![]() |
| 26 ก.ย.65 พิธีอำลาชีวิตราชการ กองบัญชาการกองทัพไทย |
1. การปลูกบ้าน การเป็นเจ้าของบ้านสักหลังเป็นลำดับแรก ๆ ที่มีความสำคัญมาก ใครที่เคยอยู่บ้านของหน่วยมาตลอดชีวิตต้องรีบตัดใจเดี๋ยวนี้ก่อนจะสายเกินไป เมื่ออายุปูนนี้แล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะมีบ้านของตนเองกันแล้ว ทั้งแบบเป็นของตนเองทั้งหมดหรือเป็นของธนาคารบางส่วน ในวัยก่อนเกษียณนั้นแทบทุกคนคงตัดสินใจได้แล้วว่าจะลงหลักปักฐานในวัยชรา ณ ที่แห่งใด แล้วต้องหาทางมีบ้านไว้สักหลังหนึ่งอาจจะเป็นการปลูกบ้านหรือซื้อสำเร็จก็ได้ จะปลูกที่บ้านเกิดที่ไม่ไกลชุมชนมากนัก หรือหากไม่เบื่อความจอแจก็ปลูกในกรุงเทพหรือปริมณฑลหรือเมืองใหญ่ได้จะดีมาก บ้านที่สร้างควรจะมีขนาดพอรับแขกห้าหกคนได้ในคราวเดียวกัน เนื่องจาก หลังเกษียณมีเวลาว่างมากขึ้นอาจจะชวนเพื่อน ๆ มาสังสรรค์คุยเรื่องความหลัง เสียงดัง เฮฮา ร้องเพลงให้เป็นที่รื่นรมย์ โดยประเด็นการปลูกบ้านนี้ สิ่งที่สำคัญมากคือ เราควรวางแผนผ่อนชำระค่าสร้างบ้านรวมเฟอร์นิเจอร์ให้หมดเรียบร้อยก่อนถึงวันเกษียณจะดีมาก ๆ
2. กำหนดวันสุดท้ายของชีวิต เราควรคาดการณ์ว่าอายุของตนเองจะยืนยาวไปอีกกี่ปีหลังเกษียณก่อนจะต้องลาโลกอันสวยงามนี้ไป โดยประเมินตนเองจากสุขภาพ การใช้งานร่างกายของเราที่ผ่านมา และพันธุกรรมที่ได้รับมาจากพ่อแม่ เพื่อที่จะนำมาคำนวณเปรียบเทียบรายได้จากบำนาญแต่ละเดือนหลังเกษียณว่าจะเพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีเกียรติในสังคมวัยชราเพื่อมิให้ลำบากมากนัก เนื่องจากเงินเพิ่มต่าง ๆ จะต้องหายไป รวมทั้งรายได้พิเศษที่เคยได้รับจากหน่วยเป็นการสมนาคุณ เช่น เบี้ยเลี้ยง เบี้ยประชุม ฯลฯ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วหลังจากเกษียณไปประมาณ 15 ปี ถ้ายังมีลมหายใจต่อ เงินบำนาญรายเดือนของเราอาจจะถูกเงินเฟ้อแซงจนมีค่าน้อยลงต่อการอยู่ในสังคมอย่างที่เคยเป็น ยกตัวอย่างนายทหารสัญญาบัตรวัยเราตอนยศพันโท เมื่อปี 2545 ได้รับเงินเดือนประมาณ 20,000 บาท อายุราชการ 25 ปี ลาออกตอนนั้นได้บำนาญประมาณ 12,000 บาท ผ่านไปแค่ 13 ปี พ.ศ.2558 เงินบำนาญที่ได้รับน้อยกว่าระดับปริญญาตรีจบใหม่เสียอีก ซึ่งคุณภาพการดำรงชีวิตหากไม่มีเงินอื่นมาเสริมบ้างคงจะลำเค็ญไม่น้อย และหากมีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็คงต้องวางแผนการลงทุนทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มรายได้มาชดเชยบ้างเมื่อเวลาผ่านไป
3. ทดแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ โดยทั่วไปชีวิตพวกเราตั้งแต่อายุ 16 ปี ก็ออกจากบ้านมาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร จบมาทำงาน แต่งงาน มีครอบครัว ปัจจุบันอายุ 53 – 57 ปี โดยไม่ค่อยมีโอกาสได้กลับไปตอบแทนผู้มีพระคุณของเรา คือ บิดา มารดา ซึ่งแม้ว่าส่วนหนึ่งได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว แต่คิดว่าหลายท่านยังคงมีชีวิตอยู่ ดังนั้น หากบิดา มารดาของใครยังอยู่ บุคคลนั้นก็ควรใช้โอกาสที่ยังมีเหลืออยู่หาหนทางที่เหมาะสมในการตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง ไม่ใช่เพียงแค่ไปแวะหาเช้า สายกลับ เอาของไปฝากแล้วลา สำหรับชีวิตผมที่ผ่านมาทำงานส่วนใหญ่ที่กรุงเทพกับต่างประเทศได้ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตกลับมาเพชรบุรีบ้านเกิดตอนอายุ 48 ปี เพื่อที่จะได้มาดูแลบิดามารดาที่อายุมากจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างใกล้ชิด โดยเมื่อกลับมาได้ปรับปรุงร้านค้าของบิดามารดาที่จำหน่วยสังฆภัณฑ์และบ้านพักอาศัยให้สวยงาม แข็งแรงและสะดวกมากขึ้น (ตรงนี้ใช้เงินของพ่อแม่นะ และโดนบ่นอยู่บ้างเนื่องจากใช้เงินมากไปหน่อย) และได้ดำเนินการก่อสร้างสถานที่บรรจุศพของตระกูลตามที่บิดาต้องการมานานจนสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน ซึ่งต้องอธิบายภรรยาให้เข้าใจ มิเช่นนั้นอาจเกิดปัญหาบ้านแตกตามมาได้
4. การรักษาสุขภาพ ในห้วงสองสามปีที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินข่าวที่ทำให้ใจหายได้ คือ ข่าวเพื่อนเรา หรือภรรยาเพื่อนที่อายุใกล้เคียงกับเราได้เสียชีวิตด้วยอาการป่วยเจ็บ ซึ่งอันที่จริงจะถือเป็นเรื่องปกติก็ว่าได้เพราะการเสียชีวิตทำนองนี้เรียกว่ามีโอกาสอยู่บ้างเพียงแต่ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ควรประมาทว่าจะไม่เกิดกับเรา ดังนั้น การรักษาสุขภาพจึงมีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน โดยในวัยขนาดนี้เราควรเข้ารับการตรวจร่างกายจากโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน เพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติภายในร่างกายเนื่องจากเมื่อเลยวัย 50 ปี นั้น สิ่งร้าย ๆ ที่สะสมมาในร่างกายของบางท่านอาจจะรวมกำลังแล้วแสดงผลร้ายออกมาได้ ซึ่งหากรู้แต่เนิ่นจะสามารถรักษาให้หายได้หรืออย่างน้อยก็แจ้งเตือนเจ้าตัวให้รักษาสุขภาพให้มากขึ้น อันจะเป็นการยืดอายุให้ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ และหากโชคดีตรวจไม่พบสิ่งปกติในร่างกายก็ควรดำรงไว้ด้วยการหมั่นออกกำลังกายหรือทำงานกลางแจ้งและให้เหงื่อออกในอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้เคยชินไว้หลังจากเกษียณแล้วจะได้ไม่ขี้เกียจ เอาแต่กินกับนอนซึ่งจะเป็นตัวเรียกโรคภัยต่าง ๆ ให้เรียงหน้าเข้ามา สำหรับผมออกกำลังกายด้วยการวิ่งให้ได้ 4 กม. ต่อครั้ง ส่วนใหญ่จะวิ่งตอนเช้ารอบรอบบ้านหรือตามเส้นทางถนนที่รถไม่มากนัก บางครั้งก็มาวิ่งตอนเย็นที่สวนสุขภาพทำให้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งที่เคยรู้จักและไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งเป็นการสร้างสังคมใหม่ไปในตัว
5. จัดทำบัญชีทรัพย์สิน เรื่องนี้ผมเคยคุยกับเพื่อน ๆ หลายคน แต่เกือบทั้งหมดมักตอบว่าไม่คิดทำเพราะมักคิดว่าตนเองไม่มีทรัพย์สินมีค่าอะไรมากมายหนักหนานัก ซึ่งเมื่อผมคุยกับใครแล้วได้คำตอบแบบนี้ผมก็จะบอกว่าให้ไปรวบรวมและจัดทำบัญชีทรัพย์สินลงรายละเอียดให้มากที่สุด ทั้งที่เป็นสินทรัพย์ของตนเองและภรรยา(เน้น)ก่อน แล้วจะต้องแปลกใจเพราะตอนนี้แต่ละคนเริ่มมีการสะสมทรัพย์หลากหลายรูปแบบที่มิใช่เงินสดมากขึ้น รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้จะได้รับหลังเกษียณอายุไปแล้ว เพื่อให้ทราบว่าตนเองมีกำลังที่จะทำอะไรหลังเกษียณได้บ้าง เช่น ไปเที่ยวต่างประเทศ ส่งลูกเรียน ปลูกบ้านให้ลูก เป็นต้น โดยแยกออกเป็นหมวดหมู่ เช่น เงินสด ทองคำ กองทุน หุ้น เงินฝากธนาคาร อทบ. สหกรณ์ ที่ดิน รถยนต์ ลูกหนี้เงินยืม ทรัพย์สินเหล่านี้เมื่อเรารวบรวมและมีตัวเลขที่เป็นจริงหรือใกล้เคียงก็จะทำให้เราวางแผนการใช้เงินในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น และผลพลอยได้ที่ตามมานั้น คือ ทั้งเราและภรรยาจะทราบว่าอีกฝ่ายมีอะไรบ้างหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ฉับพลันทันด่วนขึ้นมาก็สามารถที่จะดำเนินการแทนได้ ซึ่งหากต่างคนต่างไม่จัดทำรายการไว้หรือปิดบังกันในบางรายการ เมื่อมีเหตุขึ้นมาจะทำให้ทรัพย์สินบางรายการตกเป็นของคนอื่นได้
6. รายการหนี้สิน เรื่องหนี้สินหรือการที่เราเป็นลูกหนี้เป็นด้านตรงข้ามกับทรัพย์สินซึ่งอาจจะมีใกล้เคียงกันหรือต่างกันแบบฟ้ากับดิน แต่เท่าที่ทราบข่าวและประเมินกันน่าจะเกินครึ่งของพวกเราที่มีหนี้สินเป็นล้านบาทขึ้นไป โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้สินจากการกู้ธนาคารมาปลูกบ้านและผ่อนรถยนต์ อย่างไรก็ตาม หนี้สินของคนทั่วไปยังมีมากกว่านี้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น หนี้สินจากบัตรเครดิต หนี้จากเงินกู้ทั้งในระบบและนอกระบบ หนี้สินการผ่อนชำระสินค้า ซึ่งเราควรรวบรวมให้ได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุดว่าเป็นเงินสักเท่าไร และหากเราเกษียณแล้วจะนำเงินก้อนที่ได้รับตอนเกษียณมาหักลบออกได้จนหมดหนี้ได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้ต้องเป็นภาระในภายภาคหน้าที่ชีวิตที่เหลืออาจไม่แน่นอน และหากรวมแล้วมีหนี้สินหลายล้านบาท ผมแนะนำให้ปรึกษาภรรยาหรือลูกที่มีรายได้ รวมทั้งญาติพี่น้องพ่อแม่หากยังเหลืออยู่ให้จัดการล้างหนี้ให้หมดก่อนเป็นพลเรือนเต็มขั้นหรือให้ใช้เวลาผ่อนหนี้หลังเกษียณสั้นที่สุด
7. จัดการเรื่องมรดกและทรัพย์สินของบิดามารดา ประเด็นนี้นับเป็นความโชคดีหากบิดามารดาไม่มีทรัพย์สินสักเท่าไรนัก หรือว่ามีลูกเพียงคนเดียว แต่หากไม่ใช่แล้วละก็ การเริ่มพูดถึงเรื่องนี้เป็นคนแรกอาจก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือระหว่างพี่น้องด้วยกันเองแบบในละครน้ำเน่าได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจก่อเกิดปัญหาต่อเนื่องหากบิดามารดาจากไปก่อนโดยไม่เขียนพินัยกรรม หรืออาจทำให้ทรัพย์สินสูญหายได้ เช่น การที่บิดา มารดาให้คนอื่นยืมเงินเลขหลายหลักโดยไม่มีหลักฐานการกู้ยืม เป็นต้น ในส่วนตัวผมหลังจากที่พ่อแม่ผมอายุได้ 75 ปี และเห็นว่าลูก ๆ คงไม่มีปัญหาขัดแย้งกันในเรื่องการแบ่งทรัพย์สิน ท่านก็ดำเนินการจัดสรรทรัพย์สินหลัก ๆ ให้ทุกคนอย่างเหมาะสม และเก็บไว้ส่วนหนึ่งโดยสั่งให้ลูก ๆ ดำเนินการต่อหลังจากท่านจากไป ซึ่งผมเองก็ได้รับมอบหน้าที่ให้เป็นผู้จัดการมรดกหลังจากบิดาถึงแก่กรรม ในประเด็นนี้หากพิจารณาแล้วคุยกับภรรยาเข้าใจก็บอกให้ทางภรรยาดำเนินการให้เรียบร้อยเช่นเดียวกันก็ไม่เสียหายอะไร เพราะในที่สุดแล้วก็จะต้องถึงคิวเราที่จะต้องจัดสรรให้แก่ลูก ๆ ในโอกาสต่อไปอยู่ดี
8. รถป้ายแดง หลังจากเกษียณแล้วรถลาม้าช้างต่าง ๆ ที่อาจเคยมีให้บริการจากหน่วยงานคงต้องส่งคืนให้เรียบร้อย รถส่วนตัวที่เราใช้อยู่ก็อาจจะเก่าหมดอายุใช้งาน ไปไหนไกลมากไม่ได้ หรืออาจไม่เหมาะสมกับการใช้งานของคนเกษียณที่ต้องเดินทางด้วยตนเองมากขึ้น ซึ่งหากใช้ในการเดินทางแล้วเกิดเสียระหว่างทางก็จะทำให้ยุ่งยากพอสมควรที่จะหาคนมาช่วยหรือหาช่างมาซ่อม ดังนั้น ถ้าทำได้และคิดว่ามีโอกาสได้ใช้รถในการเดินทางแน่ ๆ ก็ลองรวบรวมเงินสดสักก้อนใหญ่ที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อน แล้วหาซื้อรถยนต์เอนกประสงค์ใหม่ ๆ สักคันเพื่อใช้ในการเดินทางและท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเสียการซ่อม แต่ถ้าหากคิดว่ารถที่มีอยู่ยังพอใช้ได้และไม่ได้เดินทางไปไหนบ่อย ๆ หรือเดินทางไกล ๆ ด้วยตนเอง ก็ควรยกเครื่องรถยนต์ที่มีอยู่ให้มีสภาพใช้งานได้ในทุกสภาพดินฟ้าอากาศเพื่อไม่ให้เกิดข้อจำกัดเมื่อถึงยามจำเป็น เช่น การส่งคนใกล้ชิดไปโรงพยาบาลยามค่ำคืน เป็นต้น
9. บ้านสำรอง หลังจากมีบ้านหลักแบบไม่ต้องห่วงเงินในการผ่อนต่อไปแล้ว อาจจะมองหาที่สวย ๆ ทำเลดี ๆ ไม่ไกลเมือง ไม่ไกลธรรมชาติ มีอาณาบริเวณสักหน่อย ถ้าติดแม่น้ำหรือติดทะเลด้วยก็จะดีมาก แล้วปลูกบ้านเล็ก ๆ ชั้นเดียว สองสามห้องนอน เอาไว้เป็นที่หลบความวุ่นวายของเมืองใหญ่อาจจะมาคนเดียวหรือพาศรีภรรยา หรือเพื่อน ๆ มาเป็นเพื่อนได้ หากคิดว่าจะอยู่บ้านหลักในกรุงเทพหรือเมืองใหญ่ ๆ แล้วใช้เวลาที่มีเหลือเฟือหลังเกษียณอายุมาเปิดสมองและเปิดจิตใจให้ผ่องใส รวมทั้งอาจจะทำสวนหรือปลูกต้นไม้เป็นการออกกำลังกายไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวมากขึ้นได้ตามที่คาดการณ์ไว้
คำชี้แนะของผมในเรื่องการเตรียมการชีวิตก่อนเกษียณจำนวน 9 ข้อ เป็นสิ่งที่ผมทำมาแล้วและทำได้ทั้ง 9 ข้อ (อันที่จริงมีมากกว่านี้แต่เกรงว่าจะยาวเกินเหตุ) แม้ว่าจะไม่ง่ายนักตอนที่ทำ แต่ก็คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน ที่เพื่อน ๆ ซึ่งยังไม่รู้หรือไม่มีแนวทางในเตรียมตนก่อนเกษียณอายุจะลองทำดู หากทำแล้วได้ผลประการใดหรือมีแนวทางอื่นที่เข้าท่ากว่านี้ก็นำมาแบ่งปันแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบ้างเพื่อเป็นวิทยาทานให้เพื่อน ๆ ที่เข้าคิวเกษียณตามหลังมาหรือเป็นวิทยาทานให้แก่ทุกท่านที่สนใจได้เข้ามาอ่านแล้วนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองต่อไป
--------------------------------

