทหารใหม่บางคนถึงกับอ้วนใหญ่จนผิดหูผิดตาญาติพี่น้องเลยทีเดียว
การกินข้าวของทหารมีขั้นตอนอยู่บ้างแต่ไม่มากนักและไม่ค่อยเร่งเวลาดังนั้นทหารจะกินได้มากโดยเฉพาะสัปดาห์หลัง ๆ ที่มีการฝึกเหนื่อยมาก ๆ ทหารจะกินกันได้มาก การกินอาหารจะใช้เวลาครึ่งชั่วโมงแล้วทหารจะเดินกลับไปที่หน่วยฝึกมีเวลาพักผ่อนเข้าห้องน้ำประมาณ 15 นาทีก็จะรวมแถวเพื่อฟังคำชี้แจงประจำวัน ในวันที่สองนี้จะเป็นการทำงานด้านธุรการให้เรียบร้อย เช่น การตัดผม การเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัว ตัดเล็บ แบ่งหมวดหมู่ กำหนดที่นอนให้แน่ชัด รับฟังคำชี้แจงและรับทราบบทลงโทษในการทำผิดเช่นการคิดหนีระหว่างการฝึก จากนั้นในสัปดาห์แรกก็จะเป็นเริ่มการฝึกบุคคลท่ามือเปล่าและบุคคลท่าอาวุธในสัปดาห์ที่สอง ซึ่งการฝึกจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นมาเรื่อย ๆ และครูฝึกก็จะเริ่มใช้เวลาว่างต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยหลังจากผ่านไปได้สี่ห้าวันเวลาตื่นของทหารใหม่จะร่นให้เร็วขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง เป็นตีสี่ครึ่งเพื่อให้มีเวลาพิเศษอีกหนึ่งชั่วโมงในการท่องชีท หรือวิชาอบรมความรู้ทางทหาร ที่มีอยู่สิบกว่าบทแต่แตกต่างจากความรู้สึกของคนทั่วไปก็คือชีทที่ว่านี้ในแต่ละบทจะแบ่งสำเร็จรูปแล้วเป็นคำถามคำตอบ
ผมเองยังจำข้อหนึ่งของบทที่หนึ่งที่ถามว่า พลทหารปีหนึ่งได้รับเงินเดือนคนละเท่าไร ซึ่งจะมีคนถามนำหนึ่งคนว่า “ถาม พลทหารปีหนึ่งได้รับเงินเดือนคนละเท่าไร” พลทหารก็จะตอบพร้อมกันว่า “ตอบ สี่ร้อยยี่สิบบาทครับ” คำถามคำตอบนี้มีทั้งหมดประมาณ 260 กว่าข้อ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าทหารที่เข้ามารับการฝึกไม่ว่าจะมีความรู้ระดับไหนรวมทั้งเรียนไม่จบ ประถมสี่ เมื่อฝึกใกล้จบสามารถจำคำตอบได้ทุกคน และที่แสบไส้ไปกว่านั้นก็คือ คนที่ไม่รู้หนังสือเลยบางคนสามารถจำคำถามได้ทุกข้อแบบเรียงข้อได้อีกด้วย เหมือนกับพระที่ท่านจำปาฏิโมกข์ได้อย่างใดอย่างนั้นเลยที่เดียว ซึ่งคำถามและคำตอบนั้นไม่ใช่สั้นแบบคำถามคำตอบแรกที่ผมยกตัวอย่างเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่จะยาวหนึ่งบันทัดขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ผมว่ามันน่าทึ่งมากที่ทหารใหม่สามารถมีความจำได้เช่นนี้ในเวลาเพียงสองเดือนและส่วนใหญ่ก็ไม่มีความรู้สูงเลย ตัวผมเองฝึกมาห้ารุ่นยังต้องยอมในความสามารถนี้ แต่เรื่องการท่องชีทนี้ต่อมาได้มีนโยบายสั่งห้ามไปโดยให้ไปใช้การอบรมแบบปกติเพราะที่ผ่านมาวิธีการทำให้จำที่ครูฝึกคิดขึ้นมาทำให้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งคงเกินความพอดีไปหน่อย เรื่องท่องชีทนี่ ผมจำได้แม่นก็เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่คิดว่ามันจะทำได้เป็นส่วนรวม และมีรายละเอียดปลีกย่อยให้น่าจดจำอื่น ๆ เช่น วันสุดท้ายของการฝึกซึ่งเป็นการตรวจสอบผลการฝึก สถานีการฝึกอบรมหรือการท่องชีทนี้ คณะกรรมการจะทำการจับฉลากคัดเลือกทหารใหม่ให้ตอบที่ละคน คนละข้อ จนครบร้อยคน โดยจะจับฉลากคำถามจำนวนร้อยข้อจากคำถามสองร้อยกว่าข้อนี้มาถามเช่นกัน ซึ่งพลทหารที่จับได้คนแรกให้ตอบนั้น เป็นพลทหารที่เก่งที่สุดในการท่องชีท แม้ว่าเขาจะอ่านหนังสือไม่ออกเลย แต่เมื่อการฝึกฝนผ่านไปพลทหารคนนี้สามารถจำข้อสอบอบรบได้ทุกข้อไม่ว่าจะเป็นคำถามหรือคำตอบและในช่วงสัปดาห์ท้าย ๆ ของการฝึกพลทหารคนนี้ก็ได้รับยอมรับจากครูฝึกและพลทหารรุ่นเดียวกันให้เป็นคนถามนำในตอนกลางคืนและตอนเช้าเป็นส่วนรวม
ดังนั้นเมื่อกรรมการจับฉลากขานชื่อพลทหารคนนี้ขึ้นมาใบหน้าของครูฝึกทุกคนรวมทั้งผมด้วยก็มีรอยยิ้มขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะถือว่าได้คะแนนแรกแล้วแน่ ๆ เมื่อพลทหารคนดังกล่าวยืนและรายงานชื่อตนเอง กรรมการก็อ่านคำถาม ข้อแรกช้า ๆ ว่า “ถาม ครูฝึกทหารใหม่ได้รับเงินเดือนเดือนละเท่าไร” พลทหารคนดังกล่าวเมื่อได้ฟังจบก็ไม่สามารถกลั้นความดีใจถึงคำถามที่ถามมาไม่ได้จนยิ้มออกนอกหน้า หลังจากกรรมการอ่านคำถามซ้ำเป็นรอบสองตามระเบียบจบ พลทหารคนนั้นก็ตอบด้วยเสียงอันดังอย่างเต็มภาคภูมิว่า “ตอบ สีร้อยยี่สิบบาทครับ” แล้วนั่งลง พลันรอยยิ้มบนใบหน้าก็หุบลงเมื่อเพื่อนพลทหารที่เข้ารับการทดสอบด้วยกันส่งเสียงฮือยาวแล้วหยุดลงทันที กลายเป็นความเงียบกริบและคงไปกระตุกใจของพลทหารคนนั้นได้ว่าเขาพลาดไปเสียแล้ว เพราะความที่เขามั่นใจในคำตอบและเข้าใจผิดว่ากรรมการถามว่า เงินเดือนพลทหารปีหนึ่ง เขาจึงตอบไปว่า 420 บาทซึ่งไม่ใช่คำตอบของเงินเดือนครูทหารใหม่ที่ต้องตอบว่า 510 บาท
ผมคิดว่าความเสียใจของเขาคงพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง และฉับพลัน เพราะคำถามแบบนี้ง่ายมากสำหรับเขาที่ท่องมาเป็นพันเที่ยวแต่เขาต้องมาตกม้าตายในวันจริง ผมเห็นน้ำตาของเขาค่อย ๆ ไหลออกมา ริมฝีปากล่างตกลงพูดอะไรไม่ออกพร้อมตัวเขาสั่นเทา ทุกคนรวมทั้งกรรมการก็ตกตลึงผมเองนั่งอยู่ด้วยก็ทำลายความเงียบด้วยการเดินไปที่พลทหารคนนั้นและบอกว่า “ไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้วไม่ต้องเสียใจ และผู้ฝึกไม่ได้โกรธอะไร ขอให้ทุกคนที่เหลือตั้งใจตอบคำถามและทดสอบสถานีอื่น ๆ ให้ดีที่สุดต่อไป” ซึ่งก็นับว่าได้ผลเพราะคำถามคำตอบที่เหลืออีก 99 ข้อ พลทหารที่เข้ารับการทดสอบสามารถตอบได้ถูกทุกคำ
การฝึกในสองสัปดาห์แรกของทหารใหม่ภายใต้ความรับผิดชอบของผมนั้น ถือว่าเป็นสัปดาห์ที่ต้องใช้ความทรหดอดทนมากสำหรับพลเรือนที่ชั่วข้ามคืนกลายมาเป็นทหาร จากที่ทำอะไรได้ตามใจตนเป็นส่วนใหญ่กลับกลายมาเป็นศูนย์ เวลาตื่นก็ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง (แน่นอนว่าผมต้องตื่นมาก่อน 15 นาที เพื่อแต่งกายชุดครึ่งท่อนและทำธุระส่วนตัวคอย) ตื่นมาก็ท่องหนังสือหรือชีทหนึ่งชั่วโมงจากนั้นก็แปรงฟันล้างหน้าสิบนาที จะดีหน่อยที่ไม่ต้องเก็บที่นอนเพราะมีทีมเก็บที่นอนที่คัดออกมาจากพลทหารใหม่ที่เข็นให้ท่องชีทไม่ไหว ทำหน้าที่เก็บที่นอนหมอนมุ้งให้ จากนั้นก็ออกกำลังกายด้วยการวิ่งรอบกองพันเพลงที่ผมชอบมากในตอนนั้นคือ เพลงทางอีสานชื่อว่า เพลงหอมดอกผักคะแยง เพราะทำให้ผมคิดถึงบ้านผมที่เพชรบุรีแม้ว่าผมจะไม่รู้จักว่าดอกผักคะแยงหน้าตาเป็นอย่างไร และที่ว่าทำให้ผมคิดถึงก็เพราะตลอดเวลาการฝึกทหารใหม่ผมเองไม่ได้ออกไปไหนนอกกองพันเลยที่เป็นเรื่องส่วนตัวและนั่นก็คือผมไม่ได้กลับบ้านที่เพชรบุรีเลยทุกห้วงการฝึกทหารทั้งห้ารุ่น เมื่อวิ่งได้เหงื่อแล้ว ก็เริ่ม ฝึกทบทวนเรื่องที่ฝึกวันที่ผ่านมาตั้งแต่หกโมงถึง เจ็ดโมงเช้า แล้วสวนสนามไปกินอาหารเช้า แปดโมง ฝึกต่อด้วยท่าฝึกที่เพิ่มเติมมาในแต่ละวันทั้งบนสนามหญ้าและลานปูน ที่อยู่ใต้ดวงอาทิตย์เต็ม ๆ ซึ่งถ้าเป็นทหารผลัดหนึ่งจะมีปัญหามากเพราะเป็นช่วงที่อากาศร้อนมาก
ช่วงก่อนที่ผมจะทำหน้าที่ผู้ฝึก ไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์อะไรเนื่องจากมีทหารในที่ต่าง ๆ เสียชีวิตจากอากาศร้อนจากหลาย ๆ หน่วย ที่เรามารู้จักกันทีหลังว่า ฮีทสโตก ผมมาทราบเอาทีหลังว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีนักเรียนจู่โจมที่ค่ายธนะรัชต์เสียชีวิตในห้วงเวลาใกล้ ๆ กัน และมีทหารปากีสถานเสียชีวิตจำนวนมากด้วยกอาการคล้าย ๆ กันด้วย ซึ่งต่อมาได้มีมาตรการแก้ไขจากกรมแพทย์ทหารบกออกมาหลายประการ เช่น ให้ฝึกภายใต้ต้นไม้ การฉีดน้ำเพื่อลดความร้อน การติดธงบอกอุณหภูมิ ซึ่งไม่ทราบว่าได้ผลประการใด พูดถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงกลุ่มทหารใหม่ที่ติดยา สมัยผมเป็นยุคเฮโรอินรุ่งเรือง ยาบ้ายังไม่ฮิต ดังนั้นทหารผลัดหนึ่งก็จะมีคนติดเฮโรอินมาด้วยสี่ห้าคน ถ้าผลัดสองก็น้อยหน่อยแต่จะไปติดกัญชาแทนสิบกว่าคน พวกกัญชานี่ไม่ค่อยมีปัญหาเจอฝึกหนัก ๆ หายไปเอง แต่พวกเฮโรอินนี่ต้องมีการรักษาพิเศษ พวกนี้พวกติดหนัก ๆ จะแอบเอาติดตัวมาด้วยด้วยการซ่อนตาชายเสื้อหรือกางเกงบ้าง หรือใส่มาในหลอดปากกาลูกลื่น ซึ่งมักจับได้หรือครูฝึกที่มีประสบการณ์มักจะดูออก เช่น พวกสักทั้งตัว พวกนี้เกินครึ่งที่ติดเฮโรอิน เมื่อถามไปถามมาส่วนใหญ่ยอมรับ เพราะทางเราแจ้งว่าถ้าไม่บอกเกิดลงแดงแล้วอาจช่วยไม่ทัน
เมื่อรู้ตัวพวกครูจะคอยสังเกตุระหว่างการฝึกเป็นพิเศษหรืออาจจะแยกออกมาทำการฝึก ซึ่งเมื่อผ่านไปวันสองวันพวกติดเฮโรอินก็จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บกระดูกจากการที่ไม่ได้เสพยา วิธีการขั้นต้นที่แก้ติดยาก็คือให้ถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปเกาะหลักไม้ไผ่ในบ่อหน้าหน่วยฝึกโดยมีครูคอยเฝ้าสองสามคน คนหนึ่งจะทำหน้าที่กระโดดไปช่วยถ้าเกิดหมดแรงอีกคนจะเป็นนายสิบเสนารักษ์ที่จะมียาแก้อยู่ในกระเป๋าย่าม ซึ่งได้แก่ยาแก้ปวดทัมใจ เอาไว้กรอกปากถ้าการแช่น้ำแล้วยังเอาไม่อยู่ รวมทั้งมีอุปกรณ์เสพเฮโรอินทั้งแบบฉีดและแบบเผาสูดควันเอาไว้เป็นไม้ตาย แต่เท่าที่ผมเจอมาหนักสุดที่นายสิบเสนารักษ์ช่วยไม่ว่าติดมาห้าหกปีก็แค่ให้ยาทัมใจ และพวกติดเฮโรอีนในระหว่างการฝึกหายทุกคนแต่จะมีบ้างที่ฝึกเสร็จแล้วกลับไปอยู่กับเพื่อนที่คลองเตยแล้วกลับมาติดอีก
กลับมาที่การฝึกใหม่ในช่วงแรกทหารยังคงใส่ขาสั้นรองเท้าผ้าใบเสื้อยืดเขียวทำการฝึกซึ่งรองเท้ามักจะกัดเพราะคุณภาพยังไม่ถึงขั้นและมากัดหนักอีกทีตอนใส่รองเท้าคอมแบท บางคนถูกรองเท้ากัดจนเลือกเปียกถุงเท้าแต่ก็ทนไม่บ่นอาจจะเป็นเพราะความกลัวหรือความอดทนที่ได้รับการสั่งสอนก็ไม่แน่ใจ การฝึกจะฝึกกันตั้งแต่เช้ายันห้าโมงเย็น มีพักระหว่างชั่วโมงสิบนาทีและพักรับประทานอาหารกลางวันชั่วโมงเหนึ่ง พอห้าโมงก็ออกกำลังกายด้วยการเน้นไปที่การเข้ารับการทดสอบสถานีที่หนึ่งคือการออกกำลังกาย ด้วยท่า วิ่งเร็วสามร้อยเมตร (ได้เต็มต้องวิ่งไม่เกิน 46 วินาที) ยึดพื้น ลุกนั่ง และดึงข้อ (เต็ม 15 ครั้ง) ซึ่งแต่ละท่าครูฝึกก็จะมีเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้พลทหารทำได้คะแนนดีที่สุด เรียกว่าพอวันสุดท้ายทุกคนแข็งแรงกันไปตาม ๆ กัน จากนั้น หกโมงเย็นก็ได้เวลาอาหารเย็นที่เลื่อนหนีเวลาอาหารปกติไปชั่วโมงหนึ่ง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาระหว่างตักข้าวก็ท่องชีทไปด้วยทุกมื้อ กินข้าวเสร็จใกล้ทุ่มก็กลับหน่วยฝึกช่วงเวลานี้นับว่าเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่มีอยู่บ้างของหน่วยฝึกของผมเพราะจะเป็นเวลาอาบน้ำ ซึ่งทุกคนต้องปะแป้งที่ต้องปะแป้งก็เพราะเวลาอาบน้ำมีน้อยทหารมักเป็นผื่นคันเต็มตัว พวกเราจึงบังคับให้ทหารต้องประแป้งที่หน้ามาให้เห็นเพราะรู้ว่าผู้ชายทั่วไปมักไม่ประแป้งซึ่งถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์ทหารใหม่ก็คงไม่เป็นไร
การอาบน้ำของทหารใหม่เป็นการอาบแบบห้องน้ำรวมคือมีการก่อเป็นบ่อปูนยกสูงขนาดเอวกว้างสองเมตร ยาวหกเมตร มีหัวก๊อกเติมน้ำขนาดสามนิ้ว ซึ่งทหารต้องรีบอาบน้ำให้ไวเพราะเวลามีจำกัดด้วยการนับถอยหลังของครูฝึกอารมย์ดีทั้งหลาย ดังนั้นทหารใหม่ก็จะนุ่งผ้าขาวม้าถือขันวิ่งลงมาจากโรงนอนเข้าห้องน้ำตักราดตัวสองสามขัน ถ้าคนไม่แน่นก็อาจจะฟอกสบู่ถ้าแน่นก็เอาแค่นั้นแล้วรีบวิ่งกลับไปประแป้งใส่ชุดขาสั้นเสื้อยืดรองเท้าแตะลงมา ตรงช่วงนี้ที่ว่ามีความสุขสำหรับทหารใหม่อยู่บ้างก็คือได้มีโอกาสพักหายใจประมาณยี่สิบนาทีเพื่อซื้อขนมบุหรี่ หรือได้เจอสาว ๆ บ้าง เช่น แม่ค้าที่มาขายกิน บุหรี่ น้ำหวานและของใช้ที่ร้านด้านหลังหน่วยฝึก และมีโอกาสได้สร้างสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ที่พึ่งจะรู้จักกันแต่ไม่มีโอกาสได้คุยกันตอนฝึกรวมทั้งได้เขียนจดหมายบ้างซึ่งเป็นหนทางเดียวในการติดต่อกับทางบ้านหรือภรรยาที่จำต้องแยกมา จากนั้นเวลาสองทุ่มก็รวมกันเพื่อท่องชีท ซึ่งจะมีการแบ่งทหารใหม่ตามระดับความรู้แทนการแบ่งตามหมวดหมู่ ซึ่งจะมีครูอาสาสมัครและผู้ช่วยครูมาทำหน้าที่คุมการท่อง ผมเองมักใช้เวลาที่เขาแบ่งกลุ่มเสร็จกลับไปบ้านพักที่อยู่ห่างไปห้าร้อยเมตรเพื่ออาบน้ำแล้วแต่งตัวกลับมาช่วยคุมกลุ่มทหารที่ไม่เรียนหนังสือท่องชีทต่อจนประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืนก็เดินตรวจความเรียบร้อยของเวรยามและโรงนอนทหารใหม่ก่อนที่จะมานอนอยู่ใต้ถุนโรงนอนของทหารใหม่ เพื่อเตรียมตัวตื่นเวลาตีสี่สิบห้านาทีของวันต่อไป
ระบบเวลานี้จะใช้ตั้งแต่สัปดาห์ที่สองไปจนจบการฝึกทหารใหม่และทำตั้งแต่วันจันทร์ถึงเสาร์แต่วันเสาร์ทหารใหม่จะนอนเร็วหน่อยประมาณสามทุ่มเพื่อเตรียมและวันอาทิตย์ฝึกเพียงครึ่งวันโดยครึ่งวันหลังของวันอาทิตย์เป็นวันที่ให้ญาติทหารใหม่มาเยี่ยมได้ยกเว้นอาทิตย์แรกที่เข้ารับการฝึก มาถึงตรงนี้ต้องขอแทรกหน่อยโดยการฝึกทหารผลัดหนึ่งในรอบสองนั้น ผมเจอทีเด็ดของพลทหารคนหนึ่งที่ต้องจำไปจนตายก็คือ หลังจากที่มีการปล่อยให้ญาติมาเยี่ยมได้แล้วประมาณสักอาทิตย์ที่สี่ของการฝึก ภรรยาและแม่ยายของทหารคนหนึ่งก็แต่งกายชุดดำก็มาแจ้งที่กองรักษาการณ์ด้วยสีหน้าเศร้าโศกว่าต้องการพบผมเพื่อขออนุญาติให้พลทหารที่เป็นลูกเขยไปร่วมงานศพของพี่สาวที่ผูกคอตาย ผบ.กองรักษาการณ์ก็ใช้โทรศัพท์สนามหมุนเข้าไปแจ้งให้ผมทราบเมื่อผมได้สอบถามรายละเอียดว่าจะดำเนินการศพอย่างไรเขาก็บอกว่าอยากให้พลทหารที่เป็นน้องชายของคนตายไปร่วมงานศพพี่สาวของเขาสักสองสามวันแล้วจะนำมาส่ง ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าสมควรแก่เหตุก็แจ้งให้ผู้หมวดฝึกและสิบเวรหน่วยฝึกเรียกตัวพลทหารดังกล่าวมาพบพร้อมกับแสดงความเสียใจและบอกให้ไปแต่งตัวไปร่วมงานโดยให้ผู้หมวดฝึกไปส่งที่กองรักษาการณ์ผู้หมวดฝึกกลับมาแจ้งว่าดูท่าทีของคนทั้งสามแล้วไม่ได้มีท่าทางเศร้าโศกอย่างที่ควรเลย และสังเกตว่าตอนขึ้นรถจากไปมีการหัวเราะเล่นหัวกันด้วย
ผมเองก็เริ่มสะกิดใจแล้วแต่ก็ยังนิ่งอยู่จนสามวันผ่านไปไม่มีวี่แววการกลับมาของทหารใหม่คนนั้นเลยเริ่มสงสัยแต่ยังไม่บอกใครมากนอกจากขอประวัติของพลทหารนั้นมาดูที่อยู่ที่วาดไว้และออกไปกับพลขับสองคนเพื่อไปตามหาบ้าน หาไปหามาสักพักก็เจอบ้านที่แจ้งไว้แต่เป็นบ้านพ่อของทหารใหม่ พ่อทหารใหม่ก็บอกว่าไม่เจอลูกชายเลย และบอกว่าพี่สาวที่ว่านั้นผูกคอตายจริงแต่ตายไปหลายปีแล้ว เท่านั้นแหละผมก็ร้องในใจว่าโดนเข้าแล้ว แต่ก็ตั้งสติไม่ได้แสดงอาการโมโหหรือตะหนกอะไรแล้วก็บอกให้พ่อของทหารนั้นทราบถึงความผิดในการหนีทหารและบอกว่าถ้านำตัวไปส่งจะถือว่าไม่มีความผิดเพราะผมต้องการเพียงให้เขากลับไปเท่านั้นเพื่ออนาคตของเขาเองซึ่งก็ได้ผลอีกสี่ห้าวันพ่อของทหารใหม่ก็พาทหารใหม่ไปส่งหน่วยฝึก ซึ่งนับว่าเป็นบทเรียนที่ไม่ธรรมดาสำหรับผมเลยทีเดียว
กลับมาเรื่องการฝึกอีกที หลังจากสิ้นสุดการฝึกบุคคลท่ามือเปล่าและท่าอาวุธในสองสัปดาห์แรกแล้ว สัปดาห์ที่สามของการฝึกไปจนสิ้นสุดการฝึก จะเป็นการแบ่งทหารออกเป็นสี่หมวดแยกตามสถานีการฝึก จำนวนสี่สถานี คือ สถานี บุคคลท่ามือเปล่าและบุคคลท่าอาวุธ (สถานีตรวจสอบที่ 2) ซึ่งเป็นการทบทวนความถูกต้องจากที่ได้รับทราบเบื้องต้นมาแล้ว สถานีอาวุธศึกษา (สถานีตรวจสอบที่ 3) ทหารจะได้รับการฝึกการถอดประกอบอาวุธประจำกาย การเล็งสามจุด ท่ายิง การขว้างระเบิด และการท่องวิชาอาวุธศึกษา สถานียิงปืน (สถานีตรวจสอบที่ 4)ทหารจะได้รับการฝึกให้ยิงปืนเล็กยาวเอ็ม 16 ระยะ 1000 นิ้วหรือ 25 เมตร จากห้าท่ายิง และสถานีสุดท้ายคือวิชาทหาร เบื้องต้น (สถานีตรวจสอบที่ 5) ซึ่งทหารใหม่จะได้รับการฝึก การปฐมพยาบาลเบื้องต้น แผนที่เข็มทิศ การเข้าตี ป้อมสนาม การเดินทางไกล และท่องวิชาที่เกี่ยวข้อง
ในรอบสี่วันทหารทุกคนจะหมุนกันเข้ามาฝึกสถานีละหนึ่งรอบ ในช่วงนี้ทหารใหม่เริ่มเข้าที่ร่างกายแข็งแกร่ง โรคภัยเบียดเบียนก็น้อยลง และมีความรู้สึกในการเป็นทหารตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่มากขึ้น อีกทั้งความรู้ความคล่องแคล่วในการเป็นทหารก็เพิ่มตามเวลาที่ผ่านไป ความสนิทสนมความรักใคร่ระหว่างทหารใหม่กับครูฝึกก็มีมากขึ้นมาการแบ่งปันและแสดงน้ำใจซึ่งกันและกัน หยาดเหงื่อที่เคยคิดว่าเป็นความเหน็ดเหนื่อยเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความพยายามที่จะทำให้ดีที่สุดและดียิ่งกว่ารุ่นพี่ ๆ ที่ผ่านมา หัวใจของทุกคนได้รวมเป็นหนึ่งเดียว ฝึก ฝึก และฝึก คือคำที่มีอยู่ทุกลมหายใจแต่ละคน การลากกันไปสู่จุดหมาย การยื่นมือเข้าช่วยเหลือ การให้กำลังใจของทหารใหม่แต่ละคนซึ่งมีให้ต่อกันที่ปรากฎให้เห็นในสัปดาห์หลังจากที่มีการทดสอบซ้อมครั้งแรกมีมากขึ้นอย่างชัดเจน
ในที่สุดสามวันสุดท้ายของการฝึกก็มาถึง ความรักในหมู่คณะของทหารใหม่ ความเปลี่ยนแปลงจากคนที่เหยาะแหยะไม่เข้มแข็งเมื่อสองเดือนก่อนเป็นผู้ที่องอาจผึ่งผายอย่างไม่น่าเชื่อสายตาของผู้ที่รู้จัก ชุดฝึกชุดใหม่ หมวกรองในและรองเท้าที่มันปลาบ ท่าทางที่ทะมัดทะแมง ความพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ ความเป็นฮีโร่ของทหารทุกคนได้เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อหน้าผู้บังคับบัญชาและญาติพี่น้อง ภรรยาและลูกๆ ของทหารใหม่ที่มาให้กำลังใจ ในวันตรวจสอบ ผลการทดสอบทั้งหกสถานีออกมาได้เกินเป้าหมายและเหนือกว่าคะแนนของการฝึกทหารใหม่รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการประกาศชัยชนะในค่ำคืนสุดท้ายของการเป็นทหารใหม่ที่ผู้บังคับบัญชาและกำลังพลหน่วยฝึกทุกคนได้โห่ร้องยินดีถึงความสำเร็จนั้น
ทหารใหม่ที่จะกลายเป็นทหารเก่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าได้อุ้มผู้ฝึก
ผู้ช่วยผู้ฝึกและผู้หมวดฝึกที่ครั้งหนึ่งพวกเขาอาจจะเคยคิดว่าโหด ดุ ใจร้ายไปรอบ ๆ
และโยนขึ้นลงไปบนอากาศ พร้อมเปล่งเสียงไชโย ไม่ขาดระยะ
เมื่อผมสบตาพวกเขาในเวลานั้น ผมรู้และมั่นใจในทันทีว่า เขาพวกนี้แหละที่ผม “จะรบเคียงไหล่ จะตายเคียงกัน สมคำปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล”
และเขาจะเป็นผู้เสียสละเพื่อชาติเมื่อชาติต้องการเหมือนเช่นปู่ย่าตายายของเขาที่ได้เสียสละมาแล้วในอดีต
--------------------------------------------------------------------------
พ.ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น