14 ธันวาคม 2566

“ครอบครัวตัวบอ ตะลุยโตเกียว" ไปต่อไม่ง้อทัวร์

ครอบครัวตัว บอ
“พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นปลายปีนี้ คุณพ่อจะไปด้วยไหม?” น้องฝนลูกสาวคนโตที่ทำงานเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาทันตแพทย์ได้บอกผมเมื่อประมาณมิถุนายน 2566 ซึ่งคำว่า “เรา” หมายถึง คุณแหม่มภรรยาและบุตรของผม 3 คน คือ น้องฝน น้องฟ้า ลูกสาวสองคนและน้องเมฆลูกชาย โดยไม่ได้รวมผมไปด้วย ผมเองตั้งแต่ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างปี พ.ศ.2545 - 2548 ได้มีโอกาสพาครอบครัวของผมรวมผมด้วย 5 คน ที่ผมมาเรียกภายหลังว่า “ครอบครัวตัวบอ” เนื่องจากอักษรของทุกคนไม่ขึ้นด้วย บ ใบไม้ ก็ต้อง อ อ่าง ในครั้งนั้นน้องฝนยังอายุเพียง 5 ขวบ น้องฟ้า 4 ขวบ และน้องเมฆยังไม่ครบ 2 ขวบดี ซึ่งยังจำอะไรไม่ได้เลย แต่ในห้วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมก็จะพาทุกคนออกไปเที่ยวชมเมืองและกิจกรรมของนิวยอร์กแทบทุกสัปดาห์ และในหลายครั้งก็จะนั่งรถนำเที่ยวไปเที่ยวค้างคืนต่างเมืองด้วย เช่น Washington DC, Niagara Fall, Boston, Atlantic City, สวนสนุก Six Flags แต่สถานที่หนึ่งที่พี่ ๆ ที่รู้จักและคนไทยในนิวยอร์กแนะนำให้พาครอบครัวไปแต่ผมไม่ได้พาไปคือ สวนสนุก Disney World ใน Florida เนื่องจากเห็นว่าลูกยังเล็ก และค่าใช้จ่ายสูงมาก อีกทั้งหาเหตุผลให้ตนเองว่าวันหนึ่งเขาคงมาด้วยตนเองได้ เพราะผมเองตอนมาเรียนหลักสูตรทางทหารที่ Fort Benning, Georgia เมื่อ พ.ศ.2536 ทางหลักสูตรที่เรียนได้นำเที่ยวสถานที่แห่งนี้ด้วย

19 เมษายน 2546 ครอบครัวตัวบอท่องเที่ยว Washington DC 

          หลังจากทำงานครบ 3 ปี ผมจบภารกิจที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติกลับมาทำงานต่อที่กองทัพบก ก็มีความตั้งใจว่าจะพาครอบครัวไปเที่ยวประเทศใกล้ ๆ กับไทยประมาณปีละครั้ง แต่เอาเข้าจริงความตั้งใจดังกล่าวก็เรียกว่าไม่สามารถปฏิบัติได้เลย สาเหตุสำคัญคือ ในปีแรกทางกองทัพบกส่งตัวให้ไปทำงานที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ความเด็ดเดี่ยวตั้งใจลดน้อยถอยลง และเหตุผลประกอบอื่น ๆ เช่น การห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่ พ่อแม่ ความเสียดายเงิน ความคิดเดิมในการนั่งเครื่องบินที่จะรักษาสิ่งที่ภูมิใจตั้งแต่กระโดดร่มออกจากเครื่องบินตอนเป็นนักเรียนนายร้อยและผมเองก็มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศอีกหลายครั้งที่ไม่เคยเสียเงินเลย จึงเชื่อว่าการนั่งเครื่องบินครั้งใดต้องนั่งฟรีเท่านั้น ก็เลยทำให้ความตั้งใจตอนแรกยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด นอกจากจะมีครั้งหนึ่งที่เพื่อนนักเรียนนายร้อยด้วยกันจัดนำเที่ยวนครวัด นครธม เมืองเสียมเรียบ กัมพูชา แบบไปเช้าเย็นกลับเมื่อ 5 กันยายน 2558 ที่ได้พาครอบครัวกันไปแต่ก็ขาดน้องฝนคนหนึ่ง หลังจากนั้นจนเกษียณเมื่อ ตุลาคม 2565 จนเลยมาอีก 9 เดือน จึงได้มีคำบอกเล่าดังกล่าวของน้องฝนขึ้นมา

5 กันยายน 2558 ครอบครัวตัวบอท่องเที่ยว นครวัด นครธม 

          การท่องเที่ยวญี่ปุ่น ณ พ.ศ. นี้เป็นที่นิยมอย่างมากของคนไทย ด้วยเหตุผลขั้นต้นสามสี่ประการ ได้แก่ ญี่ปุ่นเปิด Visa Free ให้แก่นักท่องเที่ยวคนไทย ซึ่งหมายถึงไปเที่ยวมีแค่เอกสารหนังสือเดินทางอย่างเดียวก็เข้าประเทศได้แล้ว, ความปลอดภัยในการท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีข่าวคราวเรื่อง จี้วิ่งชิงปล้นนักท่องเที่ยวในประเทศนี้, ความเจริญที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิม ตลอดจนอาหารการกินที่ถูกปากคนไทย  

    “จะไปกันอย่างไร” ผมถามเป็นคำถามแรก “เราจะไปกันเอง” น้องฝนตอบมุ่งเข้าประเด็นหลักที่ผมคิดไม่ถึง ซึ่งหมายความว่าจะไม่พึ่งพาบริษัททัวร์เลย “การไปเองมันเสี่ยงความผิดพลาดโดยไม่จำเป็น” ผมทักท้วงอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าเราอยู่ในจุดที่สามารถซื้อความสะดวกสบายพอได้ แต่ลูก ๆ ของผมมีเป้าหมายความต้องการอยู่แล้วว่า ไม่ชอบการท่องเที่ยวที่เขาเรียกกันว่าชะโงกทัวร์ และไม่อยากทำตามโปรแกรมที่ทัวร์กำหนด ซึ่งผมก็ให้เหตุผลข้อดีการใช้บริการบริษัททัวร์และข้อเสียของการเดินทางไปกันเองหลายประการ ซึ่งถ้าทุกคนเปลี่ยนใจไปใช้บริการบริษัททัวร์ก็จะทำให้ผมเบาใจได้เกินขึ้นว่าน่าจะสะดวกปลอดภัยตลอดการเดินทาง  

17 พฤศจิกายน 2546 แวะพักโตเกียวระหว่าง ตรวจเยี่ยมกองกำลัง
รักษาสันติภาพสหประชาติ - ติมอร์ตะวันออก

2 กันยายน 2561 ร่วมคณะหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา
ดูงานการบรรเทาสาธารณภัย ญี่ปุ่น
 

        ซึ่งจะทำให้ผมที่เคยไปญี่ปุ่นมาแล้วสองครั้ง ไม่ต้องร่วมไปด้วยให้เปลืองเงินเพิ่มอีกในส่วนค่าใช้จ่ายของผม และผมได้สืบค้นราคาทัวร์ญี่ปุ่นมาให้ดูว่าในราคาไม่แพงมากนักตั้งแต่ประมาณ 30,000 - 50,000 บาทต่อคน แล้วแต่สถานที่ที่จะไปและระยะเวลามาให้เลือก แต่ก็ได้รับคำตอบว่าจะวางแผนไปกันเองเช่นเดิม ผมทิ้งระยะเวลาให้เปลี่ยนใจอีกหลายวันแต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนใจไปจากเดิม ซึ่งผมก็นิ่งเฉยไประยะหนึ่งไม่คุยเรื่องนี้อีกกับครอบครัว แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้สอบถามเพื่อน ๆ ที่มีประสบการณ์ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเอง โดยเฉพาะเพื่อนที่อยู่บ้านบึงบอกเล่าถึงการเที่ยวญี่ปุ่นของลูก ๆ เขาที่ไปกันเอง โดยได้บอกข้อมูลว่าการไปเที่ยวช่วงปลายปีจะเป็นฤดูการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นสำหรับคนไทยที่ชอบไปดูใบไม้เปลี่ยนสีและต่อด้วยหิมะตก ทำให้การจองเครื่องบินและที่พักอาจไม่ได้ตามต้องการหรือถ้ามีก็แพงมาก ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 4 - 5 เดือน เพื่อให้ได้ราคาที่ยอมรับได้ นั่นหมายความว่าถ้าผมจะไปเดือนธันวาคมปลายปีนี้ ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินและจองที่พักได้แล้ว

          ห้วงปลายเดือนมิถุนายน ผมรวบรวมปัจจัยต่าง ๆ นำมาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นเพื่อกำหนดแนวทางที่จะเกิดขึ้น แล้วก็ได้แนวทางคร่าว ๆ เป็นข้อตกลงใจขั้นต้นว่า ครอบครัวตัวบอทั้ง 5 คน จะไปเที่ยวญี่ปุ่นกันในเดือนธันวาคมนี้ ใช้เวลารวมเดินทาง 6 - 7 วัน ค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 50,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญมากก็คือ ต้องไม่มีการฉีดวัคซีนโควิด 19 เพิ่มหรือการตรวจเชื้อแบบใช้ไม้แยงจมูก หรือมีการกักตัวทั้งขาเข้าและออกประเทศไทยหรือญี่ปุ่น จากนั้นก็ส่งข่าวทางไลน์กลุ่มครอบครัวให้ทุกคนทราบการตกลงใจครั้งนี้ และบอกให้น้องฝนรวบรวมความคิดเห็นจากทุกคนว่าอยากจะไปที่ไหนบ้าง กำหนดวันที่จะไป เที่ยวบินรวมราคาค่าตั๋วโดยสาร และกำหนดการขั้นต้น

        การหารือระหว่างพี่น้องทั้ง 3 คนและคุณแหม่มขั้นต้นกำหนดว่าจะเริ่มเดินทางกันใน 1 ธันวาคม กลับ 6 ธันวาคม รวม 6 วัน 5 คืน และได้นำกำหนดการเที่ยวญี่ปุ่นเดิมของเพื่อนน้องฝนที่เคยไปเที่ยวสถานที่เด่น ๆ ในโตเกียวมาให้ดู เช่น วัด Sensoji, ซิบุยา, สวนอูเอโนะ, อนุสาวรีย์สุนัขฮาจิโกะ เป็นต้น และแถมด้วย ไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจินอนค้างริมทะเลสาบ 1 คืน และสวนสนุก Tokyo DisneySea 1 วัน ซึ่งผมไม่ขัดข้องอะไร แต่ให้ดำเนินการขั้นต่อไปคือ การลางานของคุณแหม่ม น้องฝน น้องฟ้า และลาเรียนของน้องเมฆให้ทางหน่วยงานอนุมัติให้เรียบร้อย และให้ตรวจสอบว่าหนังสือเดินทางพร้อมหรือไม่ (มีอายุเกิน 6 เดือนนับจากวันเดินทาง) ซึ่งต้องทำใหม่ 2 คน เล่มละ 1,500 บาทอายุ 10 ปี คือ ผมที่หนังสือเดินทางพลเรือนหมดอายุพอดี และของคุณแหม่มที่ระยะเวลาหนังสือเดินทางเหลือไม่พอ 6 เดือน โดยต้นเดือนกรกฎาคมได้ไปทำที่กรมการกงสุลย่อย อยู่ในห้างมาบุญครอง (น่าจะชั้น 5) โดยจองคิวผ่านเว็บไซต์ไปก่อน การดำเนินการใช้เอกสารบัตรประชาชนและดำเนินการตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ไม่ติดขัดอะไร ทำเสร็จ จ่ายเงินแล้วมารอรับเล่มหนังสือเดินทางได้ที่บ้าน 

            จากนั้นก็นำมา Scan หน้าข้อมูลของแต่ละคน นำไปเก็บไว้จัดระเบียบเก็บไว้ใน Folder ที่สร้างขึ้นมาใน Dropbox และแชร์ให้ทุกคนในการเดินทางได้เข้าถึงได้ทาง iPhone รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต่ออินเทอร์เน็ตและใช้ประโยชน์ได้ในทันที อีกทั้งได้สะสมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทะยอดใส่เข้าไปด้วย

ไฟล์เอกสาร/ข้อมูลที่ใช้ในการท่องเที่ยวญี่ปุ่น
          ประมาณสัปดาห์ที่สองของเดือนกรกฎาคม หลังจากได้รับการยืนยันแน่ชัดจากเว็บไซต์ทางการของญี่ปุ่นแล้วว่าไม่มีการตรวจการรับวัคซีนโควิด 19 หรือการตรวจโควิดด้วยการใช้ไม้แยงจมูก ในการเดินทางเข้าประเทศอย่างแน่นอน น้องฝนก็แจ้งว่า ได้ทำการสืบค้นหาตั๋วเครื่องบินเดินทางตามที่กำหนดผ่าน App Expedia แล้ว ตั๋วแต่ละสายการบินราคาแพงมากคือ ประมาณคนละ 30,000 บาท แต่ถ้าเปลี่ยนวันเดินทางเป็นห้าโมงเช้าวันที่ 30 พฤศจิกายน และกลับเที่ยวบินที่ไปถึงไทยเวลา 1.30 น. ของวันที่ 7 ธันวาคม รวมเวลา 7 วัน 6 คืน กับเศษ อีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ราคาตั๋วท่าอาศยานสุวรรณภูมิ ไปกลับท่าอากาศยาน Narita ของสายการบินต้นทุนต่ำ Air Asia X จะราคาประมาณคนละ 20,000 บาท โดยไม่รวมกระเป๋าโหลดเพิ่ม นำไปได้เฉพาะกระเป๋าติดตัวหนัก 7 กิโลกรัมและหากจะรับประทานอาหารต้องจ่ายเงินเพิ่ม ทำให้เกิดคำถามว่าจะเอาอย่างไรดี เพราะหมายความว่าการลดราคาตั๋วจะส่งผลกระทบให้เพิ่มค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีก 1 วัน ได้แก่ ค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่าไปเที่ยว มันจะคุ้มกับส่วนต่าง 10,000 บาทหรือไม่ ซึ่งไม่มีใครตอบได้เพราะไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายจะเพิ่มเท่าไรแน่ เนื่องจากไม่เคยจ่ายและมองไม่ออกว่าจะกินอยู่กันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนคือ การลดค่าเครื่องบินลงไป 5 คนรวม 50,000 บาทแน่ ๆ 

        ผมเองก็คิดว่าคงไม่รอข้อมูลเปรียบเทียบอะไรอีกแล้ว ด้วยเกรงว่าการรอจะทำให้ตั๋วเครื่องบินแพงขึ้นไปอีก จึงบอกให้น้องฝนให้ใช้ข้อมูลชื่อนามสกุลภาษาอังกฤษ หมายเลขหนังสือเดินทางที่แชร์ใน Dropbox ใช้กรอกข้อมูลการจองผ่าน App Expedia ได้เลยโดยให้หมายเลขบัตรเครดิตทหารไทยธนชาต ที่มีวงเงิน 160,000 บาท ไปให้ในการจ่ายเงินเป็นค่าตั๋วโดยสารคนละ 19,657 บาท และให้ซื้อน้ำหนักกระเป๋าบรรทุกเพิ่มอีก 5 ใบ ๆ ละ 20 กิโลกรัม แต่น้องฝนคิดว่าสิ่งของคงไม่มาก เลยซื้อเพียง 4 ใบ ๆ ละ 1,617 บาท  ค่าธรรมเนียม 5 คน ๆ ละ 320 บาท รวมจ่ายไป 106,353 บาท 

            กำหนดเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิวันที่ 30 พฤศจิกายน เวลา 10:50 น. ขากลับเดินทางออกจากท่าอากาศยาน Narita วันที่ 6 ธันวาคม เวลา 20:45 น. ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิวันที่ 7 ธันวาคม เวลา 01:30 น. ภายหลังจากที่ซื้อไปแล้ว ถึงทราบว่าที่ทำงานของลูกบางคนพึ่งอนุมัติการลาภายหลังจากที่ซื้อตั๋วเครื่องบินไปแล้ว นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีผลกระทบอะไร แม้ว่าระยะเวลาการท่องเที่ยวจะเพิ่มจากเดิมอีก 1 วัน เป็น 7 วัน 6 คืน (และเศษอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง)

ข้อมูลจากจองและจ่ายค่าเครื่องบิน Air Asia ไปกลับไทย ญี่ปุ่น

          คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนต่อไปที่ต้องทำติด ๆ หลังจากซื้อตั๋วเครื่องบิน คือ การวางแผนจองโรงแรมที่พัก โดยที่โตเกียวเมื่อครั้งยังทำงานกับสหประชาชาติและหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ผมเคยไปนอนพักที่ Hilton Tokyo Odaiba และ Keio Plaza Hotel ย่านชินจูกุ ราคาน่าจะห้องละ 7,000 – 10,000 บาท ซึ่งทางหน่วยงานจ่ายให้ แน่นอนว่าถ้าจองห้องเหล่านี้ต้องแพงเกินไปแน่หากต้องนอนหลายห้องและหลายคืน ก็บอกน้องฝนไปเป็นข้อมูลขั้นต้น แต่ในอีกทางหนึ่งเพื่อนของน้องฝนก็บอกให้หาที่พักในย่าน Ueno ซึ่งผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่น้องฝนก็ให้เหตุผลว่าสะดวกในการเดินทางจากท่าอากาศยาน Narita ด้วยรถไฟต่อเดียวและราคาอยู่ในระดับห้องละ 2,500 – 3,500 บาท ซึ่งผมได้หาข้อมูลจากนักท่องเที่ยวคนไทยใน YouTube หลายคนแล้วก็แนะนำโรงแรม APA Hotel Ueno ที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟจากท่าอากาศยาน Narita และเป็นจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอื่น ๆ และสวนสาธารณะ ซึ่งคนไทยนิยมไปพักเยอะ แต่จะมีข้อเสียที่สำคัญคือ ห้องจะแคบแบบหาที่วางกระเป๋าเดินทางแทบไม่ได้ ซึ่งก็ตกลงใจเลือกโรงแรมนี้แหละในการพักที่โตเกียว ส่วนโรงแรมที่จะไปนอนใกล้กับภูเขาไฟฟูจิต้องหาข้อมูลอีกว่าจะเอาไงดี ในทริปกับหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาผมเคยไปพักโรงแรม Fuji Matsuzono Hotel ริมทะเลสาบ Yamanaga ก็คิดว่าดีมากนะ แต่ไม่ทราบราคา อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลและคำแนะนำของหลายแหล่งบอกให้หาโรงแรมนอนริมทะเลสาบ Kawaguchiko ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมาก และทราบว่าเป็นทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิที่ใหญ่ที่สุดและเห็นฟูจิดีที่สุดจากจำนวน 5 ทะเลสาบ (มาทราบภายหลัง)

ถึงขั้นตอนนี้เริ่มต้องใช้สมองหนักแล้ว เพราะต้องวางตารางเวลาให้ลงตัวว่าวันไหนจะเที่ยวในโตเกียว วันไหนจะไปนอนแถวภูเขาไฟฟูจิ และวันที่เพิ่มมาอีกวันหนึ่งจะทำอย่างไรกับมันเพื่อให้ลงตัวในการจองที่พักด้วย ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อมูลจาก YouTuber คนไทยที่ดูมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังมองภาพไม่ชัดนักถึงขั้นตอนต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การจองรถหรือปัญหาธุรการที่ไม่มีใครตอบได้ เช่น การฝากกระเป๋าใบใหญ่หลังจากออกจากโรงแรมในโตเกียวไป Kawaguchiko จะทำอย่างไร แล้ววันที่ต้องเพิ่มอีก 1 วันจะไปไหนกันดี หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองสักสามสี่วันก็ได้แนวทางว่า การไปพักที่ทะเลสาบ Kawaguchiko เพื่อดูภูเขาไฟฟูจิจะใช้วันกลาง ๆ ใช้เวลา 2 วัน ที่ไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์, การไปเที่ยวสวนสนุก Tokyo DisneySea จะใช้วันหลังจากกลับมาจาก Kawaguchiko 1 วัน ที่ไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์, วันที่สองต่อจากวันเดินทางมาถึงให้เที่ยวในโตเกียว 1 วัน, ส่วนวันที่งอกมาให้ไปเที่ยว Nikko เมืองมรดกโลกของญี่ปุ่นที่อยู่ออกนอกโตเกียวไปประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร 1 วัน, วันเดินทางไปกลับ 2 วัน จะได้กำหนดการคร่าว ๆ ดังนี้

วัน 1 เดินทางไปโตเกียวเข้าที่พัก

วัน 2 ชมสถานที่ในโตเกียว

วัน 3 ชม Nikko เมืองมรดกโลก

วัน 4  ชมภูเขาไฟฟูจิและพัก Kawaguchiko

วัน 5 เดินทางกลับโตเกียว ชมสถานที่ในโตเกียว

วัน 6 ชม Tokyo DisneySea

วัน 7 ชมสถานที่ในโตเกียว เดินทางกลับไทย 

เมื่อได้กำหนดการหลักแล้วก็มาถึงขั้นตอนสำคัญที่สอง คือ การจองที่พักให้สอดคล้องกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ดำเนินการเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ในส่วนที่พักในโตเกียวค่อนข้างตัดสินใจง่ายจากข้อมูลและคำแนะนำจากหลาย ๆ แหล่งที่ให้เลือก APA Hotel Ueno แต่ตอนจะจองต้องดูให้ดีเพราะมี APA Hotel ใน Ueno มากกว่า 1 แห่ง ซึ่งโรงแรม APA Hotel ที่ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินและรถไฟไปท่าอากาศยาน Narita มากที่สุดมีชื่อเต็มว่า APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae และได้นัดลูก ๆ มาช่วยกันดูในการจองโรงแรมในคืนวันที่ 3 สิงหาคม โดยก่อนหน้านี้คุณแหม่มและลูก ๆ ก็ชวนผมให้แลกเงินเยนจาก Super Rich เพราะราคาเงินเยนอ่อนลงใกล้จะ 0.24 เยนต่อ 1 บาท และได้แนะนำให้ผมใช้บัตรเงินสดต่างประเทศ You Trip ของกสิกรไทย ที่ผมได้ยินจากเพื่อน ๆ มาพักใหญ่แล้วแต่ก็ไม่ได้สนใจดำเนินการทั้งสองอย่างเพราะยังเห็นว่ายังอยู่อีกนาน  

กรรมวิธีการจองที่พักนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาดก็ได้มีการประชุมทางไกลของผมและลูก ๆ ทั้ง 3 คน ผ่าน Zoom และแชร์หน้าจอขั้นตอนการจองผ่านเว็บไซต์ Agoda.com โดยแบ่งออกเป็น 3 ห้วงเวลา ได้แก่ ห้วงแรกจอง 3 คืน 30 พฤศจิกายน และ 1, 2 ธันวาคม ที่ APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae จำนวน 3 ห้อง (ผมกับคุณแหม่ม 1 ห้อง, น้องฟ้ากับน้องฝน 1 ห้อง, น้องเมฆ 1 ห้อง) ในราคา 113,313 เยน หรือประมาณ 28,328 บาท จากอัตราแลกเปลี่ยน 1 เยน เท่ากับ 0.25 บาท (อัตราแลกเงินที่ไทยขณะนั้นผ่าน Super Rich ประมาณ 1 บาท เท่ากับ 4 เยน หรือ 1 เยน เท่ากับ 0.238 - 0.24 บาทเศษ) โดยผ่านบัตรเครดิตกรุงไทย ซึ่งยังไม่ตัดเงินทันที แต่จะรอไปตัดเงินจากบัตรเครดิตก่อนเข้าที่พักประมาณ 3 วัน หรือเราให้ตัดบัตรทันทีก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะรอตามที่เขาให้สิทธิ์ แต่เมื่อถึงวันที่ตัดบัตร 27 พฤศจิกายน ถูกคิดเงินเพิ่มอีกประมาณ 1,300 บาทจากที่คิดเองเดิม รวมเป็น 29,678.66 บาท หรือประมาณห้องละ 3,297 บาท/คืน หรือ 1,978 บาท/คน/คืน 

ภาพหน้าจอ App Agoda ยืนยันการจองห้องพักห้วงที่ 1 โรงแรม APA

จากนั้นก็กระโดดมาจองห้วงที่ 3 อีก 2 คืน คือ วันที่ 4 และ 5 ธันวาคม การคิดราคาที่จองในห้วงนี้เป็นเงิน 61,293 เยน หรือ 15,323 บาท แต่เวลาตัดเงินจากบัตรใน 1 ธันวาคม ตัดไป 16,001 บาท หรือคิดห้องละ 2,666 บาท/คืน หรือ 1,600 บาท/คน/คืน ซึ่งถูกกว่าห้วงแรก คงน่าจะเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุด 

ภาพหน้าจอ App Agoda ยืนยันการจองห้องพักห้วงที่ 3 โรงแรม APA

สำหรับในห้วงที่ 2 คือการนอนโรงแรมริมทะเลสาบ Kawaguchiko นั้น ขั้นต้นน้องฟ้าที่รับหน้าที่นี้ได้พยายามหาโรงแรมที่ใกล้กับสถานีรถบัสโดยสารของ Kawaguchiko ให้มากที่สุดเพราะคิดว่าจะไม่ลำบากในการลากกระเป๋า แต่ก็หาในราคาย่อยเยาไม่ได้ ส่วนโรงแรมที่พักที่อยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบอันเป็นที่นิยมเนื่องจากมองเห็นภูเขาไฟฟูจิเต็มตาก็ราคาสูงมากเช่นกัน หาไปหามาในราคาที่เหมาะสมก็มาได้โรมที่ชื่อ Hotel Koryu ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลสาบ Kawaguchiko โดยจองไป 2 ห้อง นอนได้ ห้องละ 2 – 3 คน แต่โรงแรมนี้จะตัดเงินจากบัตรเครดิตกรุงไทยทันทีคิดเป็นเงิน 13,718 บาท หรือตกห้องละ 6,859 บาท หรือคนละ 1,371 บาท/คน/คืน 

ภาพหน้าจอ App Agoda ยืนยันการจองห้องพักห้วงที่ 2 โรงแรม Koryu

สำหรับในคืนวันที่ 6 ต่อ 7 ธันวาคม เป็นการนอนบนเครื่องบินระหว่างการเดินทางกลับไทยก็เว้นไปไม่ต้องจองที่พัก ในส่วนข้อมูลนี้ผมก็ได้แชร์รหัสการเข้า App Agoda ให้ทุกคนได้ทราบ รวมทั้ง Copy ภาพรายละเอียดการจองที่พักทั้ง 3 ห้วง เก็บไว้ใน Dropbox เช่นกัน

ระหว่างการจองที่พักในญี่ปุ่นก็มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยจากการแจ้งจากน้องฝนว่าได้ใช้ข้อมูลจากหนังสือเดินทางของทุกคนที่แชร์ไว้ ทำการจองเครื่องบินและทีพักในกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียระหว่าง 29 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม รวม 3 วัน 2 คืน พร้อมกำหนดการท่องเที่ยวมาให้เรียบร้อย เหมือนจะเป็นการซ้อมเตรียมความพร้อมเดินทางไปญี่ปุ่นในตัว ซึ่งก็เป็นการเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น ๆ ที่คุ้มค่าประทับใจมากครั้งหนึ่งทีเดียวซึ่งผมได้บันทึกการเดินทางไว้เช่นกันสามารถอ่านได้ที่  https://bentagon.blogspot.com/2023/10/3-2-66.html 

30 กันยายน 2566 ครอบครัวตัวบอ ตะลุยกัวลาลัมเปอร์

หลังจากไปมาเลเซียกลับมาเรียบร้อย ก็ได้รับแจ้งทางอีเมล์ของ Air Asia ว่าได้มีการปรับเลื่อนเวลาการเดินทางทั้งขาไปและกลับช้าลง 1 ชั่วโมง ซึ่งตอนแรกก็มีความเป็นกังวลอยู่บ้างเพราะเวลาถึงท่าอากาศยาน Narita จากเดิมเวลา 19:00 น. ก็จะเป็นเวลา 20:00 น. กว่าจะออกจากสนามบินก็ไม่ต่ำกว่า 21:00 น. อาจทำให้การต่อรถไฟมายังโรงแรม APA อาจจะมีปัญหาได้ 

Air Asia แจ้งเลื่อนเวลาบินช้าลงอย่างละ 1 ชั่วโมง

แต่เมื่อให้ลูก ๆ ช่วยกันดูและสอบถามเพื่อน ๆ ก็หายกังวลเพราะมีการยืนยันว่ารถไฟจะยังคงวิ่งรับส่งคนจากสนามบินจนถึงห้าทุ่มเพียงแต่เค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ที่เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้จะปิดเวลา 21:00 น. จากนั้นระหว่างที่มีเวลาว่างหรือขับรถผมก็เปิด YouTube คลิปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเองแล้วก็นำมาจัดทำเป็นกำหนดการแบบละเอียดแม้ว่าจะยังมองภาพต่าง ๆ ไม่ชัดตามนี้  

วันพฤหัสบดีที่ 30 พ.ย.66 (การเดินทางไปโตเกียว 1/1/0/0 : กลางวัน/พักโตเกียว/พักฟูจิ/นอนบนเครื่องบิน)

07:20 น. เดินทางออกจากบ้านด้วยรถส่วนตัว muX (อย่าลืมพาสปอร์ต, บัตรประชาชน, มือถือ เงินสด)

08:00 น.  ถึงที่จอดรถ ที่จอดรถ.com เปลี่ยนรถ

08:30 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารขาออก ประตูสายการบิน Air Asia

08:55 น. Check in โหลดกระเป๋าให้เรียบร้อย

09:30 น. รับประทานอาหารเช้าชั้น 1 อาคารผู้โดยสาร

10.30 น. นั่งรถใต้ดินไปอาคาร SAT-1

11:00 น. อยู่หน้า GATE พร้อมขึ้นเครื่อง

11:55 น. เครื่องบิน Air Asia XJ 606 เดินทางออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (6 ชม. 5 นาที) (53,159 บาท)

            ต่อไปเป็นเวลาประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 2 ชม.

20:00 น. เครื่องบิน Air Asia XJ 606 เดินทางถึงท่าอากาศยานนาริตะ Terminal 2

            รับประทานอาหารเย็นแบบกล่อง

21:00 น. เดินทางจากท่าอากาศยานนาริตะ Terminal 2 ด้วย Sky liner (2,570 เยน/คน) (58 นาที)

22:00 น. Sky Liner เดินทางถึงสถานี Keisei Ueno Station
22:15 น. เดินจาก Keisei Ueno Station เข้าพัก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae (1 นาที)

            เช็คอินที่พัก (Agoda App) (9,241 บาท)

22:30 น. พักผ่อน

วันศุกร์ที่ 1 ธ.ค.66 (เที่ยวในโตเกียว 2/2/0/0)

06:00 น. ตื่นนอน

07:00 น. รับประทานอาหารเช้า ร้านอาหารบริเวณใกล้เคียงโรงแรมที่พัก

08:00 น. เดินจาก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae ไปสถานี Ueno Hirokoji ต่อรถไฟสาย Ginza line ไปวัดเซนโซจิ (16 นาที)

08:16 น. ถึง Asakusa Station เดินต่อ 2 นาที ถึงวัดเซนโซจิ

09.30 น. เดินข้ามไปเที่ยว สวนสาธาระณะซูมิดะ ชมวิวริมแม่น้ำ ตึกอาซาฮี และโตเกียว สกายทรี ข้างสวนสาธารณะเป็นท่าเรือ Water bus ไปเกาะโอไดบะ

10:30 น. โดยสารรถไฟจาก Asakusa Station ไป Ueno Station เที่ยวห้าง Ueno ตรงระเบียงชั้น 3 มีจุดถ่ายรูปตลาด Ameyoko, Shopping ตลาด Ameyoko ร้านรองเท้าชื่อดัง ABC Mart, ช๊อปปิ้งร้าน Yodobashi หน้าตลาด Ameyoko

12:00 น. มื้อเที่ยงทานข้าวที่ Ichiran ramen ราเมงชื่อดังของญี่ปุ่น ร้านอยู่ในสถานี JR Ueno ทางออก Yamashita Exit

13:00 น. เดินทางจาก Ueno Station ไป Akihabara Station (Habiya Line, Yamanote Line 140 เยน 3 นาที)

13:05 น. เที่ยวชมแหล่งศูนย์รวมการ์ตูน ร้าน Maid Cafe ความบันเทิง และ เครื่องใช้ไฟฟ้า – อิเล็กทรอนิกส์ในโตเกียว, ดองกี้

14:30 น. เดินทางจาก Akihabara Station – Tokyo Station (Yamanote Line 140 เยน 4 นาที)

14:35 น. ชมสถานีรถไฟโตเกียว JR Tokyo ออกทาง South Exit สถานีเป็นอาคารอิฐ สไตล์ยุโรป เดินต่อไปยังสะพานนิจูบาชิ สะพานนี้เชื่อมต่อกับพระราชวังอิมพีเรียล

16:00 น. Tokyo Station – Ueno Station (Keihin Line 167 เยน เดิน 5 นาที รวม 23 นาที)

18:00 น. รับประทานอาหารเย็น

19:30 น. เดินทางกลับ Ueno Station

20:00 น. เข้าที่พัก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae (9,241 บาท)

วันเสาร์ที่ 2 ธ.ค.66 (เที่ยวนิโก้ เมืองมรดกโลก 3/3/0/0)

08:00 น. จาก Ueno Hirokoji Station ไป Asakusa Station

08:15 น. เดินทางด้วย Tobu Railway แบบด่วนพิเศษ ไป Shimo Imaichi Station Tobu-Nikko (2 ชม.17 นาที)

10:03 น. เที่ยวนิกโก้ด้วย Nikko Pass

12:00 น. รับประทานอาหารกลางวัน

13:00 น. ท่องเที่ยวสถานที่สำคัญ

16:00 น. เดินทางด้วย Tobu Railway แบบด่วนพิเศษ จาก Tobu-Nikko ไป Asakusa Station (2 ชม.3 นาที)

18:00 น. เดินทางจาก  Asakusa Station  ไป Ueno Hirokoji Station

18:30 น. รับประทานอาหารเย็น

19:00 น. เข้าที่พัก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae (9,241 บาท)

วันอาทิตย์ที่ 3 ธ.ค.66 (เที่ยวภูเขาไฟฟูจิ วันหนึ่ง 4/3/1/0)

06:00 น. ตื่นนอน

0700 น. รับประทานอาหารเช้า

08:00 น. เดินทางจาก Ueno Okachimachi Station ไป Shinjuku Nishiguchi Station (29 นาที)

09:00 น. ขึ้นรถบัสจาก Shinjuku station 

10:45 น. ไปถึง Kawaguchiko station

11:00 น. เดินทางไป โรงแรม Koryu Hotel (Agoda App) เพื่อฝากกระเป๋า

12:00 น. รับประทานอาหารกลางวัน

13:00 น. นั่งรถไป ภูเขาไฟฟูจิ ชั้น 5 โดยรถบัสประจำทาง

15:00 น. เดินทาง ออกจากภูเขาไฟฟูจิ 

16:00 น. ถึง Kawaguchiko station

16:15 น. นั่งรถประจำทางท่องเที่ยว

18:00 น. รับประทานอาหารเย็น 

19:00 น. เดินทางกลับโรงแรม Koryu Hotel (13,719 บาท)

20:00 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

วันจันทร์ที่ 4 ธ.ค.66 (เที่ยวภูเขาไฟฟูจิ วันสอง 5/4/1/0)

06:00 น. ตื่นนอน

0700 น. รับประทานอาหารเช้า

08:00 น. นั่งรถประจำทางท่องเที่ยว

12:00 รับประทานอาหารกลางวัน

13:00 เดินทางกลับด้วยรถบัส

14:45 ถึง Shinjuku station

15:00 น. ชินจุกุย่าน Shopping และเอนเตอร์เทนเม้นต์ที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว รองเท้า NB, Onitsuka, ช่วงเย็นๆ ชมวิวฟรีที่ตึก Tokyo Metropolitan Government Building เห็นวิวโตเกียวได้ชัด

17:00 น. นั่งรถไฟไป JR Shibuya ออกที่ทางออก Hachiko Gate เดินไปไม่ไกลจะเจอกับอนุสาวรีย์ฮาจิโกะ จากจุดนี้มองเห็นคนข้ามถนนที่แยก Shibuya

18:00 น. รับประทานอาหารเย็น

19:30 น. เดินทางกลับ จาก Shibuya Station ไป Ueno - Hirokoji Station (27 นาที เดินต่อ 5 นาที)

20:10 น. เข้าที่พัก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae (7,500 บาท)

20:30 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

วันอังคารที่ 5 ธ.ค.66 (เที่ยว Disney Sea 6/5/1/0)

          06:00 น. ตื่นนอน

06:45 น. รับประทานอาหารเช้า

07:20 น. เดิน 9 นาที ถึง Okachimachi Station ไป Maihama Station ใช้สาย Keihin Line ต่อ Keiyo Line (44 นาที 320 เยน) 

08:15 น. รอเข้าคิวเปิดประตู Disney sea

09:00 น. เปิดประตู Disney sea

Journey to the Center of the Earth

Indiana Jones Adventure: Temple of the Crystal Skull

Port Discovery

          12:00 น. รับประทานอาหารกลางวัน

Ride 20,000 Leagues Under the Sea

Railway to the Waterfront – Toyville Trolley Park

Big City Vehicles, Venetian Gondolas, and Disney Sea Transit Steamer Line

Fortress Explorations

          17:00 น. รับประทานอาหารเย็น ร้านอิตาลี

          18:00 น. Tower of Terror หรือ Soaring: Fantastic Flight

Mermaid Lagoon

20:00 น. เดินทางจาก Maihama station - Ueno station ใช้ Keiyo Line ต่อ Hibiya Line (33 นาที 410 เยน)

20:40 น. เข้าที่พัก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae (7,500 บาท)

วันพุธที่ 6 ธ.ค.66 (เตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพ 7/5/1/1)

06:00 น. ตื่นนอน

07:00 น. รับประทานอาหารเช้า

08:00 น. เดินทางจาก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae ไป Harajuku Station (400 เยน Yamanote Line 42 นาที)

08:45 น. ศาลเจ้าเมจิ ศาลเจ้าที่คนญี่ปุ่นนิยมจัดงานแต่งงาน

09:45 น. ชมศาลเจ้าเสร็จแล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม ตรงหน้าสถานี JR Harajuku ฝั่งตรงข้ามจะเป็นถนนสายแฟชั่น Takeshita Dori มีร้าน Daiso

11:00 น. ข้ามมาเดินฝั่งถนน Omote-sando ถนนเส้นนี้มีห้างและร้านค้า Brand Name ชื่อดังหลายร้าน

12:00 น. รับประทานอาหารกลางวัน

13:00 น. เดินทางจาก Harajuku Station ไปรับของฝากคืนที่ APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae

14:00 น. รับของฝากคืนจากโรงแรมที่พัก

16:00 น. เดินจาก Keisei Ueno Station ไป ท่าอากาศยานนาริตะ Terminal 2 ด้วย Sky Liner (47 นาที)

16:45 น. เดินทางถึงสนามบินนาริตะ

21:15 น. เครื่องบิน Air Asia XJ 607 เดินทางออกจากท่าอากาศยานนาริตะ Terminal 2 (7 ชม. 20 นาที) (53,159 บาท)

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธ.ค.66 (เดินทางถึงกรุงเทพ 8/5/1/1)

ต่อไปเป็นเวลาประเทศไทย ซึ่งช้ากว่าเวลาประเทศญี่ปุ่น 2 ชม.

02:30 น. เครื่องบิน Air Asia XJ 607 เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคาร SAT-1

03:00 น. รับกระเป๋าและแจ้ง ที่จอดรถ.com ให้มารับ

03:15 น. เดินทางไปรับรถส่วนตัวคืนที่ ที่จอดรถ.com

03:30 น. เดินทางออกจากท่าอากาศยานสุวรณภูมิ

04:10 น. เดินทางถึงบ้านพักสุทธิสาร

05:00 น. พักผ่อน

ต้นเดือนตุลาคม เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนที่จะเดินทางพร้อมจ่ายเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินและจ่ายค่าโรงแรมไปเป็นเงินเกือบ 130,000 บาท ก็มีเรื่องเกิดขึ้นกับร่างกายผมให้หวาดเสียวขึ้นมา คือ อาการปัสสาวะมีเลือดผสมจนมีลักษณะที่เรียกว่าน้ำล้างเนื้อให้ใจหายใจคว่ำซึ่งปกติผมจะปล่อยให้มันหายไปเองเนื่องจากเคยเป็นมาก่อนแล้วเหมือนกัน แต่ในครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาเพราะดันมีอาการต่อเนื่องอยู่ 2 วัน จนต้องไปตรวจเลือด และพบหมอทางเดินปัสสาวะ คลินิกในตัวเมืองเพชรบุรี เพื่อหาสาเหตุให้ชัดเจน แต่ก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด เพียงแต่สันนิฐานว่าคงเป็นนิ่ว ยังไม่ถึงขั้นเป็นมะเร็ง จึงรับยามากินที่บ้านและได้รับคำแนะให้ไปตรวจด้วยวิธี CT Scan แต่เมื่อกินยาแล้วปัสสาวะก็กลับมาปกติ ก็เลยไม่ได้ทำอะไรต่อ ต่อมาห้วงปปลายเดือนก็มีอาการเพิ่มเติมขึ้นมาคือ มีอาหารปวดท้องถ่ายแต่ถ่ายไม่ออกติดกันหลายวันจนต้องไปเข้าโรงพยาบาลประจำอำเภออยู่สองรอบ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเนื่องจากไม่มีหมอเฉพาะทางเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ ทำให้ต้องเดินทางมาตรวจที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกตามคำแนะนำของเพื่อนที่สนิทกัน ใช้เวลาพบแพทย์และ CT Scan ในระยะอาทิตย์กว่า ๆ ก็ได้ผลว่ามีก้อนนิ่วในไตขนาด 4 มิลลิเมตร ข้างละ 1 ก้อน โดยก้อนทางซ้ายได้ออกมาจากไตแล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเลือดออกมาปนกับปัสสาวะ แพทย์บอกว่าเป็นก้อนนิ่วที่ไม่ใหญ่มาหากต้องการหายเลยก็ให้มารักษาด้วยการส่องกล้องด้วยการสวนเข้าไปเพื่อนำนิ่วออกมาซึ่งผมปฏิเสธไป แพทย์จึงแนะนำการรักษาแบบให้รอเวลาด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อดันก้อนนิ่วให้หลุดออกมาและให้ยาแก้ปวดมากินหากมีอาการปวด รอสักสองสัปดาห์แล้วให้หาทางตรวจด้วยการ X-Ray ดูว่าก้อนนิ่วยังอยู่หรือไม่ ผมรับยาแล้วก็กลับบ้านคิดว่าถ้ามันไม่หายการไปเที่ยวญี่ปุ่นอาจจะไปไม่ได้หรือไปแล้วคงจะเดินเที่ยวตามที่คิดไม่ได้ซึ่งเป็นการสร้างปัญหาให้คณะอีกด้วย ไอ้จะไม่ไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรเพราะชื่อการจองที่พักและเครื่องบินเป็นชื่อผมทั้งหมด ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนเหลือเวลาอีกสองอาทิตย์กว่า ๆ ก่อนการเดินทาง ผมกลับไปบ้านที่ท่ายางคงมีอาการปวดท้องอีกสองวันแต่ไม่มากนักแล้วอาการปวดท้องนั้นก็หายไปเอง ซึ่งคิดว่าก้อนนิ่วคงจะหลุดไปเองแล้ว จึงเก็บเรื่องเงียบไม่ได้ไปตรวจเพิ่มอีก

ห้วงระหว่างต้นเดือนที่ไปรักษาอาการปวดท้อง ก็จัดการรายละเอียดเพิ่มเติมที่ต้องทำในการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปด้วย อย่างแรกคือ ติดต่อเรื่องการเดินทางไปกลับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ผมเลือกการขับรถส่วนตัว Fortuner ไปที่สนานบินเองแล้วนำรถไปฝากกับบริการของ ที่จอดรถ.com ในราคา 8 วัน 1,700 บาท ซึ่งผมเคยใช้บริการมาก่อนหน้านี้ในการเดินทางไปมาเลเซีย ปรากฏว่าที่จอดรถเต็มตั้งแต่สองเดือนล่วงหน้า อ้าวจะทำอย่างไรดี น้องฝนก็บอกให้วันเดินทางไปและกลับใช้บริการของ Grab แต่ผมเห็นว่าน่าจะยุ่งยากเพราะคนและกระเป๋าค่อนข้างมากอาจต้องใช้รถมากกว่า 1 คัน หากจะให้ญาติขับรถไปส่งก็ต้องใช้รถสองคันแน่นอน และจะยากในตอนกลับด้วยเพราะกลับมาถึงหลังเที่ยงคืนกว่าจะออกจากสนานบินก็ต้องตี 2 ตี 3 ไปแล้ว ซึ่งคงจะลำบากหากต้องไปรับในเวลาดังกล่าว หลังจากทดลองค้นหาบริการรถในอินเทอร์เน็ตก็มาพบบริการรถตู้โดยสารอยู่ 2 แห่ง สอบถามรายละเอียดแล้วก็เลือกใช้บริการของ https://www.thailand-taxi-service.com/ ในราคารวมรับส่งบ้านสุทธิสาร สุวรรณภูมิ ค่าน้ำมัน เที่ยวละ 1,100 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจถูกเพราะเอาเข้าจริงผู้โดยสาร 5 คนและกระเป๋าเดินทาง 6 ใบ รวมทั้งขากลับที่มีของฝากเพิ่มขึ้นอีกหลายชิ้น ใช้พื้นที่มากเกินกว่ารถ Fortuner คันเดียวจะบรรทุกได้หมด

ขั้นตอนต่อมาประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน คือการกรอกข้อมูลรายละเอียดการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มผ่านเว็บไซต์ https://vjw-lp.digital.go.jp/en/ ล่วงหน้าไม่เกิน 30 วัน ซึ่งก็ช่วยกันดูกับลูก ๆ ว่ากรอกข้อมูลต่าง ๆ ถูกต้องหรือไม่โดยมีข้อมูลที่สำคัญที่ต้องเตรียมคือ หนังสือเดินทางของทุกคน ที่อยู่ของโรงแรมแรก (APA) ที่สามารถดูรายละเอียดการกรอกได้จากที่มีคนทำใน YouTube ซึ่งเมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะได้ QR Code เท่าจำนวนคน ๆ ละ 2 อัน ได้แก่ QR Code สำหรับ Immigration และของ Custom ซึ่งแต่ละคนบันทึกไว้ในโทรศัพท์และสำรองไว้ด้วยการรวบรวมเก็บไว้ใน Dropbox เผื่อเกิดปัญหา อย่างไรก็ตามในขั้นตอนนี้ เมื่อเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ Narita ก็เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่ได้กรอกข้อมูลนี้ผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้า แต่ไปกรอกแบบกระดาษก่อนผ่านด่านก็ได้เช่นกัน

ในวันเดียวกันที่ทำต่อไปด้วยคือการจองการเดินทางไปที่พัก Koryu Hotel ทะเลสาบ Kawaguchiko และภูเขาไฟฟูจิ ในตอนแรกก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินทางด้วยรถไฟหรือรถบัสโดยสาร เลยให้น้องเมฆช่วยหาข้อมูลก็เลือกการเดินทางด้วยรถบัสโดยสารของ Highway Bus ด้วยการจองผ่านเว็บไซต์โดยตรงของบริษัทคือ https://highway-buses.jp/ ตัดบัตรเครดิตราคาไปกลับคนละ 1,074 บาท ออกจากสถานีรถบัสที่ Shinjugu ส่งลงที่สถานี Kawaguchiko โดยเลือกออกเดินทางจาก Shinjuku ไม่สายมาก วันที่ 3 ธันวาคม เวลา 08:45 น. และออกจาก Kawaguchiko มีเวลานอนและเที่ยวเพิ่มเติม วันที่ 4 ธันวาคม เวลา 14:10 น. เมื่อทำสำเร็จทางเว็บไซต์ก็จะส่งไฟล์เอกสารการจองรถมาให้ทางอีเมล์ที่แจ้งไว้ ซึ่งผมก็ได้สำเนาไว้ใน Dropbox สำรองไว้และให้น้องเมฆ Print ออกมาใช้ยื่นในวันเดินทางด้วยตามที่เขาแจ้งมาในอีเมล์

ไฟล์การจองที่นั่งรถบัสโดยสารไป Kawaguchiko

ต่อจากนั้นก็ถึงการจองที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งคือการจองตั๋วเข้า Tokyo DisneySea ซึ่งเป็นสวนสนุกอยู่ทางทิศใต้ติดอ่าวของโตเกียว ซึ่งน้องฝนเป็นคนเลือกตั้งแต่แรก ตามที่ได้รับข้อมูลจากเพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นว่าใหม่และของเล่นสนุกกว่าที่ Tokyo Disneyland ที่อยู่ติดกันแต่แยกการเก็บค่าเข้าออกไปต่างหาก ในครั้งแรกเดือนตุลาคมมีผู้ต้องการไป 2 คน คือน้องฝนกับน้องฟ้า โดยคุณแหม่มกับน้องเมฆวางแผนแยกไปเดินห้างสรรพสินค้าแทน ส่วนผมเองใจหนึ่งก็เสียดายเงินค่าเข้าและเห็นว่าเป็นสถานที่ของเด็ก ๆ ไปก็คงได้แต่ไปนั่งคอยเวลา ก็เลยชวนให้น้องฝนกับน้องฟ้าเปลี่ยนใจ แต่ทั้งสองคนบอกว่ายังอยากไปโดยจะจ่ายค่าตั๋วเข้าเอก หากใครอยากไปที่ไหนให้แยกกันไปก็แล้วกันตอนเย็นค่อยกลับมาเจอกัน ผมเองคิดอยู่สักระยะหนึ่งก็บอกว่าถ้าจะไปก็ไปกันทั้งหมดก็แล้วกัน หายไปสักพักหนึ่ง่หลังจากปรึกษากันก็เลยตกลงตามผมบอกโดยผมเป็นคนจ่ายค่าตั๋วเข้าให้ทั้งหมด ในการของก็จองผ่านเว็บไซต์ Klook https://www.klook.com/th (มี App Klook ใน iOS และ Android ด้วย) จองวันที่ 5 ธันวาคม ราคาคนละ 2,232 บาท เมื่อซื้อสำเร็จแล้วทาง Klook ก็จะส่ง ไฟล์ยืนยันการซื้อพร้อม QR Code มาให้สำหรับ 5 คน ในขั้นตอนนี้มีรายละเอียดเพิ่มหน่อยก็คือ การติดตั้ง App Disney Resort ใน iPhone (พวกเราใช้ iPhone ทุกคน ใน Play Store คงมี App นี้เช่นกัน) จากนั้นก็ลงทะเบียน สำหรับใครที่มีบัญชีของ Disney อยู่แล้วก็นำบัญชีมาใช้ได้เลย เช่น Disney+ Hotstar เมื่อ Login ได้แล้วแต่ละคนก็ Scan QR Code 1 Code ที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้เป็นตั๋วเข้าสวนสนุกที่อยู่ใน App ใช้ในวันที่กำหนดต่อไป

สำหรับเรื่องที่น่าเป็นห่วงของผมที่ไม่ค่อยได้แสดงออกมากนักเพราะเกรงว่าคนจะว่าคิดมากก็คือ เรื่องการประกันการเดินทางทั้งในแง่การรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต เนื่องจากเคยมีคนที่รู้จักไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเสียชีวิตมาก่อนหน้านี้หลายปีก่อน ซึ่งทราบว่าการเคลื่อนย้ายกลับมีความยุ่งยากและใช้เวลาพอสมควร ซึ่งแม้ไม่หวังจะให้เกิดขึ้นกับเราแต่ก็คิดว่าควรต้องซื้อประกันเผื่อไว้ก่อน ดังนั้น ในสัปดาห์ที่ 2 หลังจากที่ดูข้อมูลการประกันสุขภาพและการเดินทางไปญี่ปุ่นจากเว็บไซต์ประกันการเดินทางของไทยสักพักหนึ่งก็พบว่าการประกันของบริษัท MSIG https://www.msig-thai.com/th เข้ามาพ่วงอยู่ในการซื้อบริการของ Roaming Internet ของ AIS ที่ครอบครัวตัวบอใช้อยู่ แม้ว่าวงเงินประกันจะน้อยกว่าซื้อโดยตรงแต่ก็สัมพันธ์กับเบี้ยประกันที่จ่ายไป ดังนั้น ในการซื้อ Roaming Internet ของ AIS จึงให้ทุกคนซื้อผ่าน APP MyAIS ใน iPhone (ผ่านหน้าเว็บไซต์ก็มี) โดยเลือก Package Ready2Fly+ อินเทอร์เน็ต 15 GB, รับสายโทรออก 5 นาที ระยะ 10 วัน ราคา 749 บาท + VAT 7% เลือกเวลาเปิดใช้งานเป็น 30 พฤศจิกายน เมื่อซื้อสำเร็จแล้วจะมี SMS ส่ง Link มาทางข้อความในมือถือเพื่อให้ Click เข้าไปกรอกรายละเอียดผู้เอาประกันของบริษัท MSIG ที่ผูกกับหมายเลขโทรศัพท์แต่ละคนที่ซื้อ Ready2Fly ในขั้นตอนนี้ต่างคนต่างทำหน้าจอมือถือตนเองซึ่งผมเน้นย้ำให้กรอกข้อมูลให้ดีเพราะไม่มีใครช่วยดู แต่จนแล้วจนรอดก็มีคนกรอกผิดจนได้ ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นผมเอง ไปเลือกปีเกิดผิด พอทำครบขั้นตอนเว็บไซต์ส่งข้อมูลกลับมากลายเป็นอายุแค่ 1 ปี ยังดีที่ตรวจเจอเลยโทรไปแจ้งกับบริษัท ให้แก้ไขซึ่งก็ได้ส่งตัวที่แก้ไขแล้วกลับมาภายหลังอีก 4 วัน ไฟล์เอกสารการประกันการเดินทางก็เก็บไว้ใน Dropbox ที่แชร์ไว้เช่นเดิม

การเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้ง โทรศัพท์มือถือมีความสำคัญเพราะการดำเนินการต่าง ๆ มันถูกย้ายเข้าไปในมือถือมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น ในการเดินทางไปต่างประเทศของผมที่ผ่านมาทั้งไป San Francisco เมื่อสิงหาคม 2565 และ Kuala Lumper เมื่อกันยายนที่ผ่านมา ผมก็จะใช้ iPhone ไป 2 เครื่องโดยเครื่องหลักจะเป็น SIM ของ AIS ส่วนเครื่องที่ 2 จะเป็น SIM ของ True ครั้งนี้ก็มีสิ่งให้เลือกเพิ่มคือ ใช้ SIM ของทั้ง 2 ค่ายแน่ แต่เครื่องที่จะใช้ SIM True จะใช้เครื่อง iPad หรือ iPhone ดี จนก่อนไป 2 วันก็ตัดสินใจว่าจะใช้ SIM True กับ iPad ที่น่าจะใช้งานเป็นประโยชน์มากกว่าแม้จะมีข้อเสียที่มีขนาดใหญ่และสายชาร์จคนละหัวกับ iPhone ส่วน SIM ที่ใช้เดิมเป็น Multi SIM พ่วงกับเบอร์ iPhone หลักใช้อินเทอร์เน็ต 5G ร่วมกันไม่ได้ ซึ่งตรงความต้องการอยู่แล้วที่จะย้าย SIM True มาแทน แล้วก็เลยซื้อ Roaming Internet Package Travel Japan ของ True 10 GB 10 วัน ราคา 399 บาท +VAT 7% ผ่าน App iService

สำหรับการจองตั๋วสุดท้ายก่อนการเดินทาง 6 วัน ที่คิดว่าต้องจองกันพลาดคือ ตั๋วรถไฟจากท่าอากาศยาน Narita เข้ามายังที่พัก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae ส่วนตั๋วอื่น ๆ ที่คิดไว้แต่ตัดสินใจไม่จองไปหาซื้อซเอาวันจริง ได้แก่ ตั๋วรถSubway ในโตเกียว, ตั๋วรถไฟเดินทางจาก APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae ไป Narita ตั๋วรถบัสท้องถิ่นใน Kawaguchiko ตั๋วรถเดินทางไปเที่ยว Station 5 ของภูเขาไฟฟูจิ, Nikko Pass เที่ยวเมืองมรดกโลก ในตอนแรก ๆ ผมสืบค้นวิธีการเดินทางจากสนามบินมาที่โรงแรมที่จองไว้นั้นก็มีหลายแบบ เช่น รถไฟ รถบัส รถแท็กซี่ เป็นต้น แต่สะดวก รวมเร็วและถูกที่สุด ซึ่ง YouTuber คนไทยหลายคนทำคลิปแนะนำไว้ คือ การเดินทางด้วยรถไฟ Keisei Skyliner จาก Terminal 2 ที่เครื่องบินไปลงมาถึงสถานีรถไฟที่อยู่ติดกับที่พัก ซึ่งเวลากำหนดของเครื่องบินในครั้งแรกถึง Narita เวลา 19:00 น. ผมประมาณเวลาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งไม่มีปัญหาในการต่อ Skyliner ทันเวลาเที่ยวสุดท้ายที่ผมดูผ่านเว็บไซต์เป็นเวลา 21:00 น. แต่ต่อมาทาง Air Asia ส่งอีเมล์แจ้งเลื่อนเวลาช้าลง 1 ชั่วโมง ทำให้คิดว่าขึ้นรถไม่ทันแน่ จึงปรึกษากับลูก ๆ ว่าจะเลือกวิธีอื่น ๆ แต่ปรากฏว่าลูก ๆ ได้ไปหาข้อมูลว่า Skyliner เที่ยวสุดท้ายประมาณห้าทุ่มซึ่งถ้าเครื่องบินลงตามเวลารับรองว่าขึ้นรถทันแน่นอนพร้อมกับส่ง Link มาให้ ซึ่งผมดูแล้วก็งงดีว่าทำไมผมหาไม่เจอในตอนแรก แต่เมื่อดูจนมั่นใจว่าถูกต้องตามนั้นแล้วก็ทำการจองผ่าน https://www.klook.com/th เลือก วันที่ 30 พฤศจิกายน แต่ไม่มีเวลาให้เลือก จำนวน 5 ที่นั่ง ๆ ละ 537 บาท ซึ่งทาง Klook ก็ส่ง QR Code มาให้ 1 อัน ผมก็สำเนาเก็บไว้ใน Dropbox และให้น้องเมฆ Print นำไปด้วย 1 แผ่น

อ้อยังมีการจองอีก 2 อย่างที่ลืมไป อย่างแรกคือ อาหารบนเครื่องบิน เนื่องจากเที่ยวบินของ Air Asia X ที่เดินทางเป็นสายการบินราคาประหยัดดังนั้น อาหารบนเครื่องหากจะกินต้องจ่ายเงิน และหากคิดว่ากินแน่ก็สั่งจองไปได้เลยก่อนเครื่องออก 24 ชั่วโมง ราคาจะถูกว่าประมาณ 20% ผมเองก็สั่งเหมือนกันแต่ผิดพลาดเล็กน้อยที่สั่งมากเกินเพราะคิดว่ากิน 2 รอบ กลางวันและเย็น เลยสั่งไป 2 รายการ เว้นคุณแหม่มกับน้องฟ้า สั่งรายการเดียว ส่วนขากลับโชคดีที่รอไว้ดูผลงานก่อนกะว่าไปสั่งก่อนการเดินทางกลับสัก 1 – 2 วัน และในโอกาสจองอาหารบนเครื่องก่อน 1 วัน ก็ทำการเช็คอินผ่านหน้าเว็บไซต์ของ Air Asia https://www.airasia.com/th/th ไปเลยทีเดียวทั้ง 2 อย่าง

อย่างที่ 2 ก่อนเดินทางสัก 2 วัน ก็โทรไปแจ้งยืนยันเวลาและจุดรับขึ้นรถกับนายคิดผู้ประสานงานจองรถตู้โดยสารจากเว็บไซต์ https://www.thailand-taxi-service.com/ นัดหมายการมารับอีกครั้ง และโอนเงินมัดจำให้ไป 2 เที่ยว ๆ ละ 200 บาท และในวันก่อนเดินทางตอนเย็น นายคิดก็ส่งรายละเอียดรถตู้พร้อมภาพและหมายเลขทะเบียนรถมาให้ พร้อมภาพหน้าพลขับและเบอร์ติดต่อ  

สิ่งหนี่งที่ดำเนินการในห้วงเดือนพฤศจิกายนควบคู่ไปกับการไปโรงพยาบาลกับจองตั๋วก็คือการเตรียมสิ่งของเดินทางและเสื้อผ้ากันหนาว ในส่วนเสื้อผ้ากันหนาวผมก็ตรวจสอบอุณหภูมิผ่านของโตเกียวผ่าน Google ในห้วงเดินทางต้นเดือนธันวาคมอุณหภูมิอยู่ประมาณ 6 - 10 องศาเซลเซียส บางวันอาจมีฝนตก คุณแหม่มก็ไปช่วยค้นเสื้อกันหนาวสมัยไปอยู่นิวยอร์กก็ได้เสื้อกันหนาวตอนใส่เล่นสกียี่ห้อ Timberland มาตัวหนึ่ง ส่วนที่เหลือพวกถุงมือ หมวกกันหนาว ถุงมือ เสื้อกางแกง Longjohn ของเก่าก็ชำรุดหรือหายหมดแล้ว ก็ใช้วิธียืมจากน้องชายพร้อมกระเป๋าเดินทางมาชั่วคราวทำให้ประหยัดไปเยอะ ในส่วนสิ่งของที่นำไปด้วยก็จัดแบ่งออกได้ตามนี้

        1. ชุดแต่งกาย    เสื้อ, กางเกง, เข็มขัด, ถุงเท้า, รองเท้า On, AppleWatch, นาฬิกา Fenix5

2. กระเป๋า/เป้ติดตัว นามบัตรติดกระเป๋า, หนังสือเดินทาง, กระเป๋าสตางค์ (บัตรประชาชน, เงิน 3,000 บาท, เงิน 50,000 เยน, บัตรเครดิต TTB, KTC, บัตร You Trip) ปากกา, สมุดโน้ต, แว่นสายตา, ยาอมแก้ไอ, Air pods, ที่อุดหู, แว่นกันแดด, หมากฝรั่ง, iPhone, iPad, ยาอม/น้ำยา, ไหมขัดฟัน, หวี, สายชาร์จ iPhone/iPad, Airtag

3. กระเป๋าเดินทางลาก 7 กก. นามบัตรติดกระเป๋า, เสื้อ, กางเกง, เสื้อกันหนาว, กระเป๋าอาบน้ำ, ยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, สบู่, หวี, กางเกงใน 2, กางเกงวอร์ม, แว่นกันแดด, แว่นสายตาสำรอง, เงิน 30,000 เยน, ถุงมือ, หมวกกันหนาว, เสื้อกั๊กกันหนาว, สาย/หัวชาร์จ AppleWatch, ที่ชาร์จ Fenix 5, Airtag

4. กระเป๋าเดินทาง 20 กก. นามบัตรติดกระเป๋า,สายรัดกระเป๋า, มีดพับเอนกประสงค์, รองเท้าแตะ, ปลั๊กราง, หัสแปลงปลั๊กไฟ, เสื้อกันหนาว, กางเกงกันหนาว, ชุด/เครื่องอาบน้ำ (ที่โกนหนวด, ยาสีฟัน, ครีม), ชุดนอน 2, กางเกงขาสั้น 2, กางเกงใน 5, กางเกง, เสื้อยืด 4, กรรไกตัดเล็บ, ถุงเป้ใส่ชุดวิ่ง (ถุงเท้า, การเกงรัด, เสื้อวิ่ง), เข็มขัดสำรอง, ผ้าขนหนูเล็ก, ถุงเท้า 5, ยา, Airtag

          การจัดของลงกระเป๋าก็คล้ายกับที่ผ่านมาคือ ของไหนที่จัดไว้ใช้ในการเดินทางอย่างเดียวก็พับวางรอไว้ ส่วนที่ยังต้องใช้ในชีวิตประจำวันก็นำไปใช้ก่อน แล้วมาจัดเอาคืนวันก่อนเดินทางมาเสร็จเอาก็เกือบเที่ยงคืน ตื่นมาตีห้าวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวและเก็บของลงกระเป๋าต่าง ๆ รอบสุดท้ายก่อนปิดเพื่อรอรถตู้ที่จ้างเหมามารับและต่อไปเป็นการตะลุยโตเกียวของครอบครัวตัวบอที่เกิดขึ้นตามจริง

30 พฤศจิกายน - 7 ธันวาคม 2566 ครอบครัวตัวบอ ตะลุยโตเกียว 
          วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2566 (Day 1) ออกเดินทางจากบ้านสุทธิสารมุ่งหน้าโตเกียว 

https://www.wikiloc.com/train-trails/sanrizuka-ueno-154546626 

เวลาประมาณ 07:00 น. คนขับรถตู้ก็ติดต่อสอบถามทางเข้าซอยบ้านมา โดยมาถึงก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย พวกเราก็รออยู่แล้วก็ช่วยกันขนของขึ้นด้านหลังของรถตู้เป็นกระเป๋าเดินทางขนาดกลางและใหญ่ 4 ใบ ขนาดเล็กนำขึ้นเครื่อง 2 ใบ ผู้โดยสารทั้ง 5 คนขึ้นนั่งเรียบร้อย รถตู้เหมาก็พาเราวิ่งไปทางดินแดงแต่ไม่ขึ้นทางด่วนเลี้ยวซ้ายลอดใต้ทางด่วนถนนพระราม 9 แบบไม่ต้องเสียค่าผ่านทางไปรวมกับเส้นหลักเพื่อเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิประมาณแปดโมงเช้ากว่า ๆ จอดส่งลงที่ชั้น 4 ผู้โดยสารขาออก ยกของลงจากรถตรวจนับสิ่งของเมื่อครบแล้ว ก็โอนเงินค่ารถที่เหลือ 900 บาท เข้าบัญชีคนขับ เราเดินดูป้ายบอร์ดแสดงจุดเช็คกระเป๋าของสายการบิน Air Asia เมื่อพบแล้วยังไม่ถึงเวลาเปิดก็ยืนรออยู่บริเวณใกล้ ๆ เปลี่ยนแผนการกินอาหารจากที่วางไว้ว่าจะลงไปกินที่ศูนย์อาหารชั้นล่าง จนเวลาเก้าโมงเช้าเจ้าหน้าที่พร้อมจึงต่อแถวเข้าไปโหลดกระเป๋าและรับบัตรโดยสารด้วยการแสดงหนังสือเดินทางใช้เวลาสักพักใหญ่ก็เสร็จเรียบร้อยได้ที่นั่งติดกัน 3 คน และห่างออกไปอีก 2 คน จากนั้นก็เดินผ่านการตรวจสิ่งของติดตัวและผ่านจุดตรวจผู้เดินทางออกนอกประเทศโดยใช้หนังสือเดินทางประกอบตั๋วเครื่องบิน แล้วเดินต่อไปลงชั้นล่างเพื่อไปโดยสารรถใต้ดินเพื่อไปยังอาคาร SAT-1 ที่เพิ่งเปิดให้บริการสายการบิน Air Asia 

เวลายังไม่สิบโมงดี ก็เดินหาของกินไปเจอร้าน MacDonald ที่น้องฟ้าทำงานกับสำนักงานใหญ่อยู่ก็เลยช่วยอุดหนุนจ่ายไป 1,495 บาท แต่ตอนกินกินกันไม่หมดเพราะไก่ทอดมาช้าเลยต้องใส่ห่อเอาไปกินต่อบนเครื่องบิน 

เครื่องบิน Air Asia เที่ยวบินที่ XJ606 บินขึ้นเวลาเที่ยงเศษ ๆ บินด้วยความเรียบร้อยมีกระลมแปรปรวนเล็กน้อยระหว่างทางก็มีการเสริฟอาหารที่สั่งจองไว้รายการละ 200 บาท มาทราบว่าเขาเสริฟแค่ครั้งเดียว อาหารที่สั่งเกินมาอีก 3 รายการเลยต้องช่วยกันกินเพราะเอาเข้าญี่ปุ่นไม่ได้ ทำให้แทนที่จะประหยัดงเงิน 150 บาท กลายเป็นขาดทุน 150 บาท และถ้ากินไม่หมดก่อนลงเครื่องบินต้องทิ้ง เครื่องบินใช้เวลาบินห้าชั่วโมงกว่าแล้วลงที่ท่าอากาศยาน Narita Terminal 2 เวลาประมาณเกือบสองทุ่มของญี่ปุ่นที่เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง เครื่องบินลงจอดก็เปิดมือถือตรวจหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ซื้อมา ทุกคนเชื่อมต่อได้เรียบร้อย (อันที่จริงอยู่ตั้งแต่เครื่องขึ้นก็ไม่ได้ปิดมือถือและตอนหลังพนักงานบนเครื่องบินก็ไม่ห้ามการใช้มือถือเหมือนแต่ก่อน) เวลาหน้าจอมือถือปรับเป็นเวลาญี่ปุ่นโดยอัตโนมัติ รวมทั้ง AppleWatch ส่วนนาฬิกา Garmin Fenix 5 ยังเป็นเวลาไทย

การลงเครื่องบินไปเข้าห้องน้ำก่อนลำดับแรกเป็นนิสัยความรอบคอบและความเรียบร้อยของคณะ รวมทั้งปัญหาระบบปัสสาวะของผมที่เปลี่ยนไปตามสังขารของชายอายุเกิน 60 ปี ที่บังคับให้ต้องเข้าห้องน้ำทุกครั้งที่มีโอกาสเพื่อไม่ให้เป็นภาระของคณะส่วนรวม ก็เลยทำให้การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองต้องไปเข้าคิวต่อท้าย ๆ ทำให้ต้องเสียเวลารอเวลาเพิ่มอีกพอสมควร การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองใช้ QR Code ที่ทำล่วงหน้าจากเว็บไซต์ Visit Japan ไม่ต้องกรอกใหม่ แต่ก็ยังช้าอยู่ดี รวมทั้งรอรับกระเป๋าเดินทางด้วยก็ใช้เวลาเกือบสามทุ่มจึงได้ออกมาถึงสถานี Keisei Skyliner ของ Terminal 2 ให้น้องฝนนำ QR Code ที่ Print ติดมาด้วยไปแลกตั๋วโดยสารรถไฟ Skyliner เลือกขบวนรถเวลา 21:40 น. ได้ที่นั่งเรียบร้อยก็ลากกระเป๋าไปรอขบวนรถไฟ 

รอได้สักครู่ก็มีเจ้าหน้าที่รถไฟมาชี้แจงเป็นภาษาญี่ปุ่น คงจะเป็นคำแนะนำการรอรถแต่ฟังไม่รู้เรื่องหรอก ก็มีแต่น้องเมฆเดาว่าเขาพูดหมายความว่าอะไร ตอนแรกก็คิดว่าน้องเมฆทำตลก แต่ฟังการเดาของน้องเมฆถึงคำพูดท่าทางของพนักงานดูแล้วเหมือนจะใกล้เคียงทีเดียว รถมาถึงก่อนสักห้านาที่ พวกเราขึ้นรถและรถออกตรงเวลาตามคำร่ำลือ ระหว่างรถไฟวิ่งไปตามเส้นทางผมก็หยิบ iPad ออกมาต้ังบนแผ่นพับหลังที่นั่งด้านหน้า ระบบอินเทอร์เน็ตของ True ที่ซื้อเพิ่มมาทำงานได้ตามที่ตั้งใจ ก่อนมาเคยอ่านเจอข้อมูลว่าในรถไฟมีไวไฟฟรี แต่หาทางเชื่อมต่อไม่ได้ ก็เลยใช้ Roaming อินเทอร์เน็ตที่ซื้อมาของ AIS และ True ในระหว่างการเดินทาง โดยผมก็ทำในสิ่งที่ทำเป็นประจำเวลาเดินทางไปในที่แห่งใหม่ก็คือ การบันทึกเส้นที่ทางเคลื่อนที่หรือเรียกว่า Tracking ด้วย App Wikiloc แล้วเก็บไว้ดูภายหลัง ซึ่งนำมาเป็นข้อมูลสำคัญในการเขียนบันทึกนี้ และยังได้แชร์ให้เพื่อน ๆ บางกลุ่มไลน์ได้ดูกัน ตามเส้นทางใน Link ที่ผมทำเป็น Link ไว้ของแต่ละวันที่บันทึกการเดินทางนี้

นั่งรอรถไฟ Skyliner ที่ Narita 
Skyliner เทียบชานชลา

รถไฟ Skyliner มาถึงสถานีรถไฟ Ueno ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง พวกเราก็ลากกระเป๋าตามน้องเมฆและน้องฝนที่คอยเดินนำหาทางออกจากสถานีไปก่อน ออกมาก็ไปทิศตรงข้ามเพราะไม่รู้ว่าโรงแรมอยู่ทิศไหนของสถานี พอขึ้นมาบนพื้นดินได้ มองไปรอบ ๆ ก็เห็นป้ายโรงแรม APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae อยู่ด้านหลังทางออกก็วนไปข้ามทางม้าลายที่มีไฟเขียวไฟแดงสำหรับให้เดินหรือหยุดข้าม แต่แทนที่จะมีการตั้งเวลาเป็นตัวเลขนับถอยหลังแบบบ้านเรา เขาทำเป็นขีดที่ค่อย ๆ ลดลงที่ละจุดแทน เราเข้าไปเช็คอินโรงแรมกันโดยให้น้องฝนเป็นผู้ดำเนินการ เจ้าหน้าที่โรงแรมเขาก็ถามหาเอกสารการจองและมีปัญหานิดหน่อยตรงที่ห้องที่จองทั้ง 3 ห้อง ตอนจองไม่ได้เลือกว่าเป็นห้องปลอดบุหรี่ก็เลยมีห้องที่มีกลิ่นบุหรี่หลงมา 1 ห้อง พวกเราได้ห้องพักชั้น 14 ห้อง 1, 2 และ 5 เมื่อเข้าห้องก็มีงงอยู่บ้างแม้ว่าจะทำใจมาก่อนก็คือ เรื่องความกระทัดรัดของห้องที่ดูแล้วน่าจะกว้างสัก 2.50 เมตร ยาว 4 – 4.50 เมตร รวมประมาณ 12 – 15 ตารางเมตร มีเตียงเดียว ที่วางกระเป๋าใหญ่ไม่มีต้องวางขวางประตูห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้าไม่มีใช้แขวนกับที่แขวนติดผนัง แต่สภาพทั่วไปและห้องน้ำก็สะอาดดี มองในแง่ดีก็คือ ราคาน่าจะถือว่าถูกสำหรับนักท่องเที่ยวที่กระเป่าไม่หนักพอ

APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae

เมื่อเอาของเข้าห้องแล้วก็ลงไปตามที่นัดหมายกันไว้เพื่อไปหาอะไรกินกันเป็นมื้อเย็นที่เลยมาหลายชั่วโมงแล้ว พวกเราเดินหาร้านอาหารในแผนที่ Google แต่ส่วนใหญ่ก็ปิดเพราะจะห้าทุ่มแล้ว น้องเมฆเปิดดูเจอร้านราเม็งชื่อ Ichiran ramen เปิดถึงหกโมงเช้า ซึ่งตรงกับร้านที่เพื่อนน้องฝนแนะนำมาก่อน ก็เลยเดินออกไปข้ามถนน 2 เส้น อากาศยังไม่หนาวมากใส่เสื้อกันหนาวแค่ตัวเดียว ไปถึงหน้าร้าน เห็นคนรอคิวกินอยู่หน้าร้านมากก็เปลี่ยนไปกินร้านราเม็งที่อยู่ติดกันน่าจะเป็นร้าน Rokurinsha Ueno ยืนรอสักห้านาทีก็มีที่ว่าง ร้านเป็นร้านเล็ก ๆ มีที่นั่งเค้าเตอร์ประมาณสัก 8 ที่ และโต๊ะอีก 3 – 4 ตัว แต่ที่แปลกดีก็คือ การสั่งอาหารจะสั่งผ่านการกดจากตู้ที่อยู่ภายในร้านว่าเราจะเลือกกินอะไรบ้าง เมื่อได้ครบแล้วก็หยอดเงินจ่ายเข้าไปในเครื่องรับสั่งอาหาร จากน้ันเครื่องก็จะจ่ายตั๋วเล็ก ๆ ให้เรานำไปให้พ่อครัว และที่มาสังเกตภายหลังว่าพ่อครัวร้านอาหารญี่ปุ่นนี่มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นเลย

Rokurinsha ทั้งร้านมีพนักงาน 2 คน ทำทุกอย่าง

 ผมไม่ค่อยหิวเท่าไรเพราะกินอาหารบนเครื่องบินมา 2 ชุด แต่ก็ทดลองสั่งราเม็งมากับเขาด้วย 1 ชาม รู้สึกว่าจะออกจืด ๆ ไปหน่อย คิดค่าอาหารรวม 5 คน 1,393 บาท (จ่ายเป็นเงินเยนญี่ปุ่นนะ แต่เพื่อความเข้าใจง่ายจะแปลงเป็นเงินไทย ถ้าคิดเป็นเงินเยนญี่ปุ่นก็คูณด้วย 4 คิดอัตราแลกเงินแบบง่าย ๆ คือ 4 เยน เป็น 1 บาท หรือ 1 เยน ต่อ 25 สตางค์ ซึ่งค่าใช้จ่ายในญี่ปุ่นต่อไปนี้จะจ่ายเป็นเงินเยนแต่จะแปลวเป็นเงินบาทเลยเพื่อความเข้าใจง่าย ในอัตรา 1 บาทต่อ 4 เยน) 

อาหารมื้อดึกที่ร้าน Rokurinsha Ueno

เมื่อหายหิวแล้วก็กลับเข้าโรงแรม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านอนเจอปัญหาอากาศในห้องหนาว จะตั้งให้อุณหภูมิสูงขึ้นก็ปรับไม่เป็น ที่ปรับอุณหภูมิบริเวณหัวนอนมีแต่ภาษาญี่ปุ่นต้องใช้ App Google ใน iPhone ส่องแปลให้ลองปรับดู แต่มาเจอปัญหาอุณหภูมิสูงเกินความต้องการ เลยต้องแง้มหน้าต่างให้ความเย็นเข้ามา สำหรับการบริการอินเทอร์เน็ตมีไวไฟฟรีให้ใช้ โดยดูรหัสได้จากข้อมูลจากหน้าจอหลักของโทรทัศน์ กว่าจะได้นอนก็เกือบตี 1 (ห้าทุ่มบ้านเรา) แต่พรุ่งนี้ต้องตื่นหกโมงเช้า (ตีสี่บ้านเรา) เพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวกันตามที่นัดกับลูก ๆ พบกันเวลา 07:00 น. ดึก ๆ ตกใจตื่นขึ้นมาเพราะมีละเมอนิดหน่อยเหมือนกำลังฝัน ส่งเสียงร้องตะโกนห้ามใครสักคนไม่ให้ไปจนคนนอนด้วยเขย่าตัวให้ตื่น นับว่ายังดีที่ไม่เผลอทุบเอาคนข้าง ๆ ที่นอนเบียดอยู่ด้วยกัน

https://www.wikiloc.com/walking-trails/ueno-154549160 

วันนี้ตามแผนที่วางไว้เป็นการเดินทางจากกรุงเทพเข้าที่พัก การปฏิบัติตรงตามแผน     

           วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2566 (Day 2) สวนสาธารณะ Ueno วัด Sensoji และ Sky Tree

https://www.wikiloc.com/train-trails/661201-senso-ji-from-ueno-ethiiywyiipun-154594739

          ตามแผนเดิมกำหนดเวลานัดเจอกัน 07:00 น. เพื่อหาอาหารเช้ากินกัน แต่เมื่อวานนอนดึกก็เลยเลื่อนเวลานัดเจอกันเป็น 08:00 น. เวลาตื่นก็เลยเลื่อนมาด้วยประมาณ 06:30 น. เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว ในเสื้อกันหนาว สะพายกระเป๋าเล็ก นำหนังสือเดินทาง กระเป๋าสตางค์ เงินเยน iPhone iPad และบัตรกุญแจห้องพัก สายชาร์จ iPhone แว่นตา แว่นกันแดดไปด้วย ไปยืนรอลูก ๆ อยู่หน้าโรงแรมเพราะโรงแรมไม่มีห้องล็อบบี้ มีแต่ห้องรับประทานอาหารเช้าที่เราไม่ได้ใช้บริการเพราะต้องจ่ายเงินเพิ่มประมาณ 250 – 300 บาท แล้วแต่จะสั่งจองมาหรือไม่ ยืนรออยู่จน 08:30 น. จึงพร้อมหน้า จากนั้นก็เดินข้ามสองถนนมาทางฝั่งตะวันออกเดินเข้าไปในซอยที่เป็นย่านร้านอาหาร ก็มาเจอร้านอาหารที่เปิด 24 ชั่วโมง ไม่มีชื่อภาษาอังกฤษ แต่เอา App Google มาส่องภายหลัง อ่านชื่อร้านได้ว่า ร้านอาหารทะเลอิโชมารุ ทั้งร้านไม่มีคนก็เลยได้อาหารเร็วหน่อยเป็นอาหารทะเลจริง ๆ ไม่มีเนื้อไม่มีหมู ผมสั่งข้าวหน้าปลาไหลมากิน ที่เหลือก็สั่งผ่านมือถือกัน กินเสร็จคิดเงิน 5 คนรวม 1,811 บาท


จากนั้นก็เดินกลับทางเดิมไปยังสวนสาธารณะ Ueno ที่อยู่บนสถานีรถไฟใต้ดิน Ueno และอยู่หน้าโรงแรมที่เราพัก สวนเป็นเนินขึ้นไปมีต้นไม้ใบเหลือง ๆ อยู่อีกหลายต้น เลยถ่ายรูปกันหน่อย จากนั้นก็เดินสำรวจรอบ ๆ ก็มีพิพิธภัณฑ์แต่ไม่ได้เข้า มีศาลเจ้าอยู่บนเนิน 1 แห่ง และอยู่กลางบึงด้านล่างอีก 1 แห่ง ก็เดินลงไปดู ขณะกำลังดูการสักการะของนักท่องเที่ยวก็เห็นพระญี่ปุ่นหลายองค์เดินเร่งรีบออกมาจากอาคารภายในมาขึ้นรถแบบ Alphard คนละคัน แต่ที่แปลกดีก็คือ ขับกันเอง ขับไปไหนก็ไม่ทราบนับสิบคัน






เสร็จแล้วก็เดินมาที่รถไฟใต้ดินที่สถานี Ueno ลูก ๆ มาที่ตู้ซื้อตั๋วถกแถลงกันอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจว่าซื้อตั๋วแบบเหมาน่าจะคุ้ม แต่ตั๋วเหมามีหลายราคาขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่ใช้ แต่ของเราพรุ่งนี้คงไม่ได้ใช้ก็เลยเลือก Tokyo 1 day Pass ราคาใบละ 150 บาท แล้วไปขึ้นรถใต้ดินสาย G ไปสถานี Asakusa เมื่อถึงแล้ว ก็โผล่ขึ้นมาบนดิน เดินไปในทางที่ผมเคยมาเมื่อปี 2561 จนถึงทางเข้าด้านหน้าของวัด Sensoji ประมาณสิบเอ็ดโมงเช้า ซึ่งมีคนเต็มไปหมดแต่บรรยากาศที่แน่นขนัดแต่เป็นที่ชอบใจของคุณแหม่มอย่างมาก ถ่ายภาพใต้โคมแดงขนาดใหญ่ประตูทางเข้า เดินผ่านร้านค้าข้างทางระยะ 100 กว่าเมตร ที่มีคนขายและคนซื้ออยู่กันแน่นไปหมดแทบทุกร้าน

 


บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเบิกบานของนักท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวคนไทยจำนวนมาก และมีผู้หญิงไทยที่มาเที่ยวแต่งชุดกิมิโนที่เช่ามาน่าจะเป็นพันบาทกันหลายคน จากนั้นก็ถ่ายภาพและแยกกันซื้อของตามร้านรวงกันสนุกสนาน จนเวลาใกล้เที่ยงก็เดินทางย้อนกลับมายังสถานี Asakusa อีกรอบ ก่อนจะถึงก็เห็นหอคอย Sky Tree สูงเด่นอยู่ไม่ไกล ซึ่งผมเองก็ไม่เคยไปมาก่อนและคิดว่าน่าจะไป ก็เลยชวนครอบครัวให้ไปกัน ทุกคนเห็นด้วยก็เดินไปที่สถานีรถไฟ Asakusa ในส่วนของ JR (Japan Railway) ระหว่างทางขึ้นชานชลา ก็เห็นป้าย Tobu Tourist Information Center ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของ Nikko อยู่ชั้นแรก น้องฝนก็เลยไปถามรายละเอียด เจอพนักงานแนะนำเป็นคนไทยก็เลยได้รายละเอียดมากพอสมควร เลยตัดสินใจจองรถไฟ Nikko 2 Days Pass เดินทางวันรุ่งขึ้น แต่รถไฟขาไปมีแต่รถท้องถิ่น ช้าหน่อยแต่ราคาถูก ออกเวลา 09:30 น. ขากลับเป็นรถด่วนไม่ต้องเปลี่ยนรถ และรวมค่าโดยสารรถบัสในพื้นที่ด้วย ราคารวม 5 คน 4,700 บาท ได้ตั๋วใบใหญ่ ๆ มาก็เก็บไว้ที่ผมก่อน

วันนี้เดินทางไป Sky Tree กันก่อน ปรากฏว่าตั๋วเหมาที่ซื้อเมื่อเช้าใช้กับรถไฟของ JR ไม่ได้ ต้องซื้อเพิ่มอีกน่าจะคนละ 40 บาท นั่งรถไปไม่กี่สถานีก็ถึง เดินวนหาทางเข้าอยู่สักพักก็ขึ้นไปถึงบริเวณทางเข้าด้านหลัง มองเห็นความยิ่งใหญ่ของการก่อสร้างแล้วก็ทึ่ง จึงตัดสินใจยอมซื้อตั๋วขึ้นไปดูชั้นสูงสุดที่ 450 เมตร โดยจองรอบ 15: 30 น. ราคาคนละ 775 บาท 

ก่อนถึงเวลาก็มาที่ลานด้านหน้าทางขึ้นที่มีการจัดร้านอาหารกลางแจ้งแบบง่าย ๆ ประเภท Hotdog แต่ก็แพงพอสมควร สั่งคนละอย่าง 2 อย่าง หมดไป 1,250 บาท เมื่อถึงเวลาก็เข้าแถวขึ้นลิฟท์ความเร็วสูงไปจอดชั้นชมวิวชั้นแรก คนค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นการถ่ายรูปกัน จากนั้นก็ต่อขึ้นไปชั้นที่ 2 ที่เป็นชั้นสูงสุดที่เปิดให้ขึ้น ถ่ายภาพกันจนจุใจแล้วก็กลับลงมาซึ่งท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วแม้ว่าจะยังไม่ถึงห้าโมงเย็นดีนัก แล้วก็นั่งรถไฟย้อนกลับไปที่สถานี Asakusa จ่ายเงินค่ารถไฟ JR อีกรอบ แล้วต่อสาย G ใช้ตั๋วเหมาเดิมกลับมาที่สถานี Ueno อากาศไม่ค่อยหนาวมากและยังไม่ค่อยหิวเท่าไร ก็เลยกลับเข้าที่พักซึ่งก็ได้เจอกับสิ่งที่ทราบตั้งแต่ตอนจองโรงแรมแล้วคือ โรงแรมนี้จะทำความสะอาดทุก 3 วันเท่านั้น นัยว่าเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายไปในตัว คุณแหม่มก็เลยได้แต่ขอผ้าเช็ดตัวเพิ่มซึ่งเขาก็ให้มาโดยไม่คิดเงินเพิ่ม ในส่วนอาหารเย็นก็นัดลูก ๆ ออกมาเจอกันอีกทีตอนหนึ่งทุ่ม  


 

  ขึ้นห้องพักอาบน้ำนอนพักผ่อนสักพักเมื่อได้เวลาก็ลงมาโดยยังไม่ได้กำหนดว่าจะกินอาหารอะไรกัน ก็เลยถือโอกาสเดินสำรวจแสงสีของ Ueno ทางด้านทิศใต้ของที่พักตอนหัวค่ำก่อน ก็ผ่านไปเจอสาว ๆ มายืนถือป้ายเชิญชวนเข้าไปในสถานบันเทิงที่อยากรู้เหมือนกันว่าข้างในมันมีอะไรบ้างอยู่หลายแห่ง คิดว่าน่าจะเป็นสถานท่องเที่ยวสำหรับหนุ่ม ๆ รวมกันอยู่บริเวณนี้ จึงได้แต่เดินผ่านแล้วข้ามถนนมาฝั่งที่มีร้านอาหารที่กินเมื่อตอนเช้า ก็มาเจอร้านปิ้งย่างชื่อ Japanese BBQ Enjoy ซึ่งมีเนื้อวัวที่รสชาดถูกปากมาก เรียกว่าสั่งมากินอย่างเต็มที่ในราคาสำหรับ 5 คน ราคารวมอยู่ที่ 5,093 บาท 





กินเสร็จก็เดินชมแสงสีและซื้อของก่อนกลับที่พักจบการเดินทางวันที่สอง

วันนี้ตามแผนที่วางไว้จะไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ในโตเกียวประมาณ 10 แห่ง ทำได้เพียง 3 แห่ง

 วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2566 (Day 3) Nikko เมืองมรดกโลก

https://www.wikiloc.com/train-trails/661202-nikko-154652437

จากการออกจากที่พักช้าเมื่อวาน เช้าวันนี้ก็เลยนัดลูก ๆ ลงมาพบหน้าที่พักเวลา 07:00 น. ครั้งนี้นับว่ารักษาเวลาได้ดี ลงมาได้เกือบตรงเวลา   สิ่งแรกที่ทำก็คือ การตรงไปที่สถานีรถใต้ดิน Ueno เพื่อเดินทางไปยังสถานีรถไฟ Asakusa ไปถึงก่อนเวลาพอสมควรก็เดินไปหาร้านอาหารเช้ากันใกล้ ๆ สถานี น้องเมฆดูจาก Google ก็เจอร้านชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นขาย 24 ชั่วโมง ใช้ App Google ในมือถือมาส่องแปลภาษาภายหลังอ่านได้ว่า ร้าน นาได โซจิ โซบะ ก็เป็นแบบเดิมคือ สั่งผ่านตู้แล้วจ่ายเงินสดแล้วเอาบัตรที่ออกมาจากเครื่องไปให้พ่อครัว กินไปคนละชามคิดเงินรวม 960 บาท 

ร้านนาโยะ ฟูจิ โซบะ

เดินไปเดินมาจนเก้าโมงเช้าก็เดินมาที่สถานีรถไฟ เดินผ่านช่องเฉพาะของคนซื้อตั๋ว Nikko Pass มารอขึ้นรถท้องถิ่นที่ไป Nikko ตามที่จองไว้ รถไฟมาและออกตามเวลาเช่นเดิม นั่งชมบรรยากาศบ้านเรือนนอกโตเกียวไปสักหนึ่งชั่วโมงก็เปลี่ยนรถไฟอีกขบวนหนึ่งที่สถานี Minami – kurihachi นั่งต่อไปอีกจนสุดสายที่ Tobu Nikko Station เกือบเที่ยงวัน 

 
 

ออกจากสถานีรถไฟ ก็ยังไม่กินข้าวกลางวัน เข้าแถวต่อคิดขึ้นรถบัสท้องถิ่นที่ค่ารถรวมอยู่ใน Nikko pass แล้ว วิ่งไปตามเส้นทางบ้านเรือนที่เรียบร้อย สวยงาม สะอาดตา เลี้ยวสองสามครั้งระยะทางน่าจะสัก 3 กิโลเมตร ก็จอดให้ทุกคนลง เมื่อลงแล้วก็เห็นซุ้มประตูไม้ Torii สัญลักษณ์ทางเข้าของวัดญี่ปุ่น เข้าไปตอนแรกก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเห็นศาลเจ้าไม่ใหญ่มากมีคนอยู่ไม่มากมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ Nikko Futarasan jinja ถ่ายรูปกับกระต่ายทองหน้าศาลหน่อย


 น้องเมฆก็บอกว่าเคยมาแล้ว จำได้ว่ามีทางเดินไปศาลเจ้าใหญ่กว่านี้ แล้วก็พากันเดินไปตามทางผ่านซุ้มประตู Torii และกำแพงหินสัก 300 เมตร คราวนี้จึงได้เจอกับศาลขนาดใหญ่ที่เคยดูผ่าน ๆ มาใน YouTube ที่ชื่อ Nikko Toshogu แต่ต้องชะงักเพราะการเข้าดูต้องซื้อบัตรเพิ่มไม่รวมอยู่ใน Nikko Pass ในราคาคนละ 425 บาท และมีเวลาไม่มาก จึงได้แต่ถ่ายภาพหน้าศาลเท่านั้น แล้วก็มาถ่ายหน้าเจดีย์แดง 5 ชั้น หรือ Gojunoto 








จากนั้นก็เดินลงมาเจออาคารขนาดใหญ่มาทราบที่หลังว่าเป็นวัด Nikkozan Rinnoji Temple และอาคาร Rinnoji Treasure House ได้แต่เดินผ่าน ๆ เพราะในคณะเริ่มมีคนเวียนหัวจากการหิวข้าว ก็เลยหาทางเดินย้อนกลับไปยังจุดที่ลงรถบัสกะว่าจะกลับไปหาอะไรกินที่สถานีรถไฟ Nikko ตอนนี้ก็มีหิมะตกมาเล็กน้อย ขึ้นรถได้ก็สบายใจเพราะหวั่นว่าจะมีปัญหาการเป็นลม  


        รถออกวิ่งย้อนกลับทางที่มา ถึงตอนเลี้ยวโค้งเห็นสะพานแดงมรดกโลก Shinkyo ที่เป็นสัญลักษณ์ของ Nikko ในภาพถ่ายต่าง ๆ ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวที่นั่งมาด้วยกันลงหลายคนและดูแล้วว่ามีเวลาอีกสองสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลารถไฟที่จองไว้ออกก็เลยลงป้ายใกล้กับสะพานแดงที่ว่าด้วย เมื่อลงมาก็เห็นร้านอาหารชื่อ Takumi อยู่ตรงข้ามป้าย ก็เลยลองเสี่ยงดู เป็นร้านอาหารที่อยู่ในโรงแรม บรรยากาศดี อยู่ชั้นสอง คนไม่มากก็เลยสั่งอาหารกลางวันกินกันหมดไป 4,200 บาท อิ่มแล้ว ผมก็ลงมากับน้องฟ้าถ่ายภาพกับสะพาน Shinkyo แบบไม่ยอมเสียเงินโดยถ่ายห่าง่หน่อยตอนบ่ายสาม ส่วนอีก 3 หน่อ เดินตามทางนำไปก่อนไปรอซื้อโมจิเสียบไม้ยืนกิน
สะพานแดงมรดกโลก Shinkyo


        ส่วนคุณแหม่ม น้องฝนและน้องเมฆก็เดินนำทางตามถนนสวนกลับไปยังสถานีรถไฟ ซึ่งผมกับน้องฟ้าก็เดินไล่หลังตามไประยะทางประมาณ 1,400 เมตร ถ่ายรูป ชมบ้านและร้านรวงข้างทางอากาศกำลังดี ถึงสถานนีเกือบสี่โมงเย็น ก่อนเวลารถไฟออกครอบครัวก็เดินซื้อขนมกัน จนได้เวลาก็ไปขึ้นรถด่วนที่สถานีรถไฟเดิมประมาณสี่โมงครึ่ง




รถวิ่งต่อเดียวก็ถึงสถานีรถไฟ Asakusa จากนั้นก็เดินไปต่อรถใต้ดินไปถึงสถานี Ueno ประมาณ 18:30 น.   ได้เวลากินข้าวเย็นพอดีก็เดินไปย่านเก่าที่กินมาสองวันคราวนี้หาร้านที่เป็นอาหารเสียบไม้ปิ้งหรือเรียกว่า Izakaya ชื่อร้านอะไรอ่านไม่ออกแต่ Google แปลว่า วูเธียเตอร์ นั่งกินบรรยากาศหน้าร้าน เด็กหนุ่มคนเสริฟแจ้งว่าต้องเสียค่านั่งคนละ 95 บาท ฟังดูแล้วแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนร้าน สั่งอาหารในเมนูมากินกันหลายไม้ แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยอิ่มเท่าไร กินจบจ่ายค่าอาหารและค่านั่งไป 1,463 บาท แล้วก็กลับที่พักมาเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางไปนอนโรงแรมที่ทะเลสาบ Kawaguchiko ในวันพรุ่งนี้ต่อ 

https://www.wikiloc.com/train-trails/661202-back-to-ueno-154655828


วันนี้วางแผนว่าไป Nikko แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าไปตรงไหนบ้าง ได้ไป Nikko ตามตั้งใจในหลายแห่งย่อย

วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2566 (Day 4) Fujiyama Kawaguchiko

https://www.wikiloc.com/car-trails/661203-fuucchiyaamaa-154745314

เช้าวันนี้ตื่นเร็วหน่อยประมาณตี 5 อาบน้ำ เก็บข้าวเก็บของทั้งหมดลงกระเป๋า แล้วก็ลากลงมาที่เค้าเตอร์โรงแรมตอนหกโมงเช้า รอลูก ๆ นำกระเป๋ามาสมทบครบ 4 ใบ ทำการเช็คเอ้าท์รอบแรกและฝากกระเป๋าทั้ง 4 ใบไว้ ซึ่งโรงแรมรับฝากค้างคืนได้เพราะวันพรุ่งนี้กลับมาเช็คอินใหม่ไม่ต้องเสียค่าฝาก เหลือกระเป๋าใบเล็กลาก 2 ใบ ใส่ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นของทั้ง 5 คน นำติดตัวไปป Kawaguchiko ออกจากโรงแรมก่อนหกโมงครึ่งนิดหน่อย เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน Ueno ครั้งนี้เดินไกลหน่อยเพราะต้องไปต่อสายที่ไปสถานีรถไฟ Shinjuku ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ก็ไปถึงโผล่ออกมาบนดินก็งงนิดหน่อย เดินออกมานอกอาคารของสถานีรถใต้ดินเพื่อไปยังสถานีรถบัสที่จะไป Kawaguchiko ไกลหน่อย เดินไปชั้นบนของสถานีรถบัสเพื่อความมั่นใจว่ามาถูกที่แน่แล้ว ก็เดินลงมาไปหาอาหารเช้ากินกันเป็นเบอร์เกอร์ร้าน Wendy ที่อยู่ใกล้ ไม่รีบมากนักเพราะมีเวลาเหลือเฟือ ร้านแคบหน่อยมีคนมาใช้บริการพอสมควร กินไปไม่มาก 768 บาท จากนั้นก็เดินกลับมาที่สถานีรถบัสอีกครั้งรอเวลาขึ้นรถ การขึ้นรถใช้เอกสารที่ปริ้นท์มาด้วย แต่เห็นผู้โดยสารคนอื่นก็ให้ดูจากมือถือ คนขับมายืนหน้าประตูรถเลือกที่นั่งให้เพราะมาถึงเร็ว ได้แถวสองนั่ง 4 คน มีคุณแหม่มนั่งหน้าเกินไปคนหนึ่ง




        รถออกตามเวลา 08:45 น. วิ่งมุ่งหน้าไปสถานี Kawaguchiko ก่อนถึงแวะส่งคนลงที่สวนสนุกและสถานีรถบัสในเมือง ใช้เวลา 2 ชั่วโมงพอดีถึงที่หมาย ลงมาค่อนข้างชุลมุนเพราะคนค่อนข้างเยอะ มีคนไทยมาเที่ยวหลายคน เข้ามาในสถานีให้น้องเมฆถามเรื่องการเดินทางไป Station 5 ของภูเขาไฟฟูจิยามา นับว่าโชคยังดีที่มีตั๋วขายรอบบ่ายโมง ก็เลยจองไว้เลย คนละ 700 บาท แล้วก็ซื้อตั๋วรถบัสท้องถิ่นเหมา 2 วัน คนละ 425 บาท เนื่องจากเห็นว่ามีเวลาเหลือมากก็เลยขึ้นรถบัสท้องถิ่นสีแดงไปยังโรงแรมที่พัก Koryu Hotel ที่ห่างไป 10 ป้าย นำกระเป๋าไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่โรงแรมแล้วนั่งรถกลับมาที่สถานีใหม่ เพื่อหาอาหารกลางวันกิน แต่ร้านที่สะดวกไม่มีก็เลยหาซื้อร้านขายอาหารเสียบไม้ปิ้งใกล้ ๆ สถานี มานั่งกินที่ป้ายรอรถบัส ราคารวมน้ำ 1,463 บาท 




รถบัสที่จองไว้มารับและออกตามเวลาเช่นเดิม ใช้เวลาวิ่งไปถึง Station 5 ประมาณ 1 ชั่วโมง ออกไปถ่ายภาพกันอยู่ได้ไม่นานต้องวิ่งเข้ามาในอาคารที่ขายของที่ระลึกเพราะอุณหภูมิติดลบ 3 องศา หาซื้อของที่ระลึกและกาแฟร้อนกินกันสักพักก็วิ่งออกมาถ่ายภาพอีก 2 – 3 จุดก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถคันเดิมเพื่อกลับสถานี ใช้เวลาอยู่ที่นี่ 50 นาที กลับมาถึงด้านล่างค่อยยังชั่วหน่อยที่ไม่หนาวมาก 




จากนั้นก็ต่อรถท้องถิ่นกลับมาที่ Koryu Hotel เข้าห้องพักที่จองไว้ 2 ห้องประมาณสี่โมงเย็น ห้องพักค่อยกว้างหน่อย ที่นอนเป็นแบบนอนกับพื้น บรรยากาศแบบญี่ปุ่น มีชุดญี่ปุ่นให้ใส่พร้อมชาเขียวให้ชงกิน แต่ไม่ได้ใส่ชุดหรอก จนถึงเวลานัด 17:30 น. ก็ออกมาเจอกับลูก ๆ เดินตามทางไปอีกสัก 300 เมตรก็ถึงร้านอาหารที่น้องเมฆเลือกไว้จาก Google ชื่ออ่านไม่ออกแต่ใน Google บอกว่าชื่อภัตตาคาร  Konami นั่งกับพื้นกินแบบญี่ปุ่น ผมสั่งชุดเนื้อไป ส่วนคนอื่นก็สั่งกันไปตามชอบ ราคาทั้งหมด 3,119 บาท กินเสร็จประมาณหนึ่งทุ่มก็เดินกลับเข้าที่พัก อาบน้ำอาบท่าไม่ได้ไปใช้บริการออนเซ็นที่มีให้บริการแล้วก็นอนพักผ่อน ตอนนี้เริ่มมีปัญหาผื่นคันบริเวณรอบขาหน้าแข็งที่เกิดจากอากาศหนาวแต่ไม่ได้มีครีมทาสร้างปัญหาให้บ้างแล้ว สำหรับการนอนนับว่าสบายดีไม่อึดอัด และชาเขียวที่เขาจัดให้ก็ดื่มดีอยู่เลยเก็บที่เหลือหลายซองติดกลับมาด้วย






วันนี้ตามแผนที่วางไว้มี 3 กิจกรรม ทำได้ 2 กิจกรรม ขาดนั่งรถท้องถิ่นชมวิว

 วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566 (Day 5) Kawaguchiko Shibuya 

https://www.wikiloc.com/train-trails/661204-kawaguchiko-shibuya-154888873

ก่อนมาได้นำอุปกรณ์การวิ่งติดมาด้วยเผื่อมีโอกาสแต่ผ่านมา 4 วันแล้วไม่มีโอกาสเหมาะที่จะหาเวลาและสถานที่ออกกำลังกายได้จนเช้าวันนี้ หลังจากเมื่อวานบอกให้น้องเมฆไปเลื่อนเวลากินอาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าที่พักจาก 07:30 น. เป็น 08:30 น. ดังนั้น พอตื่นมาตอน หกโมงครึ่งฟ้าสว่างแล้วก็ใส่เสื้อกางเกง Longjohn ทับด้วยกางเกงวอร์มและเสื้ออีก 2 ตัว พร้อมถุงมือและหมวกกันหนาว ดูอุณหภูมิใน App สภาพอากาศแล้วบอกว่า 1 องศา ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเพราะครั้งสุดท้ายที่วิ่งในอุณหภูมิต่ำขนาดนี้ก็เมื่อ พ.ศ.2531 ตอนที่ไปฝึกศึกษาหลักสูตรชั้นนายร้อยทหารราบที่ Fort Benning หรือ Fort Moore ปัจจุบัน Georgia สหรัฐอเมริกา ที่ต้องมารวมพลออกกำลังทุกเช้าตอนตีห้าของเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม สนามหน้ากองร้อยที่อากาศจะหนาวอย่างไรก็ต้องมารวมออกกำลังกาย ออกมาจากโรงแรมก็วิ่งวนรอบทะเลสาบ Kawaguchiko ข้ามสะพานรอบเล็ก 1 รอบ ระยะทาง 4 กิโลเมตร

https://www.wikiloc.com/train-trails/661204-wingrbthaelsaabelkkhuuwaakuucchioka-154863885 

ระหว่างทางก็พบนักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพภูเขาไฟฟูจิตามจุดต่าง ๆ ซึ่งผมก็ได้โอกาสถ่ายไปด้วยและได้รู้จักใช้ AppleWatch แทนชัทเตอร์กล้อง iPhone ที่นำไปบันทึกการวิ่ง และหมายตาว่าช่วงสาย ๆ จะพาครอบครัวนั่งรถมาลงบริเวณทิศเหนือของทะเลสาบน้อยถ่ายภาพภูเขาไฟฟูจิที่มองไม่เห็นจากโรงแรม Koryu ใช้เวลาวิ่ง ๆ เดิน ๆ หยุดถ่ายรูปบ้างถึงแปดโมงเช้าก็ขึ้นห้องมาอาบน้ำ เก็บของเรียบร้อย ลงไปรอด้านล่าง โทรตามคุณแหม่มและบรรดาลูก ๆ เพราะเริ่มเลยเวลาที่กำหนด


ผมเข้าไปนั่งรอในห้องอาหารก่อน ทำเป็นโต๊ะญี่ปุ่นเรียงกันหลายโต๊ะ 2 แถว แขกทั่วไปทยอยกันกินเพราะเขาเริ่มติดไฟอุ่นอาหารตามเวลา จนเวลา 08:45 น. ทุกคนก็ลงมาพร้อม รับประทานอาหารกัน ซึ่งนับว่าดีคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปพร้อมกับค่าจองโรงแรม เรียกว่าอิ่มและอร่อยกันทุกคน เสร็จแล้วก็ใกล้สิบโมงก็ไปเช็คเอ้าท์ แล้วก็ฝากกระเป๋าเอาไว้ก่อน ทางโรงแรมแจ้งว่าต้องจ่ายภาษีนักท่องเที่ยวเพิ่มอีกคนละ 37 บาท เราจ่ายเรียบร้อยก็เดินข้ามฝั่งไปยืนรอที่ป้ายรถเมล์สีแดงหมายเลข 10 ระบบการขนส่งที่นี่ก็ทำได้ดีเพราะสามารถดูจาก Google Map ก็รู้ได้ทันทีว่ารถจะมาถึงอีกกี่นาทีต่อไป มาช้าหรือมาเร็วกว่ากำหนด แม้ว่าจะเป็นการขนส่งของท้องถิ่นที่ไม่คิดว่าจะมีรายงานเวลาจริงใน Google Map พอทุกคนเดินมาพร้อมรถบัสแดงที่ซื้อตั๋วเหมาสองวันไว้ก็มาพอดี รถจอดจะเปิดประตู้หน้าให้คนลงก่อนโดยต้องแสดงหลักฐานเช่นตั๋วหรือจ่ายเงินสด หรือผ่านบัตร เมื่อลงหมดแล้วประตูกลางรถจะเปิดให้คนขึ้น คนที่ไม่มีตั๋วก็รับตั๋วที่ประตูที่ยื่นออกมาให้หยิบ ถ้ามีตั๋วเหมาเช่นที่เราซื้อมาก็เดินขึ้นไปได้เลย รถกำลังจะวิ่งผ่านป้ายที่ 13 ที่ผมหมายตาไว้ให้ครอบครัวลงถ่ายรูปแต่น้องเมฆก็บอกว่าป้าย 17 และ 20 ในแผนที่แนะนำเมืองมีดาวซึ่งหมายความว่าเป็นจุดชมวิวของนักท่องเที่ยว ผมจึงปล่อยให้รถวิ่งต่อไปตามถนนที่วนรอบทะเลสาบไปทางตะวันตก จนถึงป้ายที่ 20 ที่เป็นป้ายสุดท้ายรถบัสก็หันหัวกลับและจอดเข้าท่ารถให้ทุกคนลง 






พวกเราเดินลงไปพร้อมกับมองไปยังภูเขาไฟฟูจิที่ยิ่งใหญ่เต็มตาไม่มีเมฆหมอกหรือสิ่งของบนพื้นดินบดบังแม้แต่น้อย มันช่างเป็นภาพที่น่าดื่มด่ำและดีใจมาก ๆ ที่ได้มายืน ณ จุดนี้ แต่ละคนระดมถ่ายรูปกันยกใหญ่ หลังจากนั้นก็ซื้อของที่ระลึก รวมทั้งไอศกรีม และองุ่นเขียวไร้เมล็ดที่แสนแพงกินกัน จนล่วงเลยเวลาไปสักชั่วโมง ก็ได้เวลาอำลากลับมาขึ้นรถบัสแดงเพื่อมุ่งหน้ากลับมาที่โรงแรมเพื่อรับกระเป๋าคืนกัน หลังจากได้กระเป๋ายังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง ผมจึงบอกน้องเมฆให้ดูว่าจะลองนั่งรถบัสสีเขียวซึ่งค่าโดยสารรวมอยู่ในบัตรเหมาเหมือนกัน ในการนั่งดูอีกด้านหนึ่งของภูเขาไฟฟูจิโดยไปเปลี่ยนรถที่ต้นทาง แต่ก็มีข้อผิดพลาดตรงที่เมื่อใกล้กับสถานีป้ายที่ 5 ในแผนผังเส้นทางกระดาษที่ได้รับมาบอกว่ารถสายสีเขียวจะวิ่งมาตัดที่จุดนี้ ซึ่งจะทำให้ประหยัดเวลาไปพอสมควร แต่เมื่อลงแล้วก็งงกับแผนผังและรออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นวี่แววของรถบัสสีเขียว จนใกล้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ๆ รถบัสกลับโตเกียวที่จองไว้ก็จะออก ผมเห็นว่าคงเสี่ยงตกรถเกินไป ไม่อย่างลุ้นก็เลยบอกให้ขึ้นรถบัสแดงกลับไปที่สถานี จากนั้นก็ไปยืนรวมเข้าคิวหน้าร้านอาหารที่อยู่ตรงหน้าสถานี สักพักน้องเมฆก็บอกว่าจุดที่รอกว่าจะได้กินก็อีกชั่วโมงครึ่ง พวกเราจึงต้องถอยออกจากคิว ย้ายไปร้านเทมปุระอีกที่อยู่ด้านซ้ายของสถานี ไปถึงกดบัตรคิวผลออกมาแบบเดิมคือรออีกชั่วโมงครึ่งจึงได้นั่ง สรุปแล้วไปกินร้านอาหารเสียบไม้ปิ้งย่างกันเหมือนเมื่อวาน ใส่กล่องมาหาที่นั่งในอาคารกินกันเอง ในราคา 2,175 บาท จนวลา 14:20 น. รถบัส Highway ที่จองไว้แล้วก็มาถึงโดยช้ากว่ากำหนดไป 5 นาที 

รถบัสวิ่งกลับมายังสถานีรถบัส Shinjuku โตเกียวโดยสวัสดิภาพเมื่อเวลา 16:10 น. พวกเราลงจากรถข้ามมายังสถานีรถไฟ JR Shinjuku ก็ต้องตกใจกับคลื่นมนุษย์อันสับสนภายในสถานีที่วิ่งสวนกันไปมาขวักไขว่จนน่าเวียนหัว และน่าจะเดิน(ผสมวิ่ง)ชนกันบ้าง แต่ก็ไม่เห็นว่ามีการชนกันเหมือนกับฝูงค้างคาวที่บินออกจากถ้ำ เนื่องจากมีเวลามากพอกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น น้องเมฆจึงพาเดินออกมานอกอาคารที่มีคนน้อยหน่อยแต่เดินอ้อมไปหาสถานีรถไฟที่จะไป Shibuya สถานที่ที่มีคนเดินข้ามทางม้าลายจนเป็นเอกลักษณ์และดึงดูดให้คนมาดูการข้ามทางม้าลายที่หาที่ใดเหมือนได้ยาก ซื้อบัตรแบบ Tokyo 1 day Pass ราคาคนละ 150 บาท แล้วมาโผล่ที่ Shibuya ออกมาจากใต้ดินก็เดินหาตู้รับฝากกระเป๋าตรงสถานีรถไฟ หาอยู่ 2 – 3 แห่งก็เจอที่ว่าง ฝากใบกลางกับใบเล็กในราคา 225 บาท และ 125 บาท ฝากเสร็จเครื่องก็บอกรหัสเปิดมาให้ ผมเองคิดว่าถ้าคนฝากลืมรหัสคงจะยุ่งน่าดูเหมือนกันเพราะมองไม่เห็นว่าจะไปติดต่อที่ไหนได้ แต่น่าจะเกิดยาก




           โชคดีของผมอีกอย่างในการเดินทางครั้งนี้ คือสองวันที่ผ่านมาผมเกิดอาการปวดท้องขึ้นมาอีกแม้จะไม่ปวดมากเหมือนเดือนที่ผ่านมา แต่ก็มีอาการไม่ถ่ายตามเวลา แต่ก็ไม่ทำให้ขายขี้หน้าเท่าไรเพราะไม่ปวดเวลาเดินทาง และเวลาปวดท้องเข้าห้องน้ำก็จะมีห้องสุขาที่สะอาดมีอยู่ทั่วไปและหาได้ง่ายแทบทุกที่ ผมเข้าห้องน้ำเสร็จก็มายืนดูคนข้ามทางแยก Shibuya กันเหมือนกับนักท่องเที่ยวอีกหลายคนที่มาถ่ายรูป ถ่ายคลิปกันมากมาย กับภาพที่แปลกตาเวลาไฟเขียวของรถ รถก็จะวิ่งกันขวักไขว่ คนหยุดรอนิ่ง เวลาไฟเขียวให้คนข้าม รถทุกทิศทางก็จะหยุดกันหมด คนก็ข้ามถนนทุกทิศทุกทางน่าจะหลายพันคนในยามค่ำเป็นที่น่าประหลาดใจ ในส่วนของคุณแหม่มกับลูก ๆ ก็สนุกสนานกับการเดินดูสินค้าของ Disney และห้างต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นจนเวลาล่วงเลยไปน่าจะสามชั่วโมงได้ จนสองทุ่มกว่าผมเองก็มานั่งคอยที่แยก Shibuya เพราะหมดแรงจะเดินแล้ว หลังจากที่แต่ละคนได้สิ่งของตามที่ตั้งใจก็มารวมตัวกันไปรับของที่ฝากไว้ที่ตู้อัตโนมัติคืน แล้วลงรถไฟใต้ดินกลับไปสถานี Ueno โผล่จากดินมาอีกทีก็เกือบสามทุ่ม เดินเข้าโรงแรมเช็คอินรอบที่สองของยังอยู่ครบตามที่ฝากโรงแรมไว้ คราวนี้ได้ห้องที่ชั้น 8 ขนาดห้องแคบเท่าเดิมก็เอาของขึ้นไปเก็บแล้วรีบกลับลงมาเพื่อไปกินอาหารมื้อสามทุ่มกัน


ร้านนี้เป็นร้านหมาหล่าอาหารอันชื่นชอบของน้องฟ้าอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 100 เมตร อาคารร้านอาหารชื่อว่า ริมทะเลสาบ (ให้ Google อ่าน) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นก็แยกร้านอาหารที่แตกต่างกัน ร้านนี้เป็นร้านหม้อไฟจีนหรือหมาหล่า อยู่ชั้นที่ 3 ชื่อภาษาญี่ปุ่นหรือจีนไม่รู้เพราะอ่านไม่ออก แต่ให้ Google อ่านได้ว่า ร้านแกะน้อย พนักงานผู้หญิงที่เห็นเราออกจากลิฟท์เข้าไปในร้านทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะต้องรับให้ไปนั่งโต๊ะก็บอกก่อนว่าร้านจะปิดภายในอีกสี่ทุ่มหรือมีเวลากินไม่เกิน 1 ชั่วโมง น้องเมฆบอกไม่มีปัญหาเวลาตามนั้น แขกในร้านเหลืออยู่ 2 โต๊ะและกำลังเช็คบิล เราเมื่อนั่งแล้วก็ระดมสั่งอาหารจนคนเสริฟที่น่าจะเป็นสาวจีนทำหน้าไม่เชื่อว่าเราสั่งถูกหรือไม่ อาหารน่ากินมากพอ ๆ กับร้าน BBQ เมื่อสามคืนก่อน รสชาติถูกปาก เรากินเสร็จตามเวลา ค่าเสียหายจาก 5 คน รวม 4,939 บาท จบภารกิจเข้าห้องพักเวลา 22:10 น. อาบน้ำแล้วรีบนอนเพราะต้องตื่นเร็วอีกวันในพรุ่งนี้



วันนี้ตามแผนที่วางไว้ ที่ทำไม่ได้คือไปอาคารว่าการโตเกียวและอนุสารีย์ฮาจิโกะโดยแทนด้วยการ Shopping

 วันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2566 (Day 6) Tokyo DisneySea

https://www.wikiloc.com/train-trails/661205-tokyo-disney-sea-154933699

เมื่อคืนก่อนแยกกันเข้าห้องพักนัดเวลาเจอกันหน้าโรงแรมเวลา 07:00 น. แต่เอาเข้าจริงกว่าจะพร้อมก็เลยไป 30 นาที นั่งรถใต้ดินจากสถานี Ueno ไปเปลี่ยนรถไฟ JR 1 ครั้ง จ่ายเงินเพิ่มคนละ 58 บาท เพื่อต่อไปลงที่สถานี Maihama จากนั้นก็ไปต่อรถไฟโมโนเรลของ Disney คนละ 130 บาท ไปถึงก็พอดีกับเวลาที่เปิดประตูเข้า ผ่านประตูเข้าไปโดยการแสดง App Disney ที่โหลด QR Code มาแตะผ่านเข้าไป จุดแรกที่เจอเป็นลูกโลกขนาดใหญ่เป็นฉากให้หยุดถ่ายรูปกัน แต่ผ่านจุดนี้เข้าไปลอดใต้อุโมงค์อาคารโรงแรม Disney จะเรียกว่าหัวใจแทบจะหยุดเต้นหรือหัวใจพองโตดีที่เห็นภูเขาไฟจำลองจากนิยายที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ ต้องหยุดถ่ายภาพกันสักพักก่อนที่จะเดินออกขวาไปหาอาหารเช้ากันกัน ซึ่งเป็นอาหารที่สั่งง่ายกินง่าย ออกแบบร้านได้แปลกตา รวมราคา 2,200 บาท อิ่มแล้วก็เดินชมสถานที่






 ลูก ๆ เปิดมือถือช่วยกันจองเครื่องเล่นผ่าน App Disney Resort กันยกใหญ่ แต่เครื่องเล่นดี ๆ กลับช้าเกินไป เช่น Indiana Jones ต้องรอเวลาหนึ่งทุ่มจึงจะได้เล่น เครื่องเล่นดี ๆ ที่คิดกันมาอย่างน้อยต้องรอ 2 ชั่วโมง จึงได้แต่ไปต่อคิวที่รอไม่นาน ๆ ประมาณ 5 – 6 อย่าง จำชื่อเครื่องเล่นไม่ได้ แต่มี Sinbad, Nemo, พรมวิเศษ, เรือหมุน, Mermaid, Temple Run เป็นต้น ซึ่งเพียงพอที่จะประทับใจมาก มื้อกลางวัน ก็ซื้อขาไก่รมควันกินกันคนละอันและขนมต่าง ๆ เป็นเงิน 1,445 บาท จนใกล้เวลาจะมืด 16:30 น. ก็ชวนกันกลับไม่รอการแสดงรอบกลางคืนแล้ว




















ขากลับน้องเมฆหาร้านซูชิลงรถไฟใต้ดินก่อนถึง Ueno 1 สถานี เดินไปตามซอยเล็ก ๆ เงียบ ๆ จนไม่คิดว่าจะมีร้านอาหารเหมือนแหล่งบ้านคนมากกว่า แต่เดินไปเดินมาก็หาเจอเป็นร้านเล็ก ๆ ร้านชื่อ มัตสึยามะ ยืนคอยสักพักจนถึงเวลา 17:30 น. ร้านก็เปิดตามที่เขียนไว้หน้าร้าน เข้าไปนั่งเค้าเตอร์ได้คุยกับเจ้าของร้านและเมียเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง ทราบว่าทำซูชิมา 4 ชั่วอายุคน ราว 100 ปีมาแล้ว และทราบว่าการทำซูชิจะถ่ายทอดวิชาให้แก่ลูกชายเท่านั้น เมนูซูชิมีอยู่ 4 – 5 อย่าง แต่เห็นราคาแล้วอยากจะเปลี่ยนใจ เพราะมีแค่ 2 ราคา คือ ชุดละ 1,000 บาท และ 1,250 บาท ต้องสั่งคนละ 1 ชุด คุณแหม่มไม่ชอบซูชิอยู่แล้วพอทราบราคาเลยถอยไปนั่งคอย ส่วนที่เหลืออีก 4 คน สั่งชุดละ 1,000 บาท ไปคนละชุด ราคาขนาดนี้ผมเองรู้สึกว่าแพงไป แต่ลูก ๆ บอกว่าบางแห่งขายชุดละ 2,000 บาท ก็มี ผมเองอาจจะกินซูชิงานแต่งงานบ่อยโดยไม่รู้ราคาเลยไม่รู้จริง ๆ ว่ามันแพงไปหรือเปล่า ขากลับก็คุยกับทางคนขายกันสนุกสนานนะยังบอกว่าจะช่วยแนะนำให้คนมากินด้วยแต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ทำจริงไหม กินอิ่มออกจากร้านเดินชมบ้านพักอาศัยของคนญี่ปุ่นสั่งเกตเห็นว่าแต่ละห้วงจะมีลานกว้างไว้สำหรับจอดรถยนต์กันเป็นระยะ ๆ ซึ่งเห็นว่าดีเมื่อเปรียบเทียบกับแถวบ้านผมที่บ้านใกล้เรือนเคียงไม่มีที่จอดรถต้องเอารถมาจอดบนถนนหน้าบ้านเป็นที่กีดขวางทางจราจรที่ใช้ส่วนรวมอยู่จำนวนมาก

 

กลับมาขึ้นรถไฟใต้ดินอีก 1 สถานีก็ถึงสถานีรถไฟ Ueno ก่อนจะออกจากสถานีก็แวะของรถไฟ Keisei Skyliner กลับท่าอากาศยาน Narita เที่ยว 16:00 น. ในราคาใบละ 643 บาท แพงกว่าจองผ่าน Klook.com ประมาณ 100 บาท จากนั้นก็เดินมาโรงแรม APA Hotel Keisei Ueno-Ekimae ก็เกือบทุ่มแล้ว ทำการเช็คอินเที่ยวบินขากลับผ่านเว็บไซต์ Air Asia แต่ไม่จองอาหารระหว่างบิน แล้วเก็บข้าวเก็บของยัดใส่กระเป๋าเดินทางกันจนแทบจะปิดไม่ลง ส่วนคุณแหม่มหลังจากได้แต่นั่งดูคนกินซูชิเมื่อมาถึง Ueno น้องเมฆก็พาไปกินราเม็งอีกชามก่อนกลับขึ้นมานอน สำหรับวันพรุ่งนี้ตอนแรกว่าจะไม่ไปไหนแล้ว แต่มาคิดอีกทีก็เปลี่ยนใจไปศาลเจ้า Meiji แล้วเจอกันตามเวลาใหม่เก้าโมงเช้า  

ตามแผนเดิมไป Tokyo DisneySea แห่งเดียวซึ่งเป็นไปตามแผน แต่ของเล่นในสวนสนุกแทบจะเล่นตามแผนไม่ได้เลย

วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566 (Day 7) ศาลเจ้า Meiji – Isetan - Narita Airport https://www.wikiloc.com/train-trails/61206-maiji-shrine-isheton-narita-154994400

เช้านี้ตื่นสบาย ๆ เวลา 08:00 น. อาบน้ำเก็บของลงกระเป๋าย้ายลงมาที่ชั้นล่างเพื่อฝากกับโรงแรม หลังอาบน้ำก็ใช้น้ำมันมะพร้าวของคุณแหม่มที่ติดมาด้วยทาบริเวณขาท่อนล่าง 2 ข้างที่เป็นผื่นคันจากอากาศหนาวและอาบน้ำร้อน เกาเสียจนเลือดออก เสร็จตั้งแต่ 09:00 น. มายืนรอลูก ๆ หน้าโรงแรมจนเก้าโมงครึ่งจึงจะพร้อมทุกคน การเดินทางก็ยังคงใช้รถไฟเหมือนเดิมนั่ง 2 ต่อไปลงที่สถานี Yoyogi Station แล้วเดินต่อไปตามแผนที่ เดินไปเดินมาไกลมากขึ้นเรื่อยเพราะเห็นป้ายเขียวเขียนภาษาญี่ปุ่นนึกว่าชี้ทางไปศาลเจ้า Meiji แต่เอา Google มาส่องดูกลายเป็นเขตโรงเรียน จึงเดินไกลพอสมควรและเริ่มมีคนหิวข้าวเพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้า 

เดินไปสัก 500 เมตร ก็เจอซุ้มประตู Torii เป็นทางเข้าไปยังศาล Meiji โดยเป็นทางเดินเข้าด้านข้าง ตลอดทางเดินมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากเรียกได้ว่าเป็นป่ากลางกรุง

 

เมื่อเดินไปถึงศาลเจ้าหลักความเหนื่อยก็แทบไปสิ้นกับสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นมา (อาจจะมีผมคนเดียวในคณะที่ชอบแบบนี้) ผมถ่ายรูปอยู่หลายมุมแต่ไม่ค่อยได้รับแรงเชียร์เท่าไรนัก 


จนเวลาใกล้เที่ยงวันก็เดินกลับไปอีกทางที่ไม่ไกลนักก็ถึงสถานที่รถไฟ JR Harajuku ก็ขี้นนั่งย้อนกลับมาจึงทราบว่าขามารีบลงไปก่อน 1 สถานีตาม Google แนะนำ แล้วก็นั่งต่อมาลงที่ Shinjuku 


มาหาอาหารญี่ปุ่นกินที่ร้านอาหาร Miyazaki นั่งเค้าเตอร์ 5 คนหมดไป 2,230 บาท 



 กินเสร็จก็เดินลงสถานีรถไฟใต้ดินไปไกลโขก็ถึงห้าง Isetan ผมแยกตัวเดินหาร้านรองเท้า On เผื่อจะมีแต่ก็ไม่เจอ มีแต่ยี่ห้ออื่นและของแพง ๆ ที่ไม่รู้จะซื้อมาทำไม ส่วนคุณแหม่มกับลูก ๆ ก็เดินซื้อของในห้างเป็นที่ครึกครื้นยิ่งกว่าไปศาลเจ้า Meiji เป็นไหน ๆ นัดกันมาเจอประตูทางออกอีกทีก็เวลา 14:00 น. ผมไม่ได้ซื้ออะไรส่วนคณะหอบกันพะรุงพะรัง 

จากนั้นก็นั่งรถไปใต้ดินกลับมาที่สถานี Ueno ก่อนบ่ายสามโมงเล็กน้อยก็เลยแวะกินกาแฟร้าน Delifrance ในสถานีไปอีก 236 บาท 

จนใกล้เวลา 15:30 น. ก็เดินกันไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้กับโรงแรมคืน มารอขึ้นรถไฟ Keisei Skyliner เวลาออกจากสถานี 16:00 น. 

รถไฟออกตามเวลาถึง Narita terminal 2 ก่อน 17:00 น. 

แต่ละคนช่วยกันลากกระเป่ามาคอยหน้าช่อง N ก่อนเวลาเปิดให้รับตั๋ว 18:00 น. 

ผมไม่ค่อยหิวเท่าไร จึงอยู่เฝ้าของแล้วให้คุณแหม่มกับลูก ๆ ไปหาอาหารเย็นกินกันแล้วสั่งเบอร์เกอร์มาฝากผมด้วย ระหว่างนั้นก็ใช้บริการโทรฟรี 5 นาทีที่แถมมาพร้อมกับอินเทอร์เน็ต Ready2Fly นัดรายละเอียดการมารับของรถตู้โดยสารที่มัดจำไว้เป็นที่เรียบร้อย มาตรวจดูการใช้อินเทอร์เน็ตของ AIS ใช้ไปไม่ถึง 4 GB จาก 15 GB พอ ๆ กับของ True Travel ส่วนประกันการเดินทางเสียเงินฟรีแต่ก็นับว่าดีที่ไม่ได้ใช้

ขณะกำลังยืนรออยู่ทางสายการบินก็เปิดให้โหลดกระเป๋าก่อนเวลาได้เลย ทำให้ผมต้องรอคณะซึ่งไปซื้ออาหารอยู่แต่ก็ไม่ช้านักเพราะเราทำการเช็คอินมาก่อนแล้วเมื่อคณะมาถึงก็แยกไปในส่วนผู้โดยสารที่เช็คอินมาก่อนที่แถวไม่ยาว จากนั้นผมก็มานั่งกินอาหารเย็น อิ่มแล้วก็ผ่านด่านตรวจผู้โดยสารขาออกที่เป็นการบริการตนเองก็สะดวกดีเป็นการ Scan หนังสือเดินทางผ่านเครื่องตรวจด้วยตนเอง ยังพอมีเวลาครอบครัวตัวบอของผมก็เดินช็อบปิ้งส่งท้าย ส่วนผมก็เข็นรถขนของที่เป็นกระเป๋าติดตัวของทุกคนมานั่งคอยที่ประตูทางเข้าเครื่องบินปล่อยให้ลูกกับคุณแหม่มซื้อของฝากกันเพื่อล้างเงินเยนให้หมด และก็บังเอิญน้องเมฆเจอตุ๊กตาที่เพื่อนฝากซื้อมาพอดีผมก็เลยโอนเงินในบัตร YouTrip พร้อมเงินเยนที่เหลือจากช่วยจ่ายค่าอาหารและค่าใช้จ่ายระหว่างเที่ยวบางส่วนให้กับลูก ๆ ใช้คืนไปบ้างรวมแล้วประมาณ 28,000 บาท เครื่องบิน Air Asia XJ607 บินออกจากท่าอากาศยาน Narita ประเทศญี่ปุ่น เวลา 21:30 น. (เวลาประเทศไทย 19:30 น.) …. Sayonara Japan …. แล้วพบกันใหม่เมื่อวันนั้นมาถึง

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม 2566 (Day 8) Welcome to Thailand กลับบ้านเรา

https://www.wikiloc.com/flying-trails/661207-naarita-suwrrnphuumi-dinaedng-155093259

เครื่องบิน Air Asia XJ607 มาถึงอาคาร SAT – 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามเวลาประเทศไทย 02:30 น. ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมง ใช้เวลาดำเนินกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าจนถึงเวลา 03:30 น. ระหว่างนั้นติดต่อคนขับรถที่จ้างเหมาไว้ได้เรียบร้อย ให้มารับที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า ชั้น 2 ประตู 4 กลับถึงบ้านประมาณ 04:00 น. จ่ายเงินค่ารถตู้ที่ค้างไว้ 900 บาท หลังจากนั้นก็ช่วยคุณแหม่มแยกเสื้อผ้าและสิ่งของต่าง ๆ จัดระเบียบจนตีห้ากว่า ๆ ก็อาบน้ำแต่งตัว ขนของขึ้นรถ muX ขับกลับบ้านที่ท่ายาง ระหว่างขับรถบนถนนพระราม 2 บริเวณก่อสร้างทางด่วนด้านบน มีหวาดเสียวจากรถบรรทุกเบรกกะทันหันจนเกือบชนท้าย แต่ก็ปลอดภัยแวะกินอาหารเช้าต้มเลือดหมูแยกบันไดอิฐแล้วขับต่อมาถึงบ้านที่ท่ายางเป็นที่เรียบร้อยเวลา 08:00 น. 

https://www.wikiloc.com/car-trails/661207-klabbaanthaayaang-155093262

สรุปค่าใช้จ่าย ไม่รวมของฝาก เป็นเงินทั้งสิ้น  259,013 บาท แบ่งเป็น

1. ค่าเครื่องบิน Air Asia         106,353      บาท

2. Internet ประกันเดินทาง       4,434      บาท

3. ค่าที่พัก                                 59,046     บาท

4. บัตรผ่านประตู                      15,035      บาท

5. ค่าเดินทาง                            28,348     บาท

6. ค่าอาหาร                               45,447     บาท

7. Locker ฝากกระเป๋า                 350      บาท

                เฉลี่ยค่าใช้จ่าย 5 คน ๆ ละ 51,802.60 บาท

การเดินทางท่องเที่ยวโตเกียวครั้งนี้หลังจากได้เดินทางกลับมาถึงบ้านแล้วโดยสวัสดิภาพแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาอย่างแรกคือ ความหมายและแรงบันดาลใจของชีวิตให้มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ และสิ่งที่นับได้ว่าคุ้มค่าต่อเวลาและทรัพย์ที่เสียไปที่ได้คือ ความสัมพันธ์ที่ดีและอบอุ่นของครอบครัวตัวบอเหมือนกับอดีตที่แสนสุขครั้งที่เคยมีเมื่อทุกคนไปอยู่ กิน นอน และผจญภัยร่วมกันที่นิวยอร์กเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ณ วันนี้ สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและภาคภูมิใจอยู่เงียบ ๆ คือ ความสามารถของลูก ๆ ที่ปรับตัวอยู่ได้กับโลกที่มีความล้ำหน้าด้วยการเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักวางแผน รู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผม และบัดนี้เป็นที่ประจักษ์และอุ่นใจได้ว่า ลูกทุกคนจะรับต่อความรับผิดชอบต่าง ๆ และสานต่อความมั่นคงยั่งยืนของครอบครัว “รังษีภาณุรัตน์” ได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าสิ่งเคยทำที่ผ่านมา

--------------------------------------------


อ่านเรื่องราวอื่น ๆ