24 เมษายน 2566

สุนทรพจน์ของ พลเอก จอร์จ แพ็ตตัน GEN George S. Patton's speech to the Third Army

 


รวบรวมจากเอกสารของกำลังพลกองทัพสนามที่ 3 ที่บันทึกไว้ระหว่างรับฟังสุนทรพจน์ของพลเอก จอร์จ แพ็ตตัน ที่ให้แก่หน่วยในบังคับบัญชา (ไม่มีร่างคำกล่าว) ในวาระต่าง ๆ ระหว่างปี พ.ศ.2488

----------------------------------------------------------------------

เชิญนั่ง

ทหารทั้งหลาย สิ่งที่คุณได้ยินมาเกี่ยวกับการที่อเมริกาไม่ต้องการต่อสู้ ไม่อยากอยู่ในสงคราม มันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี คนอเมริกันชอบที่จะต่อสู้ ชาวอเมริกันที่แท้จริงทุกคนรักการต่อสู้และการใช้กำลังเข้าปะทะโรมรัน เมื่อทุกคนยังเป็นเด็ก แต่ละคนต่างชื่นชมแชมผู้ชนะเลิศการแข่งขันการยิงลูกแก้ว การวิ่งแข่งขัน ดาวเด่นผู้เล่นบอลลีกระดับชาติ และนักมวยที่แข็งแกร่งที่สุด คนอเมริกันรักผู้ชนะและจะทนเป็นความเป็นผู้แพ้ไม่ได้ คนอเมริกันเล่นเพื่อชนะตลอดเวลา นั่นเป็นเหตุผลที่ชาวอเมริกันไม่เคยแพ้และจะไม่มีวันแพ้สงคราม ความคิดที่จะสูญเสียเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกัน  เกลียดชัง การต่อสู้เป็นการแข่งขันที่สำคัญที่สุดที่ผู้ชายสามารถดื่มด่ำได้ มันดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาและมันเอาทุกอย่างที่ต่ำต้อยออกไป

ท่านจะไม่ตายทั้งหมด มีเพียงสองเปอร์เซ็นต์ของเราที่นี่ในวันนี้เท่านั้นที่จะถูกสังหารในการสู้รบครั้งสำคัญ ทหารทุกคนกลัวในการกระทำการรบครั้งแรก ถ้าเขาบอกว่าไม่ใช่ เขาก็เป็นคนโกหก แต่วีรบุรุษตัวจริงคือคนที่สู้แม้จะมีความกลัว ทหารบางคนจะเอาชนะความกลัวได้ในเวลาไม่กี่นาที บางคนใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง และบางคนใช้เวลาเป็นวัน แต่ทหารแท้ไม่เคยปล่อยให้ความกลัวตายครอบงำเกียรติยศ สำนึกในหน้าที่ต่อประเทศชาติ และความเป็นลูกผู้ชายโดยกำเนิด

ตลอดอาชีพการรับใช้ชาติในกองทัพของคุณ พวกเรามักจะเรียกการฝึกว่าเหมือน 'ขี้ไก่' แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งในทันทีและให้ทุกคนมีความตื่นตัวอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้จะต้องซึมทราบเข้าสู่ทหารทุกคน ข้าพเจ้าไม่ได้มอบความห่วยให้แก่ทหารที่ไม่ได้เรื่องได้ตลอดเวลา แต่การฝึกอย่างหนักจะทำให้ทหารทุกนายมีความเชี่ยวชาญในการรบ ทหารจะมีความพร้อมรบ ทหารต้องตื่นตัวตลอดเวลาหากเขาคาดหวังที่จะหายใจต่อไป ไม่อย่างนั้น ไอ้ลูกหมาเยอรมันบางตัวจะแอบอยู่ข้างหลังเขาและทุบตีเขาจนตายด้วยถุงเท้าที่เต็มไปด้วยขี้ มีหลุมฝังศพสี่ร้อยหลุมในซิซิลี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะทหารยามคนหนึ่งแอบเข้าไปนอนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่มันเป็นหลุมฝังศพของทหารเยอรมัน เพราะเราจับได้ว่าไอ้สารเลวหลับไปก่อนที่ผู้บังคับบัญชาเขาจะรู้ว่าเรารู้

กองทัพต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน กองทัพร่วมกันอยู่ กิน นอน และต่อสู้กันเป็นทีม วีรบุรุษเพียงบุคคลเดียวเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี ไอ้สารเลวที่เขียนเรื่องนั้นให้กับหนังสือพิมพ์วันเสาร์ยามบ่ายไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการรบที่แท้จริงมากไปกว่าการสมสู่ เรามีทีมที่ดีที่สุด เรามีอาหารและอุปกรณ์ที่ดีที่สุด จิตวิญญาณที่ดีที่สุด และทหารที่ดีที่สุดในโลก ทำไมละ ก็เพราะพระเจ้านะซิ ข้าพเจ้าแสนสมเพชไอ้สารเลวพวกนี้ที่เรากำลังเผชิญหน้ากับพวกมันจริง ๆ 

วีรบุรุษที่แท้จริงทุกคนไม่ใช่นักสู้ต่อสู้ในนิทาน ทหารทุกนายในกองทัพมีบทบาทสำคัญ ดังนั้นอย่ายอมแพ้ อย่าคิดว่าภารกิจของคุณไม่สำคัญ จะเป็นอย่างไรถ้าพลขับรถบรรทุกทุกนายคิดว่าเขาไม่ชอบเสียงหวีดหวิวของกระสุนปืนใหญ่ที่แหวกอากาศเข้ามาและหน้าซีดเป็นไก่ต้มกระโดดหัวทิ่มลงไปในคูน้ำ? ไอ้ขี้ขลาดนั่นอาจพูดกับตัวเองว่า 'ให้ตายเถอะ พวกเขาไม่คิดถึงกูหรอก เพราะกูเป็นแค่หนึ่งในพันนาย' จะเกิดอะไรขึ้นถ้าทหารทุกนายพูดอย่างนั้น? จากนั้นพวกเราจะไปอยู่ในนรกขุมไหน ไม่ ขอบคุณพระเจ้า ที่ทหารอเมริกันไม่พูดแบบนั้น ทหารทุกนายปฏิบัติหน้าที่ตามที่เขาได้รับมอบ ทหารทุกนายมีความสำคัญ ทหารสรรพาวุธมีความจำเป็นในการจัดหาอาวุธกระสุน ทหารพลาธิการมีความจำเป็นในการเตรียมอาหารและเสื้อผ้ามาให้เรา เพราะว่าสถานที่ที่เราจะไปนั้นไม่มีนรกที่จะมีสิ่งของให้เราขโมยมาใช้ได้มากนัก ไอ้บักหำคนสุดท้ายในโรงประกอบเลี้ยง แม้ว่าจะเป็นเพียงทหารที่ต้มน้ำหุงหาอาหารให้พวกเรากินก็มีคุณค่าและมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

ทหารแต่ละคนต้องไม่คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น แต่ให้นึกถึงเพื่อนของเขาที่ต่อสู้เคียงข้างเขาด้วย เราไม่ต้องการคนขี้ขลาดตาขาวในกองทัพ พวกมันเหล่านั้นสมควรถูกฆ่าเหมือนแมลงวัน ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว พวกขี้ขลาดบ้าบอจะกลับบ้านหลังสงคราม แล้วไปเพาะพันธุ์คนขี้ขลาดให้มากขึ้น มีแต่ผู้กล้าหาญเท่านั้นที่จะเพาะพันธุ์ผู้กล้าหาญให้มากขึ้น กำจัดพวกขี้ขลาดให้สิ้น แล้วเราจะมีชาติที่มีแต่ผู้กล้าหาญ

ทหารที่กล้าหาญที่สุดคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พบในระหว่างสงครามแอฟริกาอยู่บนเสาโทรเลขท่ามกลางไฟที่โหมกระหน่ำขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองตูนิส ข้าพเจ้าได้หยุดรถและถามเขาว่าเขากำลังทำอะไรอยู่บนนั้น เขาตอบว่า 'ซ่อมสายไฟครับท่าน' 'ตอนนี้มันจะไม่เสี่ยงต่อชีวิตไปหน่อยเหรอ' ข้าพเจ้าถาม 'ครับท่าน แต่สายไฟบ้าๆ นี่ต้องได้รับการซ่อม' ข้าพเจ้าถามต่อว่า 'แล้วเครื่องบินที่ยิงกราดเหล่านั้นไม่ทำอันตรายแกหรือ?' และเขาตอบว่า 'ไม่ครับ แต่ท่านแน่ใจได้ว่าการกราดยิงจากเครื่องบินก็เหมือนนรกดี ๆ นั่นเอง' ตอนนี้มีทหารจริง ลูกผู้ชายที่แท้จริง ลูกผู้ชายผู้อุทิศตนทั้งหมดที่มีให้กับหน้าที่ของเขา ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากเพียงใด ไม่ว่าหน้าที่ของเขาจะดูเล็กน้อยเพียงใดในเวลานั้น

และคุณน่าจะได้เห็นรถบรรทุกบนถนนสู่เมืองกาเบส พลขับเหล่านั้นยอดเยี่ยมมาก พวกเขาขับรถคืบคลานไปตามถนนลูกรังเหล่านั้นทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยหยุด ไม่เคยเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางทั้ง ๆ ที่มีกระสุนปืนใหญ่ตกระเบิดกระจายรอบตัว พลขับหลายนายขับรถติดต่อกันเกิน 40 ชั่วโมง เราได้ส่งผ่านความกล้าหาญแบบอเมริกันดั่งเดิมที่ดีมายังทหารปัจจุบัน ทหารเหล่านี้ไม่ใช่เหล่ารบ แต่พวกเขาเป็นทหารที่มุ่งมั่นให้งานที่รับผิดชอบบรรลุความสำเร็จ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีม หากไม่มีพวกเขาแล้วการสู้รบก็จะสิ้นสุดที่ความปราชัย

แน่นอนว่าเราทุกคนต้องการกลับบ้าน เราต้องการให้สงครามนี้จบลงด้วย แต่เรายังไม่สามารถเอาชนะสงครามได้ วิธีที่เร็วที่สุดในการทำให้มันจบคือ ไปตามหาและจัดการไอ้ลูกหมาตัวที่เริ่มสงคราม เราต้องการไปที่พวกมันอยู่และทำลายล้างสิ่งที่น่ารังเกียจให้สิ้นไป จากนั้นเราจะไปจัดการกับไอ้ยุ่นปี่ฉี่สีม่วง ยิ่งพวกมันถูกลงโทษได้เร็วเท่าไหร่ พวกเราก็กลับบ้านได้เร็วเท่านั้น เส้นทางกลับบ้านที่สั้นที่สุดคือผ่านเบอร์ลินและโตเกียว ดังนั้นจงก้าวต่อไป และเมื่อเราไปถึงเบอร์ลิน ฉันจะยิงฮิตเล่อร์ไอ้ลูกหมาที่ห้อยกระดาษนั่นเป็นการส่วนตัว

เมื่อทหารนายหนึ่งเอาแต่นอนหลบอยู่ในโพรงกันสะเก็ดระเบิด ถ้าเขาแอบอยู่ในรูนั่นทั้งวันทั้งคืน ทหารเยอรมันก็จะหาเขาเจอในที่สุด นรกก็จะบังเกิ ทหารของข้าพเจ้าไม่ขุดหลุมบุคคล หลุมบุคคลทำให้การโจมตีช้าลงเท่านั้น บุกไปข้างหน้า เราจะชนะสงครามครั้งนี้ แต่เราจะชนะได้โดยการต่อสู้และแสดงให้ชาวเยอรมันเห็นว่าเรามีความกล้ามากกว่าที่พวกเขามีหรือเคยมีมา เราไม่ได้แค่จะยิงไอ้สารเลวเท่านั้น เราจะควักไส้ในของพวกมันออกมาและใช้มันชโลมดอกยางของรถถังของเรา เราจะฆ่าพวกฮั่นนี้ให้สิ้นซาก

          พวกเราบางคนสงสัยว่าตนเองจะได้รับความเดือดร้อยหรือไม่ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมัน ข้าพเจ้าขอรับรองว่าให้พวกเราทุกนายทำหน้าที่ที่ได้รับมอบ สงครามเป็นเรื่องของการนองเลือด กิจกรรมที่ต้องฆ่าฟัน พวกนาซีเป็นศัตรู ลุยเข้าไป เอาเลือดของมันออกมา มิเช่นนั้นพวกมันจะเอาเลือดของเราออกมาแทน ยิงพวกเขาไปที่หน้าอก ฉีกเปิดท้องของพวกมัน เมื่อกระสุนกระทบรอบตัวคุณ และคุณเช็ดสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าของคุณ และคุณรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งสกปรก แต่เป็นเลือดและไส้ของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ คุณจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

ฉันไม่ต้องการข้อความใดที่แจ้งว่า 'ข้าพเจ้ารักษาที่มั่นได้แล้ว' เราไม่ได้มาเพื่อรักษาที่มั่นงบ้าๆบอๆ แห่งไหน เราต้องรุกอย่างต่อเนื่องและเราไม่สนใจที่จะครอบครองสิ่งใดนอกจากไข่ของศัตรู เราจะจับเขาที่ไข่และจะเตะเขาที่ก้น บิดไข่ของมันและนำวิญญาณของมันออกจากร่างตลอดเวลา แผนปฏิบัติการของเราคือ การบุกไปข้างหน้าและรักษาการบุกอย่างต่อเนื่อง เราจะบุกผ่านที่มั่นของศัตรูให้เหมือนอุจจาระที่ไหลผ่านท่อ

          จะมีเสียงบ้างที่บ่นว่าเรากดดันทหารของเรามากเกินไป ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ข้าพเจ้าเชื่อว่าเหงื่อเพียงหนึ่งออนซ์จะช่วยประหยัดเลือดได้หนึ่งแกลลอน ยิ่งเรารุกหนักเท่าไหร่ เรายิ่งฆ่าทหารเยอรมันได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราฆ่าทหารเยอรมันมากเท่าไหร่ ทหารของเราก็จะถูกฆ่าน้อยลงเท่านั้น การผลักดันที่หนักขึ้นหมายถึงการบาดเจ็บล้มตายที่น้อยลง ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนจดจำไว้ว่า ทหารของข้าพเจ้าจะไม่ยอมจำนน ฉันไม่ต้องการได้ยินว่าทหารภายใต้คำสั่งของข้าพเจ้าถูกจับเว้นแต่จะบาดเจ็บจากการถูกยิง แต่ถึงแม้ว่าจะโดนยิงแต่ก็ยังสู้ได้ นั่นไม่ใช่แค่เรื่องไร้สาระเช่นกัน ข้าพเจ้าต้องการคนอย่างผู้หมวดในลิเบีย ซึ่งถูกปืนลูเกอร์จี้ที่หน้าอก ใช้มือหนึ่งปัดปืนออก อีกมือหนึ่งเหวี่ยงหมวกเหล็กออก และทำร้ายทหารเยอรมันด้วยหมวกเหล็ก จากนั้นเขาก็หยิบปืนขึ้นมาและฆ่าชาวเยอรมันอีกคน ตลอดเวลาการต่อสู้ผู้หมวดนายนี้มีลูกกระสุนทะลุปอด นั่นและคือลูกผู้ชายสำหรับคุณ

อย่าลืมว่า ทุกคนไม่รู้ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี่เลย ต้องไม่มีการกล่าวถึงการปรากฎตัวของข้าพเจ้าในจดหมายใดๆ โลกทั่งใบไม่ควรจะรู้ว่าพวกเขาทำบ้าอะไรกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ควรเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพนี้ ข้าพเจ้าไม่ควรอยู่ในอังกฤษด้วยซ้ำ ให้ไอ้เวรพวกแรกที่รู้เรื่องนี้เป็นไอ้พวกเยอรมัน สักวันหนึ่ง ฉันอยากให้พวกมันลุกขึ้นยืนบนขาหลังที่เปียกโชกไปด้วยฉี่ของมันแล้วร้องว่า 'อ๊าก! นี่มันคือ หน่วยบรรลัยจักรกองทัพสนามที่ 3 ของ แพ็ตตันไอ้สารเลวนั่นอีกแล้ว!'

ท้ายทีสุด มีสิ่งหนึ่งที่พวกคุณจะพูดได้เมื่อสงครามนี้จบลงและคุณกลับบ้าน สามสิบปีนับจากนี้ เมื่อคุณนั่งข้างเตาผิงกับหลานชายที่คุกเข่า แล้วเขาถามว่า 'คุณทำอะไรในสงครามโลกครั้งที่สอง' คุณไม่ต้องไอและพูดว่า 'ก็คุณปู่คุณโกยขี้อยู่ในหลุยเซียน่า' ไม่ครับ คุณสามารถมองตาเขาตรง ๆ แล้วพูดว่า 'หลานเอ๋ย คุณปู่ของหลายได้ไปลุยกับกองทัพที่ 3 ที่ยิ่งใหญ่กับไอ้ลูกหมาชื่อ จอร์จ แพตตัน!' 

เอาล่ะ เจ้าพวกลูกหมา ทุกคนรู้ว่าข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไร ข้าพเจ้าจะภูมิใจในการเป็นผู้นำเราทุกคนที่ยอดเยี่ยมในการต่อสู้ทุกที่ทุกเวลา นั่นคือทั้งหมด

 

----------------------------------------------------------------------

-        เนื้อหาภาษาอังกฤษ ได้มาจากบางส่วนของ George S. Patton's speech to the Third Army https://en.wikipedia.org/wiki/George_S._Patton%27s_speech_to_the_Third_Army

-        แปลขั้นต้นเป็นภาษาไทยด้วย Google Translate

-        ปรับแก้โดย พล.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์ เมื่อ 24 เม.ย.66

-        ข้อความ ‘Now I want you to remember, that no bastard ever won a war by dying for his country. You won it, by making the other poor dumb bastard die for his country.’ ซึ่งแปลได้ว่า ณ เวลานี้ ข้าพเจ้าอยากให้ทหารทุกนายจดจำไว้ว่า ไม่มีไอ้สารเลวคนไหนเคยชนะสงครามด้วยยอมตายเพื่อประเทศของเขา  เราต้องชนะด้วยการทำให้ไอ้โง่ที่น่าสงสารอีกคนตายเพื่อประเทศของเขา สุภาพบุรุษทั้งหลาย เป็นคำกล่าวของ พล.อ. จอร์จ แพ็ตตัน กล่าวต่อกำลังพลของกองพลยานเกราะที่ 6 เมื่อ 31 พ.ค.2488 โดยไม่ได้รวมอยู่ในสุนทรพจน์หลัก

-        ----------------------------------------------------------------------

 

 

10 กุมภาพันธ์ 2566

ฅนพิวเตอร์ตะลุยติมอร์ตะวันออก (ทหารดอทคอม 17 ม.ค.43)


          ฅนพิวเตอร์ Konputer มิใช่อีกรูปแบบหนึ่งของฅนเหล็กเหมือนในหนังที่รวมเอาเลือดเนื้อและเทคโนโลยีเข้าเป็นร่างเดียว แต่มีความหมายถึง คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่เกิดมาหลายสิบปีแต่ไม่เคยได้เรียนหรือศึกษา เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไม่ว่าแขนงใดอย่างจริงจัง แต่พอเริ่มแก่ ก็บังเอิญได้มาสัมผัสกับระบบหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วก็เกิดอาการคลั่งไคล้หลงใหล และเกิดความพยายามที่จะรีบเรียนรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยว กับคอมพิวเตอร์อย่างเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากเกรงว่าจะไม่สามารถเรียนได้หมด เพราะอาจจะตายก่อนตามอายุไข และก็มีความพยายามที่จะทำทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เหมือนกับมีความรู้มากกมาย แต่พอสักพักก็เริ่มสำนึกว่าตัวเองมิได้เก่งแบบที่นึกฝันจริง แต่ฅนพิวเตอร์ก็ยังมีพยายามที่ดื้อรั้นที่ยังคิดที่จะ ส่งเสริมให้คนรุ่นหลังที่มีความพร้อมทางสมองและจินตนาการที่มากกว่า ได้ดำเนินการตามแนวความคิดของตนต่อไป และต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องราวของฅนพิวเตอร์คนหนึ่ง ที่ต่อสู้และฝ่าฟัน เพื่อความฝันในการเชื่อมดินแดนที่ห่างไกลกับเมืองหลวงของประเทศไทยนัยว่าเพื่อเป็น แบบอย่างและกำลังใจของฅนพิวเตอร์คนอื่นที่กำลังสิ้นหวัง จะได้มีพลังในการต่อสู้ต่อไป ขอเชิญทุกท่านได้สัมผัสกับ Konputer goes to Timor ณ บัดนี้


             การปฏิบัติหน้าที่ของผมที่ติมอร์ในครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งแรกของทหารไทยและประเทศไทยที่เริ่มขึ้นเมื่อ 16 ก.ย.42 อันเป็นยุคที่คอมพิวเตอร์แบบจอใหญ่ เริ่มใช้     CPU Pentium II ความเร็ว 233 MHz, Hard disk 1 GB และ Windows 95 ที่ไม่มี Licenseได้รับความนิยมมาได้ 3 - 4 ปี ราคาคอมพิวเตอร์ชุดละ เกือบ 40,000 บาทไม่รวม Printer ในขณะที่เ่งินเดือนรองผู้บังคับกองพันอย่างผมอยู่ที่ 15,000 บาท ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ของแทบจะทุกหน่วยส่วนใหญ่มียศไม่เกินจ่าสิบเอก ที่ไม่รู้จักว่าโปรแกรม Excel ที่มีอยู่ในเครื่อง (ไม่มี License เช่นกัน) เอาไว้ใช้อะไร ยุคที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า Internet หน้าตาอย่างไร และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีอีเมล์ทั้งที่มีโทรศัพท์มือในการติดต่อสื่อสาร โดยมีคนไทยทั้งประเทศที่เข้าถึง Internet มีประมาณ 1,000,000 คน จาก 60,000,000 กว่าล้านคนเท่านั้น

            แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขอย่างมากอย่างหนึ่งก็ คือ การที่ผมอาสารับผิดชอบ และได้รับการตอบสนองให้ทำระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตามที่ผมต้องการ โดยเริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ คือไม่มีอะไรเลยแม้แต่แผ่นดิสก์แม้แต่แผ่นเดียว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ป่วยการที่จะอธิบายเพราะผมเองเคยได้พยายามอธิบาย ด้วยวิธีการต่าง ๆ ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอดรวมทั้ง การที่ควักเงินตัวเอง เพื่อที่จะเชื้อเชิญให้ทุกคนที่ผมสามารถพูดได้ เข้ามาศึกษาและเข้าใจในระบบคอมพิวเตอร์แต่ที่ผ่านมาเรียกได้ว่า ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จะมีที่ไปได้หน่อยก็คือที่หน่วยของผมเอง ผมจึงไม่ได้มีความพยายามที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้แก่ใครฟังอีก เมื่อผมได้ปรึกษาในขั้นต้นว่าเราควรจะมีโน้ทบุค ดี ๆ สักเครื่อง เพื่อที่นำไปใช้งานในครั้งนี้ ซึ่งพี่ก็รับฟังเป็นอย่างดี แต่จนปัญญาที่จะหามาให้ได้ซึ่งผมก็เข้าใจในสถานการณ์เช่นนี้ได้ดีจึงได้ไม่ทู้ซี้ต่อ


            วิธีการที่ผมแก้ปัญหาที่เกิดนี้ ก็คือ ต้องใช้วิธีเดิมด้วยการหาอุปกรณ์ของส่วนตัวเหมือนตอนที่ผมร่วมการฝึก กับสหรัฐที่ผมทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนข่าวกรองร่วมมาก่อน ผมได้นำเอาคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของผมเองขึ้นรถไปฝึกและเก็บข้อมูลมาด้วย แต่ในการเดินทางครั้งนี้คงจะลำบากเพราะการเคลื่อนย้ายต้องหอบหิ้วขึ้นเครื่องบินเอง ซึ่งคงจะหาคนมาช่วยได้ยากแน่ ทางออกของผมคือ การยืมคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ซึ่งในที่สุดก็ได้เครื่องโน้ทบุค 486 มา 1 เครื่อง ซึ่งเพื่อนผมที่เป็นผู้พันทหารช่างที่แสนดีให้ยืมมา แต่สภาพการใช้งานแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะไม่มี ซีดีรอม ฮาร์ดดิสก์ 540 M ฟลอปปี้ดิสก์เสีย แบตเตอรี่ใช้ไม่ได้ วินโดว์ 3.11 แต่อย่างว่าของฟรีเลือกมากไม่ได้อยู่แล้ว ดีกว่าไม่มีอะไรเลย เมื่อได้มาก็แบกไปก่อน หนักก็หนัก แต่ไม่รู้จะทำยังไง แล้วก็เอาแผ่นดิสก์ติดตัวไปด้วย 20 กว่าแผ่น

   

            พอมาถึงดาร์วินทำท่าจะเสียบปลั๊ก ก็ต้องเก็บเลยเพราะปลั๊กไม่เหมือนกับบ้านเราหาปลั๊กอแดปเตอร์ก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน เป็นอันว่าขนโน้ทบุคไปฟรี วันรุ่งขึ้นเริ่มบรรยายสรุปสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ทราบ ซึ่งบรรยายด้วยเพาเวอร์พอยท์ ผมก็เพียรพยายามที่จะขอเขาถ่ายข้อมูลลงบนแผ่นดิสก์ที่เตรียมเอามาโดยตอนแรก จะตัดไฟล์ออกเป็นท่อน ๆ เพื่อป้องกันการเสียหาย ฝรั่งออสเตรเลียก็บอกว่าไม่ต้องพยายามขนาดนั้นหรอกบอกเขาก็แล้วกันว่าอยากจะได้ไฟล์ไหนบ้าง เดี๋ยวเขาจะคัดลอกลงแผ่นซีดีรอมให้เลย แหมเอากันยังงั้นเลยนะ ไม่ขัดใจใครอยู่แล้ว ผมจึงได้ขอไฟล์เอกสารต่าง ๆ มาพอสมควรเผื่อกลับไปใช้ที่ประเทศไทย หลังจากนั้นเขาก็ได้พาไปยังห้องที่ใช้ในการวางแผนขั้นต้นของไทย ซึ่งเป็นอาคารรวมในห้องนั้นก็ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องที่ลงระบบปฏิบัติการวินโดว์เอ็นทีเวอร์สเตชั่น และสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกเครื่อง ปัญหาเดียวที่เจอคือไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้เนื่องจากเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังโอเคเพราะยังสามารถเชื่อมต่อข้อมูลมายังประเทศไทยได้บ้างพอสมควร ในระหว่างที่วางแผนนั้นภายนอกอาคารก็เห็นทหารสหรัฐกำลังขะมักเขม้นติดตั้งจานดาวเทียมอยู่ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปคุยอะไรด้วยเนื่องจากงานที่ทำอยู่ยังยุ่งอยู่เพียงแต่คิดว่าคาดอยู่แล้วว่าอเมริกันไม่พลาดแน่ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมและทำการรวบรวมข้อมูล ขนาดกระเหรี่ยงรบกันยังมีทหารอเมริกันมาตายได้เลย สัมหาอะไรกับงานระดับนี้ที่อเมริกันจะยอมพลาด


            การเตรียมการได้ดำเนินการจนครบ 6 วัน จึงได้เดินทางกลับมา วันที่มาถึงประเทศไทยในรอบแรกนี้ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป แต่ตัวผมเองต้องอยู่ทำบรรยายสรุปภาษาไทยเพื่อเตรียมการให้แก่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงฟังในวันรุ่งขึ้น ซึ่งนับว่าโชคดีที่ได้เอาข้อมูลต่าง ๆ จากกองทัพออสเตรเลียกลับมาด้วย แต่ก็ใช้เวลาจนเกือบเที่ยงคืนเหมือนกันกว่าจะได้กลับบ้าน


            วันบรรยายสรุปในส่วนของคอมพิวเตอร์ก็สามารถผ่านไปด้วยดี ผู้บังคับบัญชาได้ให้แนวทางในการปฏิบัติ และได้อนุมัติให้ใช้ห้องปฏิบัติการของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกหรือที่เราเรียกตามฝรั่งว่าวอร์รูมเป็นที่ตั้งในการวางแผนในรายละเอียด ซึ่งนับได้ว่ามีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากในห้องดังกล่าวนั้น เป็นห้องควบคุมบังคับบัญชาหลักที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันทุกเหล่าทัพโดยมีเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับสูงอยู่ 6 เครื่อง และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นระบบเครือข่ายของกองทัพบกเองอีก 5 เครื่อง ตลอดจนโทรศัพท์ระบบดิจิตอลซึ่งผมเองก็พึ่งได้สัมผัสที่นี่เป็นที่แรกเหมือนกัน การดำเนินการทางด้านการบริหารข้อมูลได้เริ่มในวันถัดมา หลังจากที่ได้มีการรวบรวมกำลังพลที่เข้ามาเป็นจักรกลหลักในการวางแผน ซึ่งเพื่อนผมเองที่ทำงานที่แห่งนี้มาเกือบ 5 ปี บอกว่ามีครั้งนี้แหละที่ได้เห็นการทำงานของคนต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่นี่เป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา


        พวกเราไม่ว่านายทหารหรือนายสิบทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ โชคดีที่ผมได้บังคับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนใช้โปรแกรมเอ็กเซล ในการเริ่มบันทึกข้อมูล แทนการใช้โปรแกรมเวิร์ดในการทำตารางต่าง ๆ ที่เขาเคยทำมาจากที่หน่วย ซึ่งในตอนแรก ๆ นั้นกำลังพลที่ไม่ถนัดการใช้มาก่อนก็ค่อนข้างจะอึดอัดบ้าง แต่พอใช้ไปสักวันสองวันและเริ่มเห็นประโยชน์ ในครั้งต่อไปก็ทำเองโดยที่ไม่ต้องบอกซ้ำเลย แล้วก็เป็นที่น่าดีใจที่เจ้าหน้าที่หลายคนทำการสอบถามถึงเทคนิคต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยจะเห็นที่ไหนมาก่อนทำให้กลายเป็นการเรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ไปในตัว ซึ่งผมเองก็ได้สอดแทรกการจัดการข้อมูลในระบบปฏิบัติการวินโดว์ 95 ไปด้วย สำหรับหน่วยรองนั้นก็ถูกผมกำหนดให้ใช้โปรแกรมเอ็กเซลกับวินโดว์ 95 หรือ 98 ไปด้วย ซึ่งทำให้แม้ว่าจะมีการสั่งการเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงยอดกำลังพลหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ว่าจะแบบใดจากหน่วยเหนือเราก็สามารถสนองตอบได้อย่างรวดเร็ว จนทางหน่วยเหนือก็งงอยู่เหมือนกันเพราะสามารถตอบสนองได้อย่างเร็วแบบที่ไม่คาดคิด


            สำหรับตัวผมเองนั้นได้นำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวยกมาใช้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้ด้วย เพื่อใช้ในการทำงานและทำการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลและข่าวสารของติมอร์ ซึ่งได้ทำให้รู้ว่าการเชื่อมต่อโมเด็มที่ใช้กับโทรศัพท์ที่บ้านนั้น เมื่อมาเชื่อมต่อกับระบบโทรศัพท์ดิจิตอลแล้วไม่สามารถใช้งานได้ ในระหว่างการวางแผนนั้น ผมได้เสนอความต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในภารกิจที่ติมอร์ โดยในขั้นต้นผมเสนอไปจำนวน 15 เครื่องพร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ พร้อมทั้งระบบเครือข่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมใช้ฐานการคำนวณจากประสบการณ์ที่กองพันคือ ผบ. 1 เครื่อง รอง 1 เครื่อง กำลังพล 2 เครื่อง ฝ่ายข่าว 2 เครื่อง ฝ่ายยุทธการ 2 เครื่อง ส่งกำลัง 2 เครื่อง กิจการพลเรือน 1 เครื่อง การเงิน 1 เครื่อง กองร้อยอีก 5 กองร้อย ก็ 5 เครื่อง นอกจากนั้นก็เป็นสื่อสาร ยานยนต์ และเป็นตัวแม่ข่ายอีก 1 เครื่อง ก็ได้รับคำตอบขั้นต้นว่าคงต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่หน่วยมีอยู่เนื่องจากคงจะจัดหาให้ไม่ทัน ซึ่งผมคิดว่าทุกคนคงจะพอเดาออกว่าคงจะไปเอาของเขาไม่ได้หรอกเพราะหน่วยก็ยังคงอยู่ที่ตั้งปกติไม่ได้ยุบหน่วยไปไหน งานก็ต้องยังคงทำเกือบเหมือนเดิม แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เมื่อ 4 ปีก่อนเคยจัดหาก็เป็นรุ่น 486 ไม่มีอะไรเลยจะไปเข้ากับเขาได้อย่างไร เอาไปก็ไม่สามารถทำงานกับระบบปัจจุบันได้ แล้วก็ได้รับเพียงกองพันละ 4 เครื่อง


        ขั้นนี้ผมได้พยายามอธิบายเหตุผลให้ฟังว่าการทำงานของ กองกำลังนั้น มีความต้องการอุปกรณ์ที่ได้เสนอมาไม่ต่างไปจากสำนักงานอื่น ๆ และการนำไปครั้งนี้นั้นจะนำไปใช้ให้เป็นคอมพิวเตอร์จริง ๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพ มิใช่นำไปเป็นเครื่องพิมพ์ดีดอย่างเดียว และเอกสารที่กองกำลังได้จัดทำขึ้นตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงฉบับสุดท้าย จะมิได้แต่เป็นเพียงบทเรียนหรือประสบการณ์ของกองทัพบกเท่านั้น แต่จะเป็นเอกสารหรือข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทยอีกด้วย โดยที่เอกสารดังกล่าวจะไม่ได้เป็นเอกสารที่ทำด้วยกระดาษเหมือนอย่างที่เคยเป็น ที่เมื่อเวลาผ่านไปคนที่รักษาก็หวงเก็บไว้ไม่ยอมให้ใครยืมเพราะกลัวชำรุดสูญหาย หรือเมื่อห้ามไม่ให้ยืมไม่ได้คนที่ยืมเมื่อยืมไปแล้วก็มักไม่นำมาคืนหรือนำมาคืนไม่ครบ และเมื่อเวลานานไปเอกสารที่ทำด้วยกระดาษไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือหรือเป็นภาพก็จะสูญหายไปหรือชำรุดไปตามธรรมชาติ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนในการปฏิบัติการครั้งนี้ว่า เราไม่สามารถหาเอกสารหรือหลักฐานในการเตรียมกำลังจากหน่วยที่เคยไปปฏิบัติหน้าที่ในเกาหลี หรือเวียดนามหรือแม้แต่เร็ว ๆ นี้ ที่เราส่งทหารช่างไปที่เขมรได้เลย ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่าไม่สามารถหาเอกสารนั้นมาได้นอกเสียจากการใช้ความจำของคนที่เคยไปแล้วนำมาเล่าว่าเคยทำแบบนี้แบบนั้นมาก่อน แต่ถ้าในครั้งนี้ หากได้รับอนุมัติตามที่ร้องขอไป สิ่งที่กองทัพบกจะได้คือข้อมูลจำนวนมหาศาลไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภาพ หรือแม้แต่ภาพเคลื่อนไหว ที่สามารถทำสำเนาได้ไมรู้จบตลอดจนสามารถที่จะนำมาใส่ลงในอินเทอร์เน็ตให้ทุกคนในโลกได้เปิดดูจากทุกหนแห่ง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่อยู่ตลอดไปและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อกำลังพลในวันหน้า

            แต่ก็ดูเหมือนว่าคำอธิบายของผมยังไม่อาจผลักดันให้เกิดผลอะไรได้ นอกจากคำรำพึงที่เป็นคำถามแต่ไม่ต้องการคำตอบก่อนเลิกประชุมว่า ที่ติมอร์มีไฟฟ้าใช้ด้วยเหรอ ผมเองก็พยายามจะตามไปบอกว่าไฟฟ้านั้นทางกองกำลังจะเตรียมเครื่องปั่นไฟไปเอง แล้วก็คิดว่าคงต้องลดจำนวนที่ร้องขอลงเสียแล้วเพราะดูอาการแล้วคงไปไม่รอดเอาเท่าที่น่าจะขอแล้วได้น่าจะดีกว่า จึงบอกว่าผมขอแค่ 3 เครื่องจะได้ไหม โดยแบ่ง ให้ฝ่ายกำลังพล ส่งกำลังและการเงินใช้ร่วมกัน 1 เครื่อง ฝ่ายข่าว ฝ่ายยุทธการและ ฝ่ายกิจการพลเรือนใช้อีก 1 เครื่อง สำหรับอีกเครื่องหนึ่งนั้นจะเป็นเครื่องแม่ข่ายที่เอาไว้ใช้แก้ปัญหาด้วย


            ซึ่งก็มีพี่คนหนึ่งได้ตอบว่าแล้วจะเสนอต่อให้ก็แล้วกันแต่กว่าจะดำเนินการจัดหาให้คงจะมากกว่า 1 เดือน ซึ่งถ้าได้รับการอนุมัติจะทำการส่งตามไปให้ แหมแบบนี้ถ้าไม่ได้ถึงเวลานั้นแล้วผมจะไปได้ที่ไหนละครับ แต่ก็ยังดีที่อุตส่าห์ให้ความหวัง แต่เพื่อความมั่นใจผมเองคงต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วก็คิดว่าเอาวะเป็นไงก็เป็นกัน มันจะยากอะไรคอมพิวเตอร์ที่ซื้อมาใช้ที่บ้านเอามาใช้เพื่อทางราชการสักปีคงไม่เป็นไรน่า เพราะหลวงก็จ่ายเงินเดือนกับปลูกบ้านให้อยู่โดยไม่คิดค่าเช่าอยู่แล้ว ก็เลยบอกกับพี่ ๆ ที่เป็นหัวหน้าว่าจะมีไฟใช้ที่ติมอร์หรือไม่ หรือว่าทางข้างบนเขาจะอนุมัติหรือไม่ เอาไว้ไปถึงติมอร์ก่อนค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ผมขอลังพี่ 1 ลังเพื่อใส่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของผมทั้งหมดซึ่งรวมทั้งเครื่องพิมพ์ เครื่องรักษาระดับไฟไปติมอร์ก็แล้วกัน โดยผมไม่วายจะเอาโมเด็มติดไปด้วยเผื่อฟลุ้คต่ออินเทอร์เน็ตได้ อย่างน้อยก็ที่ออสเตรเลียแหละต้องต่อได้แน่


            แค่นั้นยังไม่พอ เดี๋ยวผมขออนุญาตพี่ไปพันธุ์ทิพย์ไปเดินดูเครื่อง คอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วที่ เผื่อว่าเงินสดทั้งชีวิตการทำงาน 14 ปีของผม ที่ผมฝากไว้ในธนาคารที่เหลือจำนวน ห้าหมื่นบาทอาจจะซื้อได้ ผมจะขอซื้อไปด้วยเพื่อกองทัพบกและตัวผมเองที่จะได้ไม่ห่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย ก็ปรากฏว่าพี่ที่ผมไปบอกเห็นดีด้วยจึงบอกว่า เฮ้ยพี่เอาด้วยคน เอาของส่วนตัวของพี่ไปด้วยซื้อมาหลายปีแล้วไม่เคยใช้งานเลยถือโอกาสไปให้ผมสอนที่ติมอร์ด้วยถ้ามีเวลาว่าง เมื่อได้ยินดังนั้นในใจผมเองคิดว่า โอเคแล้ว 3 เครื่องพออยู่ได้ ลงทุนซื้อฮับกับสายต่อหน่อยจะได้เป็นเครือข่ายง่าย ๆ เอาไว้ส่งข้อมูลกับแบ่งเครื่องพิมพ์กันใช้ก็น่าจะดี


            ตกตอนเย็นก็ถือโอกาสไปเดินพันธุ์ทิพย์เสียหน่อย ปรากฏว่าฝันสลายไปส่วนหนึ่งเพราะเครื่องโน้ทบุคแบบแย่สุดใส่โมเด็มใส่การ์ดแลนเข้าไปอย่างต่ำต้องมี หกหมื่นบาท หากจะซื้อแบบพอใช้งานได้ดีหน่อยต้องแปดหมื่น วนไปวนมาอยู่หลายร้านดูแล้วไปไม่รอดจึงกลับมาตั้งหลักใหม่ เอทำยังไงดีน้า ในขณะนั่งรถกลับบ้านสมองก็ยังคิดอยู่ ว่าแล้วก็ควักโทรศัพท์มือถือกดไปหาเพื่อนผู้พันทหารช่างดีกว่า ไม่ผิดหวังเล่าให้ฟังถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่เจอ ซึ่งเพื่อนที่แสนดีก็บอกว่าไม่ต้องเล่าแล้วเอาเป็นว่าถ้าจะยืมเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มีให้ยืมหรอก แต่ถ้าจะให้ซื้อให้ใหม่ 1 เครื่อง พรุ่งนี้เช้ามารับได้เลย โอ้โฮเพื่อนที่แสนดี ขอบคุณหลาย ๆ ว่ะ แล้วจะบอกให้ทางกองกำลังทำหนังสือขอบคุณไปให้ หลังจากวางโทรศัพท์ก็ยังคิดต่อไปอีกว่าเพื่อนเรามันบริจาคของใหม่ แบบนี้เราถ้าจะน้อยหน้าไม่ได้แล้ว แต่จะซื้อใหม่ก็ยังอยากได้โน้ทบุคแต่เงินไม่พอ เอาไงดี คิดออกแล้ว ขอยืมเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของน้องชายก็ได้นี่นา น้องอยู่อเมริกากลับมาเดือนธันวา แล้วค่อยซื้อคืนให้ก็ได้เพราะตอนนั้นเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยงคงจะพอใช้แล้ว เอาวะอีเมลไปบอกน้องชายเสียเลยดีกว่า น้องชายที่แสนดีที่อยู่อเมริกาก็รีบตอบมาโดยไว (คงจะเปิดอีเมลทุก 2 ชั่วโมง) ว่าไม่มีปัญหาไม่ต้องห่วงเอาไปใช้ได้เลยไม่ต้องซื้อคืนด้วย กลับมาเมื่อไหร่ก็เอามาคืนก็แล้วกัน อะไรทุกคนจะใจดีปานนั้น อย่ากระนั้นเลยวันรุ่งขึ้นไปขอลังไม้ใส่คอมพิวเตอร์กันแตกจากพี่เขาเพิ่มอีก 2 ลังน่าจะดีนะ


            พอรุ่งเช้าเจอหน้ายังไม่ทันได้เอ่ยปากขอลังไม้เพิ่มกับเล่าเรื่องที่ได้คอมมาเพิ่ม พี่เขาก็บอกว่ามีข่าวดีกับข่าวร้ายมาบอก ข่าวร้ายก็คือเมื่อวานตอนเย็นได้ขึ้นไปพบกับนายทหารระดับสูงท่านหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาแล้วก็ บอกเรื่องการนำคอมพิวเตอร์ของส่วนตัวไปทำงานที่ติมอร์ ท่านทราบก็เลยสั่งห้ามไม่ให้นำไป ดังนั้นเรื่องลังไม้ไม่ต้องมาขอรับแล้ว โธ่เอ๊ยเวรกรรมอุตส่าห์ต่อสู้ดิ้นรนแทบตาย ผมคิดอยู่ในใจแล้วก็ถามต่อว่า พี่มีข่าวร้ายแล้วข่าวดีล่ะ พี่เขาก็บอกว่าสำหรับข่าวดีก็คือ ท่านอนุมัติงบประมาณเร่งด่วน ให้ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 3 เครื่อง เครื่องกระเป๋าหิ้วอีก 1 เครื่องพร้อมอุปกรณ์ทุกชนิดครบชุด ผมเองอยากจะกระโดดกอดพี่เขาเลย ติดที่เป็นผู้ชายด้วยกันก็เลยไปแต่กล่าวระล่ำระลักถึงความดีใจและขอบคุณที่ท่านได้กรุณาเข้าใจได้อนุมัติเงินมาให้ ทำให้ผมไม่ต้องไปเบียดเอาเงินที่จะต้องเก็บไว้ใช้เลี้ยงลูกสองคนมาใช้ในการซื้อของเพิ่มหรือต้องไปยืมเครื่องของน้องชาย


            จากนั้นผมเองก็รออยู่ สองสามวันของทั้งหมดก็มาถึงที่ทำงาน คอมพิวเตอร์ที่ได้รับมา แม้ว่าซีพียูจะเป็น เอเอ็มดี กับไซริกอีก 2 เครื่อง ความเร็ว 300 กว่า ๆ ก็โอเคแล้ว เพราะยังไงก็ดีกว่าที่บ้านผมที่เป็นเพนเทียม 133 เท่านั้น ส่วนโน้ทบุคนั้นเล็กหน่อยแต่ซีพียูเพนเทียมทู 366 แบบนี้ก็เจ๋งแล้ว ผมเองไม่ต้องอายใครแล้วคว้าโน้ทบุคมาลูบมาคลำให้ชื่นใจเสียก่อน ถ้าซื้อเอง แปดหมื่นคงฝืดเหมือนกัน ต่อจากนั้นก็ทำการทดสอบระบบต่าง ๆ จนเป็นที่พอใจ เพราะถ้าไปเสียหรือลืมสายสักเส้นเดียวเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องคงจะทำประโยชน์อะไรไม่ได้ เมื่อเป็นที่พอใจแล้วก็บรรทุกลงใส่ลังไม้รวมทั้งของที่เพื่อนผมบริจาคแบบนี้ผมนอนหลับฝันดีแล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ ห้าเครื่อง เครื่องพิมพ์อีก สอง พร้อมหมึกอะไหล่ แถมกล้องดิจิตอลกับสแกนเนอร์อีกอย่างละหนึ่ง ขอบคุณกองทัพบกจริง ๆ ครั้งนี้จะไม่ลืมพระคุณเลย ของทุกชิ้นเตรียมส่งไปบรรทุกลงเรือไปยกเว้น เครื่องกระเป๋าหิ้วที่นำติดตัวไป หนักเป็นหนักใครไม่ต้องมาช่วยผมถือหรอก ผมขอแบกคนเดียว ผมเอาเครื่องโน้ทบุคกลับบ้านลงโปรแกรมใหม่ ถ่ายข้อมูลต่าง ๆ ที่สะสมมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่บ้านและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ห้องปฏิบัติการ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ที่กำลังพลช่วยกันสร้างข้อมูลตั้งแต่วันแรกลงในเครื่องกระเป๋าหิ้วใส่ระบบการรักษาความปลอดภัยเรียบร้อย


            การเดินทางออกจากประเทศไทยมายังเมืองทาวสวิลล์เป็นที่เรียบร้อย แต่สิ่งที่รับรู้สิ่งแรกก็คือ ก่อนเรามาถึง 1 วัน ทางออสเตรเลียได้ตัดการบริการอินเทอร์เน็ตที่เคยให้บริการแก่ ทหารไทยและทหารประเทศอื่น ๆ ที่มาก่อนหน้านี้ออกไป มาทราบเหตุผลภายหลังว่า Admin ของระบบเครือข่ายได้ตรวจสอบจาก log file ของวินโดว์เอ็นที พบว่าที่ผ่านมามีการละเมิดกฎที่เขากำหนดคือ มีบันทึกการเปิดเข้าไปดูเว็บไซด์ที่เป็นภาพโป๊ของทหารชาติหนึ่งที่ทำงานอยู่ในตู้ออฟฟิส คอนเทนเนอร์เดียวกัน เลยต้องใช้เวลาเจรจากันเกือบวันจึงได้คืนมา แต่ก็ยังติดขัดอีกพอสมควรเพราะเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่อ่านภาษาไทยไม่ได้ ด้วยความอยากอ่านภาษาไทยจากอินเทอร์เน็ตก็เลย ติดต่อคนไทยที่มาทำหน้าที่ล่ามให้พาออกไปซื้อแบบเป็นชั่วโมงพอไปถึงร้านขายพวกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ปรากฏว่า ร้านปิดเพราะหมดเวลาก็เลยไปหาที่ร้านขายหนังสือ โดยยอมลงทุนซื้อหนังสืออินเทอร์เน็ตเล่มบาง ๆ เล่มละ 250 บาทเพื่อที่จะได้อินเทอร์เน็ตฟรี กลับมาถึงที่พักพยายามต่อปรากฏว่าต่อเข้าทางบริษัทได้ แต่เขาถามว่าบัตรเครดิตอะไร ก็เลยทำอะไรต่อไม่ได้

        ยังไม่ละความพยายามวันรุ่งขึ้นเข้าไปร้านคอมพิวเตอร์ใหม่แต่คราวนี้เลี่ยงไปซื้อการ์ดแลนของโมเด็มมีแถมอินเทอร์เน็ต 100 ชั่วโมงคิดว่าหวานแล้วคราวนี้กลับมาที่พักต่ออีกเหมือนเดิมถามเบอร์บัตรเครดิตอีกแล้ว ด้วยความอยากเล่นก็ตัดใจต่อโทรศัพท์ทางไกลกลับมาประเทศไทยเล่นอินเทอร์เน็ตที่เป็นสมาชิกเสียเลย ก็ใช้แบบออฟไลท์เพื่อเรียกดูเปิดได้ประมาณ ครึ่งชั่วโมงก็ต้องตัดใจ แล้วก็คิดว่าคงอีกนานแหละกว่าจะได้มาเล่นอีก

            วันรุ่งขึ้นก็เดินทางเข้ามายังเมืองเบาเกาที่เป็นที่ตั้งของ กองกำลังทหารบก ไทย/ติมอร์ ก็ยังทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากทำเพาเวอร์พอย เพื่อบรรยายสรุปในการรับการตรวจเยี่ยมจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูง แต่ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในพื้นที่เริ่มเห็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นในรั้วที่อยู่ คือ เจอรถสื่อสารและจานดาวเทียมสื่อสารของทหารอเมริกันตั้งอยู่ และที่สำคัญคือ เจอสายแคชไฟฟ์มีทั้งสีขาวและเหลืองที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เดินไปตามห้องทำงาน ต่าง ๆ โดยเดินไปปล่อยปลายสายไว้ และที่สำคัญคือที่ห้องวิทยุดันมีฮับ 10/100 อย่างหรูอีกหนึ่งเครื่องวางอยู่


            สิ่งที่เริ่มคิดก็คือ นี่มันเหมือนกับตอนฝึกคอบร้าโกลด์นี่นา ต่างกันตรงที่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น แล้วไอ้คนวางมันรู้ได้ยังไงว่าเราจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ยังไม่เดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองเลย สักพักก็เห็นผู้หมวดสื่อสารของสหรัฐเดินผ่านมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ไม่พูดไม่จากับใคร ด้วยความที่เคยไปอยู่กับทหารสหรัฐมาก็หลายหนก็เลยทักทายและชวนคุย ปรากฏว่าถูกคอกันเพราะก่อนที่ผมจะเดินทางมาถึงเขาค่อนข้างจะลำบาก เพราะไม่มีใครคุยด้วยและไม่เข้าใจว่าเขามาทำไม ซึ่งผมได้ถามเขา เขาก็บอกว่ามาเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการครั้งนี้ในเรื่องการสื่อสารแก่ทหารไทย และที่สำคัญกว่านั้นคือ ขณะนี้เขามีเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ทบุคอย่างดีจำนวน 4 เครื่องคอยอยู่ เพื่อให้ไทยนำไปใช้ ว้าวอะไรจะปานนั้น โน้ทบุคอย่างดีจอ 14 นิ้ว ฮาร์ดดิส 6.4 จิ๊ก พร้อมแลนการ์ด รวมราคาแล้วตัวละแสนกว่าบาทเอามาให้ใช้โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วก็ไม่เคยร้องขอมาเนี่ยนะ มีลับลมคมนัยหรือเปล่าทำยังเงี้ย คิดในใจนะเนี่ย แต่เขาดันได้ยินบอกว่าไม่มีความนัยทั้งสิ้น

        ในภารกิจนี้กองทัพบกสหรัฐได้ซื้อเครื่องโน้ทบุคแบบนี้แบบเหมาโหลมาให้ใช้กันประมาณ 120 เครื่อง คงจะตัวละไม่กี่พันเหรียญหรอก ถ้ายังไม่พอก็ขอมาอีกไม่มีปัญหา แหมเจอแบบนี้พูดไม่ออกบอกไม่ถูก แล้วก็ยังไม่หมดเท่านั้นสายเคเบิลที่ซื้อมาแบบถูก ๆ จากประเทศไทยเพื่อจะสร้างระบบเครือข่าย เส้น 10 เมตร 200 บาท บ้าง เส้นละ 5 เมตรบ้าง อะไรนั่นไม่ต้องเอามาใช้ ใช้แบบที่เขาสนับสนุนดีกว่า ซื้อมาเป็นกิโล กิโลที่ว่าคือกิโลเมตรไม่ใช่กิโลกรัมนะ ยาวเท่าไหร่ไม่สะใจบอกมาจะเบิกมาให้อีก แล้วที่มันไปกว่านั้นก็คืออีก 7 วันจะสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตได้อีก โกหกหรือเปล่าเนี่ย ผู้หมวดสื่อสารสหรัฐชื่อสมิท บอกว่าจริง ๆ แล้วโกหก เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงสหรัฐทำเองไม่ต้องฟังคำสั่งจากออสเตรเลียสามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้หลังจากรถจอดแล้วประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ไม่ต้องคอยกันเป็นวัน ๆ แบบนี้ ว่าเข้าไปนั่น เอาว่าไม่ต้องขนาดนั้นหรอกคอยได้ต่ออินเทอร์เน็ตให้ได้ก็แล้วกัน แล้วเครื่องผมที่จะมาอีก 4 เครื่องมีปัญหาไหม ไม่มีปัญหายังไปได้สบาย ภาษาไทยอ่านไม่ได้เหรอจะฟอแมทเครื่องลงโปรแกรมใหม่ได้เลย ถ้ามีโปรแกรม


            หลังจากนั้นอีก 3 วันเครื่องคอมพิวเตอร์จากเมืองไทยก็เดินทางมาถึง การเชื่อมต่อระบบแบบที่ไม่เคยคิดและคาดฝันมาก่อนก็เกิดขึ้น คอมพิวเตอร์ทั้งหมดทั้งที่กองทัพบกจัดหามาให้และที่ทางสหรัฐให้การสนับสนุนได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ แบบที่ไม่ต้องการรักษาความลับโดยสามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา เรียกว่า CWAN ส่วนระบบที่เป็นความลับนั้นสามารถเชื่อมต่อได้เฉพาะกำลังทหารในอินเตอร์เฟตที่ดาร์วิน เบาเกาและดีลี เท่านั้น เรียกว่า IWAN ผมเองลองสอบถามดูทราบว่าเป็นการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม ด้วยความเร็วในการส่งข้อมูล 56 KPS แล้วที่ทำได้มากกว่านั้นก็คือ การโทรศัพท์ที่ใช้เครื่องโทรศัพท์แบบยุทธวิธี ที่เราเรียกว่าโทรศัพท์สนามนั่นแหละ ทางทหารสหรัฐให้มาอีก 5 เครื่อง เครื่องที่ว่านี้มีหมายเลขเฉพาะ 7 ตัว โทรไปยังฐานทัพต่างๆ ของสหรัฐ ได้ทั่วโลก และโทรกลับไปยังโทรศัพท์ธรรมดาที่สหรัฐได้ทุกเครื่อง โดยได้เสียเหมาจ่ายจากการเช่าดาวเทียมไปแล้ว จึงทำให้กำลังพลทหารสหรัฐที่มาอยู่ที่เบาเกาด้วยกัน สามารถโทรกลับไปสหรัฐได้ทุกนาย ๆ ละ 15 นาที ต่อวัน

                เวลาผ่านไปไม่กี่วัน ทหารไทยในกองบังคับการสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและมีอีเมลส่วนตัวกันอย่างถ้วนทั่ว บุคคลที่ไม่เคยจับแม้แต่เม้าส์สามารถคลิกเรื่องราวที่ตนเองไม่เคยรู้ ราวกับว่าทำมานานแสนนาน ความสุขสรรค์และคลั่งไคล้ไม่เลิกรา เมื่อได้ทราบว่าอินเทอร์เน็ตสามารถส่งข้อความสั้นไปยังมือถือคนที่เมืองไทยได้ รวมทั้งมีห้องสนทนาที่เราเรียกกันว่าแชทรูมให้สามารถพูดคุยกับคนทั่วโลก แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าสนุกหรือพันธุ์พิทย์กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ฮอทเมลและยาฮูคือ สิ่งที่ทุกคนรู้จักและคุ้นเคย เรื่องแบบนี้คือ สิ่งที่ผมต้องการและผมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่ให้เกิดขึ้นในทั่วหนแห่งของกองทัพบกตั้งแต่ผมได้รู้จักกับอินเทอร์เน็ตเมื่อ กันยายน 2540 การแบ่งปันความรู้การสอนกันแบบปากต่อปากตัวต่อตัวได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว


                เวลาที่ทุกคนรอคอยคือ เวลาเลิกงานแต่มิได้ไปที่ไหน ทุกคนยังคงเฝ้าคอยอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์รอให้นายสิบที่พิมพ์งานเสร็จไวๆ แล้วไปเสียที รอคอยที่จะพบสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึง มีหลายคนที่เข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อตื่นมากลางดึกแล้วเล่นเน็ตถึงเช้า ไม่นานการเชื่อมต่อด้วยอีเมลไปยังคนทางบ้านโดยเฉพาะลพบุรีทำให้ลูกเมียที่ไม่เคยได้ยินแม้แต่คำว่าอินเทอร์เน็ตมีอีเมลส่วนตัว ผมเองได้จัดทำโฮมเพจของ กองกำลังทบ. ฯ อย่างไม่เป็นทางการขึ้นมา เพื่อเป็นข้อมูลขั้นต้นให้แก่คนที่อยู่ประเทศไทยได้ทราบเรื่องราวที่สามารถจะเล่าให้ฟังได้ และสร้างสิ่งที่อยากให้เกิดคือเร่งความต้องการให้กำลังพลของ กองกำลังทบ.ฯ อยากเขียนโฮมเพจของตนเอง ที่จะนำให้กองทัพมีนักพัฒนาข้อมูลในอนาคต ซึ่งผมเองก็ได้เขียนอีเมลไปยังเว็บไซด์ดัง ๆ ไม่ว่าจะสนุก VOP อสมท. รวมทั้งเพื่อนที่ ทบ. ก็ได้ช่วยเอาลงข่าว ทบ. ให้ด้วย ซึ่งก็ทำให้มีคนเข้ามาเยี่ยมชมพอสมควร แต่ก็ยังคงเจอปัญหาเหมือนเดิมคือยังไม่สามารถหาคนมาช่วยปรับแต่งข้อมูลได้ การดำเนินกิจกรรมด้านเครือข่ายยังคงดำเนินต่อไปในอัตราที่น่าพอใจเจ้าหน้าที่ทุกนายมีความรู้ในการจัดการต่อระบบปฏิบัติและมีการแบ่งปันข้อมูล รวมทั้งการใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกันอย่างแพร่หลาย

            พูดมาถึงตรงนี้ก็มีเรื่องทบทวนให้ทราบว่าไฟฟ้าที่ บก.กองกำลังทบ.ฯ นั้นสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา จากเครื่องปั่นไฟฟ้าขนาด 80 กิโลวัตต์โดยมีขนาดของเครื่องประมาณรถปิคอัพโฟล์วีลเห็นจะได้ มีขีดความสามารถการทำงานติดต่อกัน 3 เดือนโดยไม่ต้องหยุดพัก จึงสบายใจได้ในเรื่องไฟฟ้าในการรบหรือปฏิบัติการในสมัยใหม่นี้ ต่อมาอีกประมาณ สองอาทิตย์ หน่วยรองที่แยกตัวออกไปจากฐานได้มีความต้องการคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดทำเอกสารเหมือนกัน ซึ่งผมดูสถานการณ์แบบนี้แล้ว เห็นว่าคงจะไม่ยากแล้วจึงได้ปรึกษาเสนอต่อผู้บังคับบัญชา ที่มาด้วยกันซึ่งในขณะนี้ได้เห็นคุณประโยชน์เป็นอย่างดีแล้วและเชื่อได้ว่าการสนับสนุนในด้านอื่น ๆ ที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้นั้นคงจะไม่มีปัญหาอะไร ท่านจึงได้อนุมัติงบประมาณให้จัดหาเพิ่มเติมอีก 2 เครื่อง ซึ่งผมเองก็ไม่รอช้าที่จะกำหนดสเป็คเครื่องให้มีคุณภาพที่สามารถทำงานได้เป็นอย่างดีคือ เพนเทียมทรี 450 ซึ่งอีกส่วนหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นโอกาสของผมเองที่จะได้สัมผัสเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินของตนเองเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังทั้งในการทำงานและการเชื่อมต่อเครือข่าย


        แต่หลังจากที่มีความสุขกันได้ไม่นานวันแห่งการจากกันก็มาถึงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ทหารสหรัฐที่มาให้การสนับสนุนได้รับคำสั่งให้ถอนกลับกลางเดือนธันวาคมเพื่อกลับไปฉลองคริสต์มาส ที่บ้านเกิด แต่อีกนัยหนึ่งคือ ต้องการให้ทางออสเตรเลียได้เร่งวางระบบการสื่อสารของตนเองโดยเร็ว ซึ่งก็ทำให้ความเงียบเหงากลับมา เพราะแม้ว่าเครื่องที่เหลืออยู่จะสามารถทำงานเครือข่ายได้ปกติ แต่ขาดซึ่งรสชาติของชีวิตคืออินเทอร์เน็ตนั่นเอง แต่เมื่อมีข่าวร้ายก็คงต้องมีข่าวดีมาบ้าง เพราะระบบที่จะมาดำเนินการใหม่นี้เป็นระบบที่มาตรฐานระดับโลกเลยทีเดียว ความสามารถในการรับส่งข้อมูลเพื่อ ที่ทำการกองกำลังเพียงที่เดียวนั้นมีความเร็วรวมแล้วถึง 512 KPS โดยแบ่งออกเป็นการสื่อสารทางเสียง 256 KPS การสื่อสารทางข้อมูลอีก 256 KPS นี่เป็นเพียงเพื่อรองรับโทรศัพท์จำนวนประมาณ 50 หมายเลขซึ่งเป็นระบบดิจิตอลเหมือนกับกองบัญชาการกองทัพบก และเครื่องคอมพิวเตอร์อีกประมาณ ไม่เกิน 30 เครื่องเท่านั้น


               ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมกับสิ่งที่มาใหม่เนื่องจากบริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ของออสเตรเลียชื่อเทลสตรา ได้รับการดำเนินการต่อจากทางทหารสหรัฐ ซึ่งได้รับปากแต่แรกว่าจะสามารถต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตทดแทนได้ภายใน 7 วัน การดำเนินการของบริษัทนั้นทำให้พวกเราต้องแวะเวียนไปดูอยู่เสมอ เพราะอย่างแรกที่เห็นคือ การติดตั้งจานดาวเทียมขนาดใหญ่น่าจะประมาณ 30 ถึง 40 ฟุต เห็นจะได้โดยมีการสร้างฐานคอนกรีตเพื่อความมั่นคง และใช้เวลาในการประกอบจานดาวเทียมสามวันโดยในห้วงเดียวกันนั้นก็ได้เห็นทีมงานวางสายเคเบิลและเครื่องมืออีกจำนวนมากมามะรุมมะตุ้มกับอาคารที่ใช้เป็นสำนักงาน


            แต่ที่ทำให้แปลกใจก็คือ เราร้องขอเครื่องโทรศัพท์ว่าอยากได้สัก 5 เครื่อง เขาก็จะถามกลับมาว่า เอาสัก 30 เครื่องไหม เราร้องขอที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสัก 10 แห่ง เขาบอกว่า ถ้าไม่ยุ่งยากเขาจะวางไว้ สัก 30 แห่งจะได้ไหม แหมอะไรจะปานนั้น เอาก็เอาไม่ชอบขัดใจคนอยู่แล้ว จากนั้นทีมงานผสมระหว่างทหารสหรัฐและออสเตรเลียก็เริ่มวางสายสิ่งแรกที่ไม่คาดคิด (อีกแล้ว) ก็คือ สายเมนหลักสำหรับภารกิจนี้ที่ต่อมาจากอุปกรณ์ดาวเทียมคือสายไฟเบอร์อ็อปติก เมตรละ 150 บาท ต่อมายังตู้ฮับที่เรียกว่า คาร์บิเนทขนาดเท่าตู้เย็น 5 คิว ยาวมากกว่า 500 เมตร ซึ่งแน่นอนว่าตู้นี้ต้องเอามาอยู่ในห้องทำงานของผมแน่ ซึ่งก็อยู่ห่างแค่มือเอื้อมเท่านั้น


            หลังจากนั้นก็วางสายแคชไฟฟ์ ภายในอาคาร รวมทั้งต่อไปยังอาคารใกล้ ๆ อีก ผมคิดว่าน่าจะประมาณ 5 กิโลเมตรน่าจะได้เรียกว่าไม่กลัวหมดกลัวเปลือง ซึ่งผมได้ถามเขาเขาบอกว่าเท่านี้ยังไม่เท่าไหร่เพราะหน้าที่เขายังต้องวางสายในลักษณะนี้อีกกว่า 10 แห่งในติมอร์ และที่หนักไปกว่านั้นก็คือ ทั้งกองทัพออสเตรเลียนั้นได้มีการวางระบบทำนองนี้ทุกแห่งที่เป็นค่ายทหารทั่วทั้งออสเตรเลีย เพื่อเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยทหารทั้งประเทศเข้าด้วยกัน และที่ผ่านมา 5 ปีที่แล้ว ทางกองทัพได้ลงทุนด้วยเงินจำนวนมากลงไปในระบบเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้


            สำหรับสหรัฐจ้าวแห่งเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์นั้นไม่ต้องพูดกันมาก เอาเป็นว่าพื้นที่ต่างๆ ในโลกนั้นไม่มีปัญหาในการเชื่อมต่อแล้วปัญหาตอนนี้คือ การเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนอกโลกเท่านั้น กลับเข้ามาในโลกติมอร์ใหม่ดีกว่าก่อนที่จะเลอะไปกว่านี้ การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปด้วยดี แต่ก็ยังไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เนื่องจากมีปัญหาสถานีใหญ่ที่เพิร์ท ออสเตรลีย จึงทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ประกอบกับ ทีมงานทางบริษัทเทลสตราเองก็ไม่ได้ส่งมา เนื่องจากเป็นช่วงหยุดคริสต์มาสและปีใหม่ เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คงจะเป็นแนวทางของกองทัพด้วยที่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ทางทหารเป็นคนลองทำเองทั้งหมด เพราะผมถามเจ้าหน้าที่ที่มาติดตั้งระบบแล้ว เขาจะตอบว่าเขาเองก็เป็นครั้งแรกที่มารับงานวางระบบขนาดใหญ่แบบนี้ ซึ่งก็อาจจะล่าช้าหน่อยเนื่องจากเมื่อติดขัดปัญหาต่าง ๆ แล้วต้องคอยโทรศัพท์กลับไปถามทางบริษัทที่ออสเตรเลียเสียก่อน ซึ่งก็เกิดความล่าช้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเลยปีใหม่ซึ่งเกินกำหนดไปมากกว่า 10 วัน


                แต่ในช่วงดังกล่าวนั้นก็มีสิ่งไม่คาดคิดมาทดแทนนั่นก็คือ การติดตั้งฐานสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของบริษัทที่ได้วางแผนไว้ด้วยแล้ว ซึ่งได้กลายเป็นความคลั่งไคล้ใหม่ของกำลังพลเนื่องจากที่ผ่านมานั้น ผมได้ไปติดต่อโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมให้แก่กำลังพลที่ต้องการโทรศัพท์กลับบ้าน แต่ก็ใช้ไม่สะดวกเพราะต้องใช้บัตรเครดิตและต้องซื้อเวลาอย่างต่ำประมาณ 2,500 บาท แล้วค่าโทรก็ตกนาทีละเกือบ 50 บาท ซึ่งก็มีคนมาใช้บริการพอสมควร แต่ที่เทียบไม่ได้กับโทรศัพท์มือถือก็คือ จำนวนคนที่ซื้อเครื่องโทรศัพท์มือถือจากเดิมที่เริ่มต้นจากดิลี ที่ตั้งหลักของกองบัญชาการหน่วยเหนือซึ่งมีทหารไทยอยู่ประมาณ 300 คน แต่มีการซื้อมือถือประมาณกันว่าไม่ต่ำกว่า 500 เครื่อง เนื่องจากเหตุผลหลาย ๆ ประการ ไม่ว่าราคาเครื่องจะถูกว่าบ้านเรา กว่า 4 เท่า ความคมชัดที่ดีกว่า เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ของกองบัญชาการทหารสูงสุดจึงซื้อเครื่องโทรศัพท์กันจนเกือบหมดเมืองดาร์วิน ที่เป็นฐานการส่งกำลังที่ออสเตรเลีย โดยมีคนตรวจสอบข้อมูลมายังประเทศไทยว่า เครื่องโทรศัพท์ที่วางขายกันแบบวันทูคอลของที่นี่นั้น ราคาเครื่องที่เมืองไทยประมาณ หมื่นกว่าบาท แต่ที่ดาร์วินสามารถซื้อได้เพียงเครื่องละสองพันบาทและที่สำคัญคือ มีการยืนยันจากประเทศไทยว่าสามารถนำกลับมาใช้ได้เป็นแบบวันทูคอลที่เมืองไทยเพียงแต่เสียค่าปรับแต่งเล็กน้อย และคาดว่าหลังจากที่มีการติดตั้งฐานสัญญาณโทรศัพท์ที่เบาเกาแล้ว

            คาดว่าเวลาประมาณ 20 วันที่สามารถใช้โทรมือถือได้นั้น กำลังพลยอดเต็ม 1,198 นาย ที่ได้สั่งซื้อโทรศัพท์มือถือไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500 เครื่อง คงมีค่าใช้จ่ายที่ผมคำนวณคร่าว ๆ ว่าเฉพาะค่าเครื่อง ๆ ละประมาณ 2,000 บาท ก็ตกประมาณล้านบาท ค่าโทรถ้าอยู่กันอีก 6 เดือน ตีแบบต่ำๆ ก็คนละ 3,000 บาท ก็อีกล้านห้าแสนบาท รวมแล้วเฉพาะเรื่องโทรศัพท์ปาเข้าไป สองล้านห้าแสนบาท ผมเองและทางผู้บังคับบัญชาก็พยายามกระตุ้นเตือนถึงความฟุ่มเฟือยตรงนี้ให้กำลังพลได้รับทราบว่า การที่เราพูดแล้วเสียเงินค่าพูดนาทีละ 20 บาทนั้น แล้วมีคนบอกว่าราคาถูกนั้น ไม่ทราบว่าถูกยังไงผมเองไม่เข้าใจจริง ๆ


            แต่อย่างว่าและครับเรื่องพวกนี้ต่างคนต่างความคิด ความต้องการและสิ่งที่ตนเองมีก็ไม่เหมือนกัน แล้วก็ต่างคนต่างมีเงินเบี้ยเลี้ยงของตนเองก็เลยไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไร เพราะการมีเครื่องโทรศัพท์มือถือนั้นได้กลายเป็นสิ่งยอดฮิตไปแล้ว และเรื่องโทรศัพท์นี้แพร่เข้าไปยังพวกเจ้าหน้าที่ สหประชาชาติที่เรียกว่าอุนทาเอ็ดอีกนับร้อย ๆ คนในเมืองเบาเกาอีกด้วย เรียกว่าของผลิตกันแทบไม่ทันทีเดียว ซึ่งช่องสัญญาณโทรศัพท์ที่สนามบินนั้นเป็นฐานสัญญาณที่มีเพียง 14 ช่องสัญญาณเท่านั้น และเนื่องจากฐานสัญญาณอยู่ที่บริเวณสนามบินที่เป็นที่ตั้งของกองบังคับการกองกำลังห่างจากเมืองที่อยู่ต่ำลงไปกว่า 100 เมตร ประมาณ 5 กม. ตอนเย็นก็จะเห็นรถบรรทุกทหารหรือคนของสหประชาชาติแวะเวียนมาจอดใกล้ฐานซึ่งดูแล้วก็แปลกไปอีกแบบ ที่เห็นคนกว่า 20 คนบนรถจีเอ็มซี ที่ทางกองพันที่อยู่ในเมืองจัดผลัดกันมา พยายามหมุนโทรศัพท์เพื่อที่จะพยายามโทรกลับประเทศไทย แล้วที่น่าขำอีกอย่างก็คือการที่หน่วยทหารที่แยกลงไปทางด้านใต้ประมาณ 50 กิโลเมตรได้ขับรถขึ้นเขาไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสันเขาที่มีความสูงประมาณ 1000 เมตร โดยที่ห่างจากฐานสัญญาณโทรศัพท์ที่สนามบินเกือบ 30 กิโลเมตร แต่อยู่บนที่สูงก็เลยรับสัญญาณได้ แวะเวียนกันมาโทรศัพท์กลับเมืองไทยกันแทบทุกวัน ซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นผลดีที่ ทำให้กำลังพลแทบทุกนายสามารถติดต่อพูดคุยกับครอบครัวได้โดยตรงและเป็นส่วนตัวได้เองโดยที่ไม่ต้องรอคอยจดหมายที่ค่อนข้างจะมีปัญหาในการรับส่งระหว่างไทยกับติมอร์ที่ล่าช้ามากจนรับไม่ได้


         กลับเข้ามาที่ระบบคอมพิวเตอร์ใหม่เมื่อทางทหารสหรัฐที่มาสนับนุนกลับไปนั้น ได้เอาเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์อื่น ๆ ยกเว้นสายเคเบิลกลับไปด้วย จึงทำให้ระบบงานต่าง ๆ เริ่มช้าลง ผมเองจึงได้เสนอเรื่องร้องขอความต้องการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้งานสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพในอัตราเดิม และได้ร้องขอเสนอความต้องการคอมพิวเตอร์ให้แก่หน่วยรองอีกด้วย เพื่อจะได้ทำเป็นข้อมูลเสียทีเดียวเลยไม่ต้องเอาเอกสารที่เป็นกระดาษจากหน่วยรองมาพิมพ์ใหม่อีก โดยได้เสนอไปทั้งหมด 3 ทาง โดย 2 ทางแรก ก็เป็นไปตามที่คิดคือ โยนเรื่องกันไป โยนกันมา จนคนรับเรื่องสุดท้ายบอกว่าให้คอยเป็นกองกำลังสหประชาชาติก่อนคือ อีก 2 เดือนข้างหน้า ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ สำหรับอีกทางหนึ่งซึ่งคิดว่าคงจะเป็นการยากที่สุดคือบอกทางเจ้าหน้าที่นายสิบของออสเตรเลียที่รับผิดชอบในการวางระบบ ไปว่าต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องและเครื่องพิมพ์เลเซอร์แบบเครือข่ายหนึ่งเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าแล้วจะบอกทางหน่วยเหนือให้แล้วเรื่องก็เงียบหายไปเกือบเดือน ซึ่งดูแล้วเห็นว่าคงจะคอยเก้อแน่ ผมจึงได้ทำเรื่องขอให้ทางผู้บังคับบัญชาที่นี่ได้พิจารณาสนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้แก่สายงานต่าง ๆ ที่ยังมีไม่ครบได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ด้วยอีกจำนวน 3 เครื่อง ซึ่งก็ได้รับคำตอบที่น่าประหลาดใจที่ ท่านได้อนุมัติให้จัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างดีมาก ๆ อีกจำนวน 6 เครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้ซีพียู เพนเทียมทรี 500 ขึ้นไปทั้งนั้น ส่วนจอก็เป็นแบบจอแบบอย่างดีเพื่อในการถนอมสายตากำลังพล โดยจำนวนให้มากกว่าที่ขอไปจำนวน 3 เครื่องพร้อมกับเครื่องพิมพ์มาเพิ่มอีก 2 เครื่อง เมื่อได้มาแล้วก็ได้นำเข้ามาเชื่อต่อเครือข่ายที่เตรียมมาจากประเทศไทยเองในขั้นต้น


            ในเวลาเดียวกันนั้นมนุษย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่นายสิบของออสเตรเลีย 2 นาย ซื่อ สิบโท กริฟฟิท และสิบโท พอทส ซึ่งใช้รหัสแทนตัวเองว่า C3PO และ R2D2 ซึ่งเป็นชื่อที่ล้อเลียนมาจากตำแหน่งฝ่ายยุทธการและจากหนังสตาร์วอร์ ซึ่งมีใบรับประกันการจบการอบรมจำนวนมากจากบริษัทไมโครซอฟท์ ว่ามีฝีมือระดับ Geek ก็เดินทางมาถึงหลังจากปีใหม่ได้ประมาณ 5 วัน ซึ่งคราวนี้มาพร้อมกับความสุขของผมคือ เมื่อมาถึงเขาได้มานั่งคุยกับผมสอบถามรายละเอียดและความต้องการของระบบที่เป็นชั้นความลับและแบบไม่มีชั้นความลับ สำรวจสิ่งของที่เรามีและอุปกรณ์ที่ทีมออสเตรเลียมาติดตั้งเพิ่มเติม เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็บอกว่า ตอนนี้ทางอินเตอร์เฟตได้แบ่งมอบคอมพิวเตอร์โนทบุคโตชิบ้า ซึ่งดีกว่าที่สหรัฐให้การสนับสนุนมาให้ทางกองกำลังจำนวน 4 เครื่อง เท่ากับจำนวนคอมพิวเตอร์ที่สหรัฐให้การสนับสนุน พร้อมเครื่องพิมพ์เลเซอร์แบบเครือข่ายอีก 1 เครื่อง โดยจริง ๆ แล้ว มีเครื่องทั้งหมดนำมา 8 เครื่อง แต่ต้องให้แก่ นตต. ออสเตรเลีย 2 เครื่อง และทีมงานของเขาเองอีก 2 เครื่อง


            แล้วก็ให้ข้อมูลว่า ระบบการสื่อสารที่เป็นของบริษัทเทลสตรานั้น อาจจะมีปัญหาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เนื่องจากเป็นวันที่เปลี่ยนจากอินเตอร์เฟทเป็นกองกำลังสหประชาชาติหรือที่เรียกว่าอุนทาเอ็ด ซึ่งมีประวัติกันมาเก่าว่าสมัยที่บริษัทเทลสตราได้เป็นผู้ดำเนินการแบบนี้ที่ประเทศกัมพูชา ที่เรียกว่าอันแทคเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ได้มีเรื่องบาดหมางกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบกับในการสื่อสารของสหประชาชาติชาวจาไมก้าคนหนึ่ง ซึ่ง ณ วันนี้เจ้าหน้าที่คนนั้นได้มาเป็นหัวหน้าทางการสื่อสารของสหประชาชาติที่ติมอร์ตะวันออกในครั้งนี้ และก็มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อเปลี่ยนเป็นกองกำลังสหประชาชาติแล้วบริษัทเทลสตราจะยังมีที่อยู่ในติมอร์หรือไม่ ซึ่งถ้าเกิดปัญหาการไม่ทำสัญญาต่อในเรื่องการสื่อมารกับบริษัทเทลสตราแล้วละก้อ ความหวังในการพึ่งพาการสื่อสารจากกองพันทหารสื่อสารของปากีสถานที่จะมาทำหน้าที่ในการสื่อสารต่อไปก็คงจะไม่เหมือนเดิมแน่ ๆ แหมถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันนะเพราะน่าจะไกลเกินเอื้อมมากไปหน่อย เอาว่าเมื่อถึงตอนนั้นค่อยคิดกันใหม่ก็แล้วกัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คงมีคนช่วยโวยกันมากแน่ ๆ เพราะโทรศัพท์มือถือเป็น พัน ๆ เครื่องที่ทหารอินเตอร์เฟทที่อุตส่าห์เอาเงินตัวเองซื้อ ก็จะใช้ไม่ได้ทันทีแล้วยังมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากแน่ เอาเป็นว่าตอนนี้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนก็แล้วกัน


            ตัวผมเองจริง ๆ แล้วต้องกลับมาทำงานที่ดาร์วินตั้งแต่ กลางเดือนธันวาคม แต่ก็ด้วยอยากที่จะเห็นและเรียนรู้ในการวางระบบเครือข่ายที่ไม่ต้องไปเสียเงินเรียนที่ไหน ก็อุตส่าห์ขอแลกกับน้อง ๆ ขอไปงวดหลัง ๆ จนกลายเป็นคนสุดท้าย แล้วซึ่งต้องเดินทางออกจากติมอร์ มาตอนตีหนึ่งของวันที่ 10 มกราคม ซึ่งจะเป็นวันที่อินเทอร์เน็ตจะสามารถเชื่อมต่อได้หลังจากที่ระบบ IWAN ได้ทำการเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้วไปก่อนหน้านี้ 3 วัน ซึ่งพร้อมกับโทรศัพท์ดิจิตอลก็สามารถโทรติดต่อได้แล้ว แต่ติดปัญหาที่เครื่องแฟกซ์ที่เรามีอยู่นั้นเป็นระบบอนาลอก ไม่สามารถรับส่งแฟกซ์ผ่านระบบนี้ได้ผมจึงให้เขาช่วยใส่การ์ดเพื่อให้เป็นระบบอนาลอคด้วยจำนวน 3 หมายเลข โดยเป็นที่สายงานผมเอง 1 เครื่อง เพราะวางแผนในการต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโมเด็มไว้ด้วยเพื่ออย่างแรกคือการเล่นไอซีคิว แล้วก็เอาไว้ใช้อินเทอร์เน็ตและการรับส่งแฟกซ์ผ่านทางโมเด็มในโอกาสต่อไปโดยผมยอมเสียเงินฝากซื้อ อินเทอร์เน็ตสำเร็จรูปจากออสเตรเลียมาราคาพันกว่าบาท จำนวน 35 ชั่วโมง


            อ้อเรื่องโทรศัพท์เป็นโทรในระบบแบบเดียวกับองค์การโทรศัพท์บ้านเราแต่เขาคิดค่าโทรศัพท์ จากติมอร์ตะวันออกเป็นราคาเดียวกับที่โทรภายในดาร์วิน ก็พยายามอยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งที่ต่อสัญญาณได้แล้ว เมื่อสอบถามทางทหารออสเตรเลียที่มาวางระบบก็ได้รับคำตอบว่าเจอปัญหาเดียวกัน สงสัยจะเสียเงินฟรีเสียแล้ว ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีโทรไปถามที่บริษัททำตามขั้นตอนแล้วก็ต่อไม่ได้ ก็เลยต้องเอาไปรวมกับของเดิมที่มีอยู่ 2 แผ่นเก็บใส่ไว้ในลัง คราวนี้ก็คงเหลือหนทางที่ง่ายที่สุด คือการคอยให้อินเทอร์เน็ตที่เบาเกาเชื่อมต่อได้


                หลังจากคิดอยู่หลายตลบก็ได้เรียนให้ทางผู้บังคับบัญชาทราบว่าอยากจะ ขออยู่อีก 3 วันแล้ว จึงจะเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อที่จะดูระบบเครือข่ายให้เรียบร้อยเสียก่อน เพื่อที่จะได้ทราบว่าทางบริษัทจะมีการป้องกันการฟังวิทยุและใช้โปรแกรมแชทผ่านทางอินเทอร์เน็ตเหมือนตอนที่ทำโดยทหารหรือไม่ แต่ก็เหมือนมีคนมาแกล้งให้หงุดหงิดก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน คือกลางวัน วันที่ 9 ฝนที่เคยตกเป็นประจำก็ตกตามปกติแต่ที่ผิดปกติก็คือฟ้าดันผ่าลงมา ที่อาคารของหมวดซ่อมสื่อสารที่ห่างออกไปเกือบ 300 เมตร ซึ่งตั้งแต่ฝนตกมาเกือบ 3 เดือนไม่เคยมีฟ้าผ่า ซึ่งทำให้อุปกรณ์ไปฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์สื่สารเช่น โทรศัพท์และแฟกซ์ ทีวี วีดีโอและเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมพังไปหลายเครื่อง สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นแม้ว่าจะมีเครื่องยูพีเอสในการป้องกันไฟกระชาก ซึ่งการที่ฟ้าผ่านั้นทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ดับทันทีไปหลายเครื่อง แต่ไม่ได้ทำอันตรายต่ออุปกรณ์หลักๆ ของเครื่อง แต่กระแสไฟฟ้าจกฟ้าผ่าได้วิ่งมาตามสายเคเบิลที่เชื่อมต่อเครือข่ายไว้ทำให้การ์ดแลนเกือบครึ่ง อะไรมันจะวิบากกรรมแบบนั้น ที่ผ่านมาเจอไวรัสก็จัดการสังหารเรียบร้อย Y2K ก็ไม่คณามือ แต่ที่หมดปัญญาก็คือ เวลาฟ้าผ่านี่เองไม่รู้จะทำยังไงยังดีไม่ได้โดนสายฟ้าไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงต้องไปเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ให้ยมบาลเป็นแน่แท้
--------------------------------
พ.ต. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ