“น้องเมฆ พ่อไปไหน วันนี้วันสำคัญทำไมพ่อไม่มาล่ะ” ประโยคนี้มักจะเป็นคำถามของคนที่ไม่คุ้นเคยหรือเพื่อน ๆ ของลูกชายตัวดีอายุสี่ขวบของผมซึ่งมักจะเอ่ยปากถามเสมอเมื่อถึงวันสำคัญ ๆ เช่น วันปีใหม่ หรือวันเกิดของเขาเอง ที่แทบที่จะไม่เคยมีผมปรากฏตัวอยู่ร่วมด้วยสักครั้งเดียว “พ่อไปปราบผู้ร้ายที่ใต้” ก็จะเป็นประโยคที่ตอบโดยอัตโนมัติจากปากของเขาที่มักทำให้คนที่ถามหรือคนรอบข้างนิ่งไปสักพัก และไม่ทันที่จะถามอะไรต่อก่อนที่ลูกผมจะวิ่งเล่นต่อไป
ผมเองตั้งแต่เป็นนักเรียนทหารมาตั้งแต้ปี 2521 มักไม่ให้ความสำคัญต่อวันไหน ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดของตัวเอง วันหยุดที่สำคัญ จนผมแต่งงานก็ไม่เคยที่จะทำอะไรเป็นพิเศษในวันรอบรอบวันเกิดของภรรยา วันเกิดของลูก ๆ หรือวันครบรอบแต่งงาน รวมทั้งวันสำคัญหวานแหววของคนทั่วไป เช่น วันแห่งความรักที่ฝรั่งเขากำหนดขึ้นมา ซึ่งภรรยาผมทราบดีตั้งแต่รู้จักกันมาเมื่อปี 2528 เพราะกว่ายี่สิบปีที่รักกันมาเขาไม่เคยได้รับ ดอกไม้สักดอกจากผมในวันนี้ และภรรยาผมจะทราบดีว่าเมื่อประเทศชาติต้องการตัวผมไม่ว่าความรักระหว่างเราและรักที่เรามีต่อลูกทั้งสามคนจะมากมายเพียงใด เขาจะรู้โดยทันทีว่าเขาจะเป็นคนที่สองที่จะรู้หลังจากที่ผมตัดสินใจและรับคำต่อผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานในอันที่จะไปรับใช้ชาติเสมอ ดังนั้น เมื่อถึงวันพิเศษใด ๆ ของคนอื่นก็จะเป็นแค่เพียงเช่นวันธรรมดาของเราอีกวันหนึ่งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้แปลกใจ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีเนื่องจากในปีต่อไปจะได้ไม่มีใครมาตั้งตาคอยแล้วผิดหวังเป็นสองเท่าเมื่อไม่มีอะไรมาดังที่หวัง และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความหวังนั้นจะกดดันผมจนทำให้ผมไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบให้ดีที่สุดได้
ผมจำได้ดีว่าลูกสาวคนแรกของผมเกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2541 เขาเกิดได้สามวันก็ออกจากโรงพยาบาลมาพักที่บ้านเพื่อให้แม่ยายช่วยดูแลภรรยาผมและลูกอ่อน เพราะผมต้องเก็บข้าวของเดินทางไปร่วมการฝึกคอบร้าโกล์ด 98 ที่กองพลทหารราบที่ 9 เมืองกาญจนบุรี ความรับผิดชอบของผมคือ เป็นเจ้าหน้าที่หลักของส่วนการข่าวที่ส่วนใหญ่จัดมาจาก ทน.1 การฝึกจะเป็นการทำงานและการฝึกปัญหาจำลองสถานการณ์การรบร่วมผสมกับกองทัพสหรัฐฯ แบบต่อเนื่อง คืนหนึ่งหลังจากฝึกได้สามสี่วันผมก็ออกไปหาอาหารมื้อดึกในตัวเมืองกาญจน์กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ช่วยนายทหารฝ่ายกิจการพลเรือนของกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งเป็นเจ้าภาพอำนวยความสะดวกในการจัดการฝึก ระหว่างรออาหารผมก็ถือโอกาสโทรไปหาภรรยาเพื่อสอบถามถึงลูก เธอรับสายแล้วก็ร้องไห้ก่อนจะบอกว่าเมื่อเช้าลูกร้องไห้มากและตลอดเวลาโดยไม่กินอะไรเลยจนเธอต้องนำกลับมาโรงพยาบาลอีก หลังจากเข้ารับการตรวจหมอบอกว่าตัวและตาลูกเหลืองมากจากอาการของจีซิกส์พีดี ทำให้กินอะไรไม่ได้ และต้องให้ลูกกลับมานอนที่โรงพยาบาลเพื่อให้อาหารทางสายน้ำเกลือและอยู่ในกระโจมอบแสง ตอนนี้เธอนั่งเฝ้าลูกที่นอนหลับอยู่ในกระโจมอบแสงที่โรงพยาบาล และเธอยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้นเมื่อบอกว่าในห้วงที่ผ่านมาข้อมือและแขนของลูกพรุนไปหมดแล้วจากการที่เจ้าหน้าที่เจาะหาเส้นเลือดเพื่อจะให้น้ำเกลือไม่เจอเพราะลูกยังเล็กมาก ต้องเจาะแล้วเจาะอีกจนเส้นเลือดโดยรอบแตกจนแขนเขียวคล้ำไปหมด ทำให้ต้องเจาะหาเส้นเลือดบริเวณหลังมือและที่ข้อเท้าแทน
ความรู้สึกผมตอนนั้นเหมือนโลกหยุดหมุน ทำไมภรรยาผมไม่ยอมบอกผมตั้งแต่ตอนเช้า วันเวลาที่เรารู้จักกันมาคงทำให้เธอรู้ดีว่าผมมีความมุ่งมั่นในการทำงานและความรับผิดชอบที่ได้รับมอบ ซึ่งเธอคงเตรียมพร้อมที่จะต้องยืนหยัดทั้งใจและกายที่จะเผชิญปัญหาอยู่เบื้องหลังเพื่อให้ผมทำในสิ่งที่ผมเชื่อมั่นมาตลอดชีวิต ผมพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะแต่มันเหมือนเป็นเวลาที่นานแสนนาน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อไป ภรรยาผมที่รู้จักและรู้ใจผมมากว่าสิบสามปีก็พูดกลับมาว่า "พี่ไม่ต้องห่วงหรอกทำหน้าที่ฝึกให้เต็มที่ แหม่มอยู่ทางนี้จะเฝ้าลูกไม่ให้เป็นอันตราย" น้ำตาของลูกผู้ชายล้นเอ่อดวงตา นี่ผมกำลังทำอะไรกับภรรยาที่แสนดีและลูกคนแรกอายุเจ็ดวันของผม งานการฝึกที่ผมสมัครมาเองมันสำคัญกว่าชีวิตครอบครัวผมขนาดนั้นเชียวหรือ ใจผมลังเล สับสน ว้าวุ่น ก่อนจะบอกภรรยาผมกลับไปว่า "รอหน่อยพี่จะกลับไปหาคืนนี้เลยขับรถจากเมืองกาญจน์ไปกรุงเทพ ฯ คงไม่เกินสองชั่วโมง" แต่ทว่าเธอได้ตอบกลับมาว่า "แหม่มดูลูกได้ไม่ต้องห่วง" และเน้นย้ำว่าอย่ากลับมาเพราะกลางคืนขับรถมันอันตราย ให้รอพรุ่งนี้ถ้าลูกไม่ดีขึ้นจะโทรไปบอกให้กลับมา แต่ผมก็ไม่ได้กลับจนวันสุดท้ายของการฝึกเพราะอาการของลูกผมค่อย ๆ ดีขึ้นจนกลับบ้านได้ก่อนผมฝึกจบ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นผมเองไม่ได้บอกหัวหน้าเสนาธิการร่วม/ผสมที่ 2 (ข่าวกรอง) ของผมหรือเพื่อนร่วมงานอื่นที่รับการฝึกด้วยกัน ผมยังก้มหน้าก้มตาปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบและช่วยเหลืองานของหัวหน้าจนครบสิบสองวัน โดยวันสุดท้ายที่ปิดการฝึกผมก็ขอตัวกลับมาก่อนที่จะมีงานเลี้ยง แล้วก็เป็นเรื่องแปลกที่ผมขอเล่าเพิ่มหน่อยก็คือ หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวผมเองก็ไม่เคยเจอหัวหน้า เสนาธิการร่วม/ผสมที่ 2 ผมอีกเลยจนเวลาผ่านไปห้าปี (ปี 2546) ผมเองก็ระหกระเหินไปหลายที่และมาลงอยู่ที่ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก ซึ่งกำลังจะต่อสัญญาการทำงานเป็นปีที่สอง ตอนนั้นผมทราบว่าผมเองคงมีโอกาสน้อยที่จะได้ทำงานที่สหประชาชาติต่อ เพราะทราบว่ากระแสการเข้าใจผิดคิดว่าการมาทำงานที่สหประชาชาติของผมเป็นโควต้าที่กองทัพบกได้รับจัดสรร ซึ่งทำให้หลาย ๆ คนคิดว่าถ้าผมไม่ได้ต่ออายุการทำงานและเดินทางกลับนายทหารท่านอื่นจะมีโอกาสเดินทางมาแทนได้ ซึ่งกระแสนี้แรงมากและทำให้การต่ออายุการทำงานของผมที่สหประชาชาติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่แล้วก็เหมือนฟ้าบันดาลที่อดีตหัวหน้า เสนาธิการร่วม/ผสมที่2 ที่ผมทำงานให้กับท่านในช่วงการฝึกคอบร้าโกลด์ 98 ปี 2541 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยงานที่กองทัพบกของผมพอดีและท่านมีความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงได้สั่งการอนุญาตให้ผมทำงานต่อที่สหประชาชาติอีกหนึ่งปี ซึ่งผมบอกกับภรรยาผมว่าความเสียสละของเธอเมื่อห้าปีก่อนมันตามมาตอบแทนครอบครัวเราแล้วในวันนี้
เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันมาเกิดกับครอบครัวผมอีกสองสามครั้งหลังจากการร่วมฝึกคอบร้าโกลด์ 98 ก็คือ ในเดือน กันยายน 2542 เกิดเหตุการณ์การก่อความไม่สงบที่ติมอร์ตะวันออก ตอนนั้นลูกสาวคนที่สองของผมอายุได้หกเดือน และลูกสาวคนแรกผมอายุได้ขวบกว่า กองทัพบกได้รับมอบภารกิจส่งกำลังทหารเข้าไปร่วมปฏิบัติการที่ติมอร์ตะวันออกในฐานะเป็นตัวแทนของชาติที่เป็นประธานอาเซียนในปีนั้น โดยกองกำลังที่ว่านั้นต้องการกำลังพลฝ่ายเสนาธิการที่มีประสบการณ์เรื่องการข่าวและมีความรู้ด้านภาษา และสมัครใจที่จะทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายข่าวของกองกำลังทหารบกไทย/ติมอร์ ในห้วงเวลานั้นภาพข่าวโดยเฉพาะซีเอ็นเอ็นที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์มีความรุนแรงมาก จึงทำให้ไม่มีใครสมัครใจเข้าร่วมกับกองกำลังมากนัก ซึ่งท่านคงเดาได้ว่าผมต้องไม่ใช่คนในกลุ่มนี้แน่นอน เหตุการณ์เช่นนี้ผมจะขาดได้อย่างไร หลังจากที่ผมได้รับการคัดเลือกให้ไปทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองของกองกำลังทหารบก ไทย/ติมอร์ ผลัดที่ 1 เป็นที่แน่นอนแล้ว ก็กลับมาบอกภรรยาผมก่อนการเดินทางไปยังดินแดนที่น้อยคนจะรู้จักและมีอันตรายสูงไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งเธอก็แต่นิ่งอึ้งแล้วบอกว่า “พี่ไปทำหน้าที่ของทหารและทำเพื่อประเทศชาติ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พี่ต้องการด้วย พี่ต้องโชคดี พระต้องคุ้มครอง แหม่มจะดูแลตัวเองและลูก ๆให้ดีที่สุด แล้วจะรอวันที่พี่กลับมา ” แล้วผมก็จากภรรยาและลูก ๆ
ผมและทหารไทยอีกประมาณพันคนได้ช่วยกันสร้างความสงบและสันติภาพในดินแดนติมอร์ตะวันออกจนครบสิบเดือนซึ่งเป็นไปตามสิ่งที่ประเทศชาติต้องการ แต่การไปปฏิบัติภารกิจของผมที่ลูกผู้ชายชาติทหารต้องการมีประทับในประวัติตนเองสักครั้งหนึ่งนั้น ทำให้ผมต้องย้ายออกที่ทำงานเดิมซึ่งผมรักและอยู่นานที่สุดอย่างถาวร และส่งผลให้ภรรยาของผมและลูก ๆ ต้องย้ายออกจากบ้านพักหน่วยกลับไปตั้งหลักอยู่บ้านพ่อตาแม่ยายหลังจากผมก้าวเท้าลงบนแผ่นดินติมอร์ตะวันออกไม่กี่วัน สิ่งที่ผมจำได้ดีในวันที่ผมเดินทางกลับมาประเทศไทยคือ ภรรยาและลูก ๆ มายืนรอรับ และเธอไม่เคยปริปากบ่นถึงความลำบากที่ต้องดูแลลูกในช่วงที่ผมไม่อยู่ให้ผมได้ยินสักครั้งเดียว เธอและลูกสาวสองคนมายืนรอรับผมที่ริมสนามบินท่าอากาศยานทหาร มันช่างเป็นภาพที่ผมไม่อาจลืมได้จริง ๆ ภรรยาและลูกสองคนที่ยืนมองหาผมเช่นเดียวกับที่ผมมองหาเธอหลังจากลงเครื่องและเห็นเธอช่างสวยงามเหลือเกิน ภรรยาปล่อยให้ลูกสาวคนแรกเดินเข้ามากอดผม ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่ลูกสาวคนที่สองซึ่งอายุได้ขวบกว่าไม่ยอมเข้ามาใกล้และร้องไห้จ้าเมื่อผมเข้าไปอุ้ม เธอคงไม่รู้ว่าหรอกว่าผมคือใคร
เหตุการณ์ท้ายสุดที่เกิดซ้ำก็คือหลังจากที่ผมกลับมาจากนิวยอร์กเมื่อปลาย กรกฎาคม 2548 ก็กลับมาทำงานที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้สองเดือน ประมาณกลางเดือนกันยายน 2548 ผมจำภาพได้ดีว่าวันนั้นหลังจากที่มีการประชุมบรรยายสรุปสถานการณ์ประจำวันตามปกติเสร็จเรียบร้อย ซึ่งผมมาทราบภายหลังว่าในการประชุมวันนั้น ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบกมีนโยบายให้รองเจ้ากรมฝ่ายเสนาธิการเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการของกองบัญชาการกองทัพบกอีกฝ่ายละ 4 – 6 นายไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นตลอดเวลาโดยล่าสุดที่ร้ายแรงมาก คือ เหตุการณ์ที่สองนาวิกโยธินโดนทารุณกรรมจนเสียชีวิตที่บ้านตันหยงลิมอ ต่อด้วยจุดตรวจทหารพรานถูกโจมตีและเสียชีวิต 5 นาย วันนั้นเวลาประมาณเก้าโมงเช้ากว่า ๆ รองเจ้ากรมยุทธการทหารบก ที่เมื่อหกปีก่อนเป็นตอนที่เป็นผู้อำนวยการกองและทำหน้าที่หัวหน้าทีมจากกองทัพบกในการตรวจภูมิประเทศที่ติมอร์ตะวันออกที่ผมติดคณะไปด้วย ได้เดินออกมาจากห้องประชุมหลังจากการประชุมจบมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามผมที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่ติดกับห้องประชุมและด้วยใบหน้าและน้ำเสียงจริงจังแล้วพูดเบา ๆ กับผมว่า “เบน ไปทำงานที่ใต้กับพี่ไหม ” ผมเองไม่รอช้ารีบตอบสวนไปทันทีว่า “ไปครับ” แล้วก็คิดในใจว่า “แหมพี่นึกว่าจะไม่ชวนผมเสียแล้ว ” ผมคิดว่ารองเจ้ากรมท่านคงตกใจที่ได้รับคำตอบจากผมเร็วปานนั้นก็เลยพูดอะไรไม่ออก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของท่านได้มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาก่อนจะลุกเดินออกไปจากโต๊ะผม
หลังจากนั้นผมเองก็เริ่มกลุ้มใจว่าจะบอกกับภรรยาผมยังไงดีเพราะพึ่งกลับมาจากอเมริกาที่ไปอยู่มาสามปีได้ไม่ถึงสองเดือน บ้านก็ยังไม่มีจะอยู่ต้องมาอาศัยแออัดยัดทะนานอยู่กับบ้านทาวเฮ้าส์ของพ่อตาแม่ยายกันทั้งครอบครัวซึ่งตอนนี้มีเจ้าเมฆ ลูกชายอายุสามขวบกว่าเพิ่มมาอีกคนเป็นห้าคนนอนอยู่ในห้องที่ท่านกรุณาแบ่งให้ขนาดกว้างยาวสามคูณสามเมตร ข้าวของที่ส่งกลับมาจากสหรัฐก็ยังแกะออกจากกล่องไม่หมด ก็ต้องมาเก็บของใส่กระเป๋าแยกย้ายกันอยู่อีกแล้ว ผมเองก็ยังไม่ได้บอกอะไรทันทีทันใดกับภรรยาผมเพราะยังไม่แน่ใจว่าพี่ ๆ จะให้ผมไปจริงหรือไม่ เนื่องจากผมเองไปอยู่นิวยอร์กมาสามปีอย่างที่บอก ความรู้เรื่องภาคใต้ก็เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปที่อ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งพี่ ๆ น้อง ๆ ฝ่ายเสธ.อีกหลายสิบคนที่ทำงานติดตามเรื่องราวมาโดยตลอดน่าจะมีความเหมาะสมกว่าผมอีกมาก
จนปลายเดือนกันยายน หลังจากที่มีการเตรียมการกันมาโดยลำดับก็ค่อนข้างชัดเจนว่างานนี้ลงใต้แน่ ๆ โดยตกลงกันไว้ว่าไปทำงานขั้นต้นหกเดือนโดยมุ่งปรับพื้นฐานการทำงานระดับยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล รวมทั้งเข้าไปแก้ไขปัญหาสำคัญของหน่วยปฏิบัติ ประมาณวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ทางหน่วยได้กำหนดตัวบุคคลและวันเดินทางแน่นอนแล้ว ก่อนเข้านอนผมก็บอกภรรยาว่า “สงสัยที่ทำงานจะส่งให้พี่ไปทำงานที่ใต้นะ ” แฟนผมทำหน้าตกใจแล้วก็นิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ถามว่า “นี่สงสัยสมัครไปอีกแล้วละซิ ” ผมเองรีบตอบว่า “เปล่า ๆ ไม่ได้สมัคร พี่เขามาชวนก็เลยไปน่ะ ” แล้วก็ทำไก๋ติดตลกว่า “แล้วนี่จะห้ามพี่ไหม" แล้วก็สำทับว่า "นี่ถ้าพี่ไปสักหกเดือนลูกสามคนเลี้ยงไหวไหม ” ภรรยาผมก็ยิ้ม ๆ แล้วบอกว่า “ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยห้ามได้อยู่แล้ว พี่อยากไปก็ตามใจ แต่ระวังตัวด้วย เพราะถ้าเป็นอะไรขึ้นมา แหม่มคงไม่รู้จะอยู่กับใคร ”
วันวาเลนไทน์ที่จะถึงในวันพรุ่งนี้ ที่ตัวผมเองยังคงปักหลักอยู่ที่ปัตตานีห่างจากภรรยากว่าพันกิโลเมตร ภรรยาผมคงไม่ได้รับของขวัญหรือดอกไม้ หรือบัตรอวยพรจากผมเหมือนกับที่ไม่เคยได้รับจากผมตั้งแต่รู้จักกันมา แต่จากความรักที่บริสุทธิ์ ความจริงใจที่ไม่เสื่อมคลาย และความเสียสละของเธอเพื่อให้ผมทำในสิ่งที่จิตวิญญาณของผมต้องการตลอดมาซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้ว สิ่งที่ผมอยากบอกให้เธอรู้ ณ วันนี้ก็คือ สิ่งที่เธอจะได้รับจากผมแน่นอนตลอดไปคือ ความรักที่มั่นคงซึ่งผมจะมอบให้เธอเพียงคนเดียวและจะไม่แบ่งปันให้คนอื่นอีกตลอดไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต
--------------------------------
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์
.png)





