วันนี้ผมได้อ่านเจอประกาศผลการสอบรอบแรกของโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งปัจจุบันได้แยกตามโรงเรียนเหล่า จึงทำให้ตอนนั่งรถไฟจากสำนักงานใหญ่สหประชาชาติกลับที่พักก็เกิดความคิดย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปีก่อน เมื่อต้นปี 2521 ตอนที่ผมกำลังจะจบ ม.ศ. 3 จากโรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี ตอนนั้นผมเองไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับทหารนัก เท่าที่จำได้ก็คือ เคยดูละครโทรทัศน์คงจะเป็นช่อง 7 หรือ ททบ. 5 ปัจจุบัน เรื่อง ยอดหญิงดิ่งพสุธา ซึ่งเป็นเรื่องราวของพลร่มหญิงของไทย มีดารานำคนหนึ่งคือ โฉมฉาย (แต่จำนามสกุลไม่ได้แล้ว) เล่นเป็นตัวนำ 1 ในทีมของพลร่มหญิง ซึ่งก็ทำให้ของเล่นสมัยนั้นก็ตุ๊กตาทหารตัวเล็ก ๆ ผูกเชือกกับถุงพลาสติกตัดมัด ๆ แล้วขว้างขึ้นไปบนฟ้าแล้วพลาสติกกางออกแบบร่มค่อยพยุงตุ๊กตาทหารให้ค่อยลอยลงมาที่พื้นเป็นของเล่นที่เด็ก ๆ แบบผมได้ดัดแปลงทำกันสนุกสนานไปอีกแบบ
อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือ เมื่อถึงเดือนเมษายน รุ่นพี่ ๆ ที่เป็นผู้ชายอายุครบ 21 ปีก็จะไปเกณฑ์ทหารที่ที่โรงเรียนท่ายางประชาสรรค์ ที่ผมเรียนสมัยประถม เด็ก ๆ แบบผมก็มักไปกับเพื่อนเพื่อไปดูว่าเขาทำอะไรกัน แต่ก็ไม่เข้าใจนักได้แต่เห็นคนนั่งถอดเสื้อเข้าแถวรอจับฉลากที่อยู่ในบาตรพระ จับขึ้นมาก็มีเสียงเฮกันเป็นที่สนุกสนานไม่ว่าผลจะออกมายังไง ซึ่งอยู่ปีหนึ่งมีลูกพี่ลูกน้องของผมถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ผมเองไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หลังจากที่เขาปลดเกณฑ์แล้ว ก็ทราบจากแม่ผมว่าลูกพี่ลูกน้องของผมตอนไปเป็นทหารนั้นเป็นลมตลอด เพราะตอนอยู่บ้านไม่เคยทำงานหนักเลย ดังนั้นพอเข้าไปเป็นทหารก็เจอการฝึกการหัดและการทำงานต่างๆ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนจนเป็นลมแล้วเป็นลมอีก
ต่อมาหลังจากที่ผมอายุได้ 16 ปี และเรียน ม.ศ. 3 ก็จำได้ว่าเคยดูดนตรีของทหารจาก กองพันปฏิบัติจิตวิทยา ของศูนย์สงครามพิเศษ ที่มาแสดงที่โรงเรียน ยังจำนักแสดงหญิงคนหนึ่งได้ดีเพราะแสดงเป็นนักรบหญิงโบราณของไทยประกอบเพลงที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยสูญเสียแผ่นดินออกเป็นชิ้นอย่างไร และก็บังเอิญเธอชื่อเดียวกับแม่ผม เพื่อเป็นการยืนยันว่าจำได้ก็เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 15 ปีตอนผมเป็นร้อยเอกไปฝึกหลักสูตรผู้ควบคุมการกระโดดร่มที่ลพบุรี ก็ได้ถามถึงครูโรงเรียนสงครามพิเศษถึงเธอ ก็ทราบว่าลาออกจากวงดนตรีนานแล้วแต่ยังอยู่ที่ลพบุรีเพราะได้แต่งงานกับทหารที่อยู่ในวงดนตรีนั้น ผมยังจำตัวตลกที่ชื่อสีฝุ่นและโฆษกหลักของวงซึ่งน่าจะเป็นนายทหารประทวนได้ เพราะหลังจากแสดงเสร็จพวกเราซึ่งรวมผมด้วยก็จะไปยืนดูนักแสดงเหล่านี้ เหมือนกับคนดูดารายังไงยังงั้น และได้เจอโฆษกคนที่ว่าซึ่งเขายังท้าพวกผมให้แข่งร้อยเชือกรองเท้าซึ่งของเขาเป็นคอมแบท ส่วนของผมเป็นรองเท้าผ้าใบธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับคำท้าแต่อย่างไร
หลังจากที่ได้เจอทหารที่เป็นนักดนตรีในครั้งนั้นผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทหารอีก จนใกล้จบ ม.ศ. 3 ซึ่งเป็นช่วงตัดสินใจที่สำคัญพอสมควรของเด็กทั่วไปครั้งหนึ่งว่าตนเองจะเลือกเส้นทางชีวิตต่อไปอย่างไรดี ตอนนั้นผมเองก็ไม่มีความคิดอะไรชัดเจน ส่วนพ่อแม่ผมก็บอกว่าอยากเรียนอะไรไม่ขัดขวางขอให้เรียนให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน พ่อกับแม่จะทำงานหาเงินส่งเสียจนสุดชีวิตกันไปข้างหนึ่ง และถ้าเรียนไม่ได้ก็กลับมาทำไร่แบบพ่อหรือค้าขายแบบแม่ก็ได้
ใจผมตอนนั้นก็คงเหมือนวัยรุ่นทั่วไป คือ แม้ว่ายังรักเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาสามปี แต่ก็ยังอยากลองของใหม่ที่ท้าทายชีวิต และพี่สาวผมสอบเข้าเตรียมอุดมได้ปีก่อน ผมจึงคิดว่าลองไปทดลองสอบที่เดียวกับพี่สาวดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร แม้ว่าจะสอบไม่ติดเพราะได้ข่าวว่าการสอบเข้าเตรียมอุดมนั้นเข้ายากมาก ประกอบกับมีเพื่อนสนิทได้มาแนะนำว่าที่กรุงเทพเขามีโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนจ่าอากาศ จ่าทหารเรือ ด้วยซึ่งน่าจะถือโอกาสไปลองสอบกันดู ซึ่งตอนนั้นผมเองไม่รู้หรอกว่าอะไรคือโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะจะคุ้นตากับยศพวกหมู่หรือจ่ามากกว่า และไม่รู้ระบบของเตรียมทหารเลย ไม่รู้ว่าเรียนจบแล้วเป็นอะไรอีกด้วย อยู่ที่ไหนของกรุงเทพก็ไม่รู้ กรุงเทพก็เคยไปไม่กี่ครั้ง ซึ่งก็มีตอนแต่งงานลูกพี่ลูกน้อง อีกที่หนึ่งก็คือสนามหลวงที่ไปกับเพื่อน แถวแผงขายหนังสือที่เคยอยู่ติดกับสนามหลวงเพื่อซื้อหนังสือพวกเก็งข้อสอบ (และอาจจะมี “ขาวไหมพี่” ติดมือมาด้วยบางครั้งตามประสาวัยรุ่นอยากรู้อยากลอง) เท่านั้น
ในที่สุดวันเวลาก็ผ่านมาถึง การสอบไล่ของ ม.ศ. 3 จบสิ้นลงเมื่อ ก.พ. 2521 ผลการสอบตอนนั้นคิดเป็นคะแนนร้อยละและจัดลำดับซึ่งผมได้ลำดับที่ 5 ของโรงเรียน โดยที่ 1 มีสามคนคะแนนเท่ากัน ลำดับที่ของผมร่วงลงกว่าตอนสอบเข้า ม.ศ. 1 ปี 2518 อยู่บ้างเพราะตอนสอบเข้าได้เป็นลำดับที่ 2 ของนักเรียนที่สอบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผมได้หอบประกาศนียบัตรเข้ากรุงเทพในราวต้นเดือนมีนาคม 2521 พร้อมกับเพื่อนผมที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน มาขออาศัยนอนอยู่กับลูกชายป้าที่อยู่เกือบสุดซอยองครักษ์ บางกระบือ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าที่ดินที่บ้านตั้งอยู่นั้นเป็นของทหาร มทบ. 11 ปัจจุบัน การมาในครั้งนั้นแม่ผมชื่นชมเป็นการใหญ่เพราะมากันสองคนกับเพื่อนตอนอายุ 16 ปีเท่านั้น การแต่งตัวก็ชุดหล่อสุดในชีวิต กางเกงแรงเล่อร์ (ปลอม) ไม่มีเข็มขัด เสื้อยืดคอกลมแฮงเท็น (ปลอมเช่นกัน) รองเท้ายูเอสมาสเตอร์สีขาวมีลายเส้นแดงราคา 250 บาท นาฬิกาแซนดอสสีทองเรือนกลมตามสมัยนิยมราคา ไม่เกิน 300 บาท
ซึ่งในใจผมคิดว่าเท่ย์สุดฤทธิ์แล้ว
ขึ้นรถโดยสารประจำทางจากท่ายางมาลงที่สายใต้เก่า สามแยกไฟฉาย นั่งรถเมล์สาย 66
ค่าโดยสาร 75 สตางค์ (อยู่มาได้ไม่ถึงสามเดือนก็ขึ้นเป็น 1 บาท หรือ 1
บาทห้าสิบสตางค์ ไม่แน่ใจ) มาตามแผนที่ที่น่าจะเรียกว่าลายแทงตามที่ถามป้าที่ท่ายางมาก่อน
อาศัยนั่งตรงด้านหน้าคอยชะเง้อดูสถานที่ที่รถผ่านและบอกคนขับให้ช่วยเตือนจนมาถึงบ้านลูกชายป้าจนได้
มาถึงลูกชายป้าที่เป็นบ้านไม้สองชั้นเล็ก ๆ สมัยก่อน ลูกป้าก็จัดที่นอนให้ตรงหัวบันไดเพราะตรงส่วนอื่น
มีเจ้าของหมดแล้วเนื่องจากบ้านนี้มีเอาไว้รับญาติพี่น้องที่เดินทางเข้ามาเรียนกรุงเทพเป็นหลัก
ผมกับเพื่อนพอมีที่ซุกหัวนอน และมีไฟอ่านหนังสือก็พอใจแล้ว
ตกกลางคืนเมื่อได้ที่ก็ปูเสื่อกางมุ้งนอนคุยกันสองคนถึงเรื่องที่จะเจอวันรุ่งขึ้นแล้วก็หลับไป
ผมและเพื่อนเรียนกวดวิชาได้สักประมาณสามอาทิตย์ก็สอบรอบแรกของเตรียมทหาร ถ้าจำไม่ผิดสนามสอบคงจะเป็นที่ จุฬาลงกรณ์ และทำให้เห็นนักเรียนเตรียมทหารครั้งแรกเพราะเขามาช่วยคุมสอบ วิชาที่สอบเข้านั้นเป็นวิชาที่ผมถนัดเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ เรขาคณิต วิทยาศาสตร์ หรือภาษาอังกฤษ วิชาพวกนี้ตอนเรียนมัธยม ผมมักจะได้เต็มเสมอ
อย่างไรก็ตามตอนสอบนั้นความรู้สึกของผมคิดว่ามันยากกว่าปกติและเวลาไม่เหลือให้ทบทวนรอบสอง ประกอบกับทราบว่ามีคนสมัครประมาณหนึ่งหมื่นสามพันกว่าคน ผมจึงคิดว่าคงไม่รอดแน่ ปกติการสอบของผมมักจะทำเสร็จก่อนเวลาเสมอและออกจากห้องสอบถ้าเป็นการสอบที่ผมไม่ซีเรียดมากนัก เช่น การสอบในเวลาต่อมาที่สอบเข้าเตรียมอุดม ผมทำรอบเดียว นับว่าวงครบทุกข้อแล้วก็ออกมาทั้ง ๆ ที่เหลือเวลาอีกมาก จึงทำให้ได้ยินผู้ปกครองที่มากับนักเรียนคนอื่นพูดให้ได้ยินว่าสงสัยผมจะทำไม่ได้เลยออกมาก่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จนวันประกาศผลรอบแรกของทั้งสองโรงเรียน ซึ่งมีชื่อผมผ่านทั้งสองแห่ง
ระหว่างการรอสอบรอบสองนั้น ผมก็เดินทางกลับไปอยู่ที่ท่ายางเสียส่วนใหญ่แต่ตอนนี้มีความอึดอัดมากขึ้นกว่าปกติเพราะดันมีการลุ้นด้วยการผ่านรอบแรกขึ้นมา รอบสองสำหรับเตรียมอุดมนั้นเท่าที่ทราบคงไม่มีปัญหาเท่าไรเพราะเขาไม่ได้เน้นมากนัก แต่สำหรับเตรียมทหารนั้นเป็นคนละเรื่องกันเพราะการสัมภาษณ์ การตรวจโรค และความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าความรู้เท่าไรนัก ดังนั้นเมื่อผมกลับมาบ้านผมจึงต้องเพิ่มการฟิตร่างกาย ปกติผมเป็นคนชอบวิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะชอบชกมวยและเล่นบาสเก็ตบอล จึงมีกลุ่มที่วิ่งตอนเช้าและตอนเย็นเป็นประจำ แต่การทดสอบร่างกายของเตรียมทหารนั้นผมเองต้องทำเป็นพิเศษ เพื่อให้เป็นเลิศกว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ
ผมเคยตื่นตีห้ากว่า ๆ มาวิ่ง ก็ต้องปรับเป็นตีสี่กว่า ๆ เพราะผมเอาถุงทรายที่ดัดแปลงขึ้นมาเองรัดขาเวลาวิ่งไปด้วยและวิ่งไกลกว่าเดิม ซึ่งก็มีความรู้สึกว่าอายชาวบ้านที่จะทำให้เขาเห็นเพราะถ้าสอบไม่ได้ก็คิดไปเองว่าคงหน้าแตก จึงต้องค่อย ๆ แอบพ่อแม่ออกมาตอนตีห้าไปวิ่งตามชายคลองชลประทานที่มืด ๆ เพื่อไม่ให้คนเห็น จำได้ว่าเช้าวันหนึ่งตอนแอบออกมาหน้าบ้านตอนตีห้ากำลังเอาถุงทรายรัดขา แม่คงสงสัยว่าทำอะไรลึกลับก็เลยโผล่หน้ามาถามว่าทำอะไรก็ต้องเอาถุงทรายแอบแทบไม่ทันเหมือนกัน สำหรับเรื่องดึงข้อก็อาศัยว่าประตูบ้านดึงเช้าดึงเย็น รวมทั้งท่าออกกำลังกายอื่น ๆ ที่ได้รับการแนะนำมาตอนกวดวิชา สำหรับเรื่องว่ายน้ำนั้นสบายหน่อยเพราะเป็นเด็กแม่น้ำ การว่ายข้ามแม่น้ำเพชรช่วงหน้าน้ำกลับไปกลับมาเป็นเรื่องที่ทำได้สบายมากมานานแล้วก็เลยไม่เป็นห่วงเท่าไร
การสอบสำหรับรองสองเหลือคนประมาณพันกว่าคน และผลัดเป็นวงรอบจึงได้มาสอบที่โรงเรียนเตรียมทหารเดิมที่ติดกับสวนลุมพินี ที่มาของฉายาสุภาพบุรุษพระรามสี่ในอดีต สำหรับผมนับได้ว่าเป็นความพิลึกพิลั่นของชีวิตเลยก็ว่าได้ จำได้ว่าตอนที่กำลังทดสอบร่างกายในสนามนั้นพวกที่ผ่านการสอบเช่นกันแต่กำลังสอบสัมภาษณ์และตรวจโรคอยู่บนตึกตัววาย ก็มีบางคนยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างแล้วก็ตะโกนรายงานตัวบ้าง ตะโกนอยากเป็นนักเรียนเตรียมทหารบ้าง เสียงดังโหวกเหวกตลอดเวลา
------------------------------------
Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต
พ.ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น