31 มกราคม 2566
ชมรมฅนแกร่ง ค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจาน (ทหารดอทคอม 17 ก.ค.55)
หน้าที่ เกียรติยศ ประเทศชาติ และความรักของทหารดอทคอม (ทหารดอทคอม 13 ก.พ.49)
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6 (ทหารดอทคอม 7 พ.ค.55)
Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต (ทหารดอทคอม 11 พ.ค.55)
Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย (ทหารดอทคอม 19 เม.ย.47)
วันจันทร์ที่
8 พฤษภาคม 2521 เป็นวันแรกไม่ใช่แต่ผมแต่เป็นวันแรกสำหรับชายหนุ่มกว่า 700 ชีวิต
จากทั่วทุกแห่งหนของประเทศไทยที่ย่างเหยียบเข้ามาในโรงเรียนเตรียมทหารในฐานะที่เรียกทุกคนเรียกว่านักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่
21 อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครั้งแรก
ผมเองตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่งแต่งตัวในชุดนักเรียนใหม่ที่ได้รับแจกมาคือ
กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน เสื้อแขนสั้นสีขาว รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำและถุงเท้าดำ
คาดเข็มขัดสีเขียวหัวทองเหลืองตราของกองบัญชากการทหารสูงสุด
และถือกระเป๋าหนังสีดำที่ได้รับจากโรงเรียนเช่นกัน
โดยก่อนหน้านั้นวันสองวันได้ตัดผมทรงนักเรียนข้างขาวอย่างเรียบร้อย
ออกจากบ้านที่ซอยองครักษ์ ประมาณ หกโมงเช้า ขึ้นรถตามแผนคือสาย 55
ที่ต้นสายอยู่บนถนนอำนวยสงคราม ไปลงที่สามย่านเพื่อต่อรถเมล์สายสี่ บริเวณตรงข้ามวัดหัวลำโพง
แล้วต่อไปลงที่หน้าประตูหน้าโรงเรียนเตรียมทหาร โดยหวังว่าไปถึงประมาณสัก 7
โมงเช้า แล้วจะหาอะไรทานเป็นอาหารเช้าที่ร้านอาหารที่เคยมาทานในระหว่างการสอบ
แต่พอลงจากรถก็เริ่มเห็นสิ่งผิดสังเกตเพราะคิดว่ามาถึงโรงเรียน 7 โมงเช้านี่ก็ถือว่าเช้ามากแล้ว แต่ปรากฏว่าผิดคาดเพราะเพื่อน ๆ จำนวนมากมาอยู่กันเต็มลานด้านหน้าขาวพรืดไปหมดแล้ว เมื่อลงมาพี่ ๆ ซึ่งต่อมาทราบว่าเขาเรียกว่านักเรียนบังคับบัญชาก็มายืนคอยตามรายทางเรียกให้มาเข้าแถวเพื่อเดินไปรวมกับเพื่อน ๆ ที่มาถึงก่อน สิ่งแรกที่จำได้ก็คือ ผมทำผิดตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงรถแล้วเพราะนักเรียนใหม่ไม่มีสิทธิที่จะลงรถหน้าโรงเรียนไม่ว่าจะมาด้วยรถเมล์ รถแท็กซี่หรือรถส่วนตัว จะต้องลงก่อนถึงรั้วของโรงเรียนแล้วเดินมา สำหรับผมก็คือบริเวณทางแยกถนนวิทยุกับพระราม 4 แต่เนื่องจากเป็นวันแรกความผิดนี้จึงยกให้ไม่ลงทัณฑ์ และความผิดที่ยังไม่ถือเป็นความผิดก็คือ ประตูหน้าไม่ใช่ประตูสำหรับนักเรียนใหม่ใช้ อ้าว ไม่ใช้ประตูนี้แล้วตูจะไปเข้าทางไหนหว่า ผมคิดในใจ แต่ก็ยังเฉยอยู่เพราะใจยังห่วงกินข้าวอยู่ ก็เลยทน ๆ เอา
นักเรียนผู้บังคับบัญชาได้พาผมและเพื่อนใหม่ เดินแถวผ่านไปทางสระน้ำที่ผมว่ายตอนทดสอบ อ้อมผ่านร้านอาหารไปทางโรงพละศึกษา แล้วมาหยุดที่หน้าตึกตัวไอหรือตึกองบังคับการกรมนักเรียนเพื่อมาสมทบกับเพื่อน ๆ ที่มาก่อนหน้า ผมหันหลังให้สโมสรนายทหารและร้านอาหารที่หมายมั่นปั้นมือจะหาอาหารใส่ท้อง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ปล่อยให้กินข้าวสักที ไม่ปล่อยไม่เท่าไรยังพูดสั่งโน่นสั่งนี่ไปเรื่อย ว่ารองเท้าไม่มันบ้างทั้ง ๆ ที่ก็เอาแปรงขัดมาอย่างดี หัวเข็มขัดหมองบ้าง ผมยาวบ้าง ลักษณะท่าทางไม่ได้เรื่องบ้าง จนเวลาเลยแปดโมงเช้าเห็นท่าว่าคงจะไม่ได้กินข้าวแน่แล้วก็เลยต้องตัดใจ และเพื่อน ๆ เริ่มทยอยมาจนใกล้ครบจำนวน นายทหารปกครองและนักเรียนบังคับบัญชาก็มาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เพื่อนมากันเกือบหมดแล้วสิ่งแรก
ๆ ที่ทำเป็นระบบก็คือ การจัดแบ่งตามตอนหรือทั่วไปเรียกว่าห้องเรียน
แต่ที่โรงเรียนเตรียมทหารเขาเรียกว่าตอน นักเรียนเตรียมทหารรุ่นผมนับได้ว่าเป็นรุ่นที่มีจำนวนมากที่สุดเท่าที่ตั้งโรงเรียนเตรียมทหารมาเลยทีเดียว
และครองแชมป์จำนวนมาก และไม่แน่ใจว่ารุ่นหลัง ๆ
ที่มีการบังคับให้นักเรียนนายร้อยตำรวจทั้งหมดต้องมาเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารจะมีรุ่นไหนมีมากกว่ารุ่นของผมบ้าง
รุ่นของผมนั้นรวมทั้งหมดแล้วมีประมาณ 700 กว่านาย เห็นจะได้
เท่าที่มีการเล่าต่อ ๆ
กันมาว่าถึงเหตุผลที่รุ่นผมมีมากที่สุดนั้น
ว่ากันว่าเป็นความบังเอิญที่นายกรัฐมนตรีขณะนั้นมีลูกชายเข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น
21 กับเขาด้วย ก็เลยส่งผลเบื้องต้นผลักดันให้มีจำนวนนักเรียนมากตามไปด้วยประการละฉะนี้
เรียกว่ามากจนทางนายทหารปกครองพิจารณาแล้วว่าที่นอนที่เคยจัดให้นักเรียนเตรียมทหารที่มาจากต่างจังหวัดรุ่นก่อน ๆ ได้พักในโรงเรียนไม่พอทีเดียวก็เลยตัดปัญหาให้ทุกคนในรุ่นไปหาที่พักกันเอาเองนอกโรงเรียน ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจต่อบางส่วน แต่สำหรับผมก็ก่ำกึ่งเรียกว่าแบบไหนก็ได้เพราะแม้ว่าจะคิดว่าอยู่ที่นอนในโรงเรียนน่าจะสะดวกแต่ก็หวั่นว่ามันอาจจะไม่คุ้มที่จะอยู่ก็เป็นได้ เพราะในอาคารเดียวกันมีพี่ ๆ นอนร่วมอยู่ด้วยซึ่งแทนที่จะรู้สึกอบอุ่นกลับทำให้รู้สึกร้อนไปเลยทีเดียว
การแบ่งตอนนั้นก็ทำด้วยการเรียกรายชื่อผมเองรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่ถูกเรียกเป็นคนที่ 6 ให้ออกมาจากใต้ถุนอาคารกรมนักเรียนให้มายืนคอยเพื่อน ซึ่งตามมาอีก 36 คน รวมผมด้วยก็ 37 คน ซึ่งมากกว่า 30 คนในตอนเดียวกันตัวใหญ่กว่าผมทั้งนั้น และหลังจากเรียกมาครบทุกคนแล้วก็รวมได้ 20 ตอนพอดีโดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่หรือต่อมาเรียกว่ากองพัน และแต่ละตอนก็เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหมวด ดังนั้นตอนของผมจึงเป็นตอนที่ 6 ของนักเรียนเตรียมทหารปีที่ 1 และในเวลาเดียวกันก็เป็น หมวด 3 กองร้อย 1 กองพันที่ 3 และเมื่อสิ้นสุดการแบ่งและให้เข้าแถวประจำที่ของแต่ละคนแล้วผมเองได้ยืนในตำแหน่งคนแรกสุดของตอน โดยได้รับทราบในเวลาต่อมาว่าทางโรงเรียนได้แต่งตั้งให้ผมเป็นหัวหน้าตอนที่ 6 ซึ่งผมเองก็งงเป็นอย่างมากว่าทำไมมาเอาผมเป็นหัวหน้า เพราะตัวก็เล็ก ไม่เคยเป็นนักเรียนนายสิบมาก่อนเหมือนเพื่อนบางคนในตอน หน้าตาก็สุดแสนจะบ้านนอกไม่รู้เรื่องอะไรมากนักเกี่ยวกับกรุงเทพเหมือนเด็กที่จบในกรุงเทพ หรือแม้แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทหารมาก่อนเลย
ซึ่งก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้เพราะเกรงว่าพูดไปอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองได้โดยไม่จำเป็น แล้วก็คิดว่าแม้ว่าเท่าที่เคยเป็นนักเรียนมาแม้ว่าไม่เคยเป็นหัวหน้าห้องเรียนมาก่อนในชีวิตแต่ก็เคยได้รับเลือกให้ชักธงชาติตอนประถมสี่และเป็นศิษย์เอกของครูสมัยประถมสองที่สามารถไปซื้อโอเลี้ยงให้ครูได้อย่างไม่ผิดพลาดก็น่าจะลองหน้าที่นี้ดูสักตั้ง ซึ่งต่อมาหน้าที่นี้แม้จะนำความเดือดร้อนมาให้ตนเองเป็นพิเศษแต่ก็มีความรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างมากเพราะมาทราบในภายหลังว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ผมได้รับการคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าตอนโดยที่ไม่ต้องลงคะแนนเสียงก็เพราะว่าคะแนนสอบของผมตอนสอบเข้าเตรียมทหารนั้นเป็นลำดับที่ 6 ของผู้สมัครทั้งหมื่นสามพันกว่าคน การจัดลำดับของทางโรงเรียนนั้นเขาจะเรียงจากคนที่ได้คะแนนที่ 1 ให้เป็นหัวหน้าตอน 1 เรียงไปจนถึงคนที่คะแนนลำดับที่ 20 เป็นหัวหน้าตอน 20 ซึ่งทุกคนจะเป็นหมายเลขแรกของแต่ละตอน สำหรับผู้ที่คะแนนเป็นลำดับที่ 21 ก็จะเรียงทบแบบงูก็คือเป็นลำดับที่ 2 ของตอน 20 ไล่ย้อนกลับไปมาจนถึงประมาณเลขที่ 30 ของแต่ละตอนจากนั้นประมาณ 6 – 7 คนสุดท้ายของตอนก็จะเป็นโควต้าของนักเรียนนายสิบ นักเรียนจ่าทหารเรือ นักเรียนจ่าทหารอากาศที่ได้รับการคัดเลือกจากแต่ละโรงเรียนให้มาเรียนเตรียมทหารตามโควต้าของแต่ละปี และก่อนจะจบตอนนี้นั้นผมขอโม้ต่อไปอีกหน่อยว่าปลายปี 2 ของรุ่นผมผู้ที่เป็นหัวหน้าตอนคนแรกตอนปี 1 ที่เลือกเหล่าทหารบกก็คืออดีตหัวหน้าตอนชั้น 1 ตอน 6 นั่นเองซึ่งคงจะเป็นใครที่ไหนไปไม่ได้อย่างแน่นอน
หลังจากการจัดแบ่งตอนและหมวดเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นการชี้แจงทั้งวัน การปฏิบัติตัวในวันต่อไปว่าจะต้องทำอย่างไร เวลามาโรงเรียน การแต่งกาย การขึ้นรถเมล์ การรอรถเมล์ การทำความเคารพ การเดินผ่านผู้ใหญ่ การรับประทานอาหารกลางวันที่ผมสุดแสนจะหิว การตัดผม การติดกระดุมคอ และอีกมากมายจนหมดปัญญาจะจำได้ รวมทั้งการแนะนำให้รู้จักอาจารย์ประจำตอน นายทหารปกครอง หลังจากนั้นตอนเย็นก็ปล่อยกลับบ้าน สิ่งแรกที่ผมกลับไปบ้านที่ทำก็คือไปร้านตัดผม เพื่อตัดผมซึ่งเจ้าของร้านก็ไม่ได้สนใจในตอนแรกเพราะผมของผมเองมันสั้นอยู่แล้วจนต้องสะกิดช่างว่าผมต้องการตัดผม โดยช่างมองหน้านึกว่าผมกวนจนผมบอกว่าต้องการตัดจริงๆ เอาแบบแทบติดหนังศีรษะเลยแต่ไม่ใช่การโกน
หลังจากนั้นก็ไปหามาม่ากับขนมปังและแยม
และน้ำพริกเผามาสะสมเป็นเสบียงสำหรับอาหารมื้อเช้าเพราะเท่าที่ประเมินดูแล้ว
วันต่อไปถ้าไม่หาอะไรกินไปก่อนออกจากบ้านก็คงไม่ได้กินแน่จนถึงกลางวัน
หลังจากนั้นก็หาอาหารเย็นกินก่อนที่จะมาตั้งหน้าตั้งตาขัดรองเท้าและเข็มขัดอย่างสามารถเพราะรองเท้าต้องขัดด้วยสำลีชุบน้ำผสมกีวีขัดทั้งหนัง
เชือกร้อยรองเท้า และใต้พื้นรองเท้า
สำหรับเข็มขัดก็ต้องถอดเอาเครื่องหมายออกจากหัวเข็มขัด
เอามาลงบรัสโซขัดทั้งนอกทั้งในรวมทั้งหางเข็มขัดทองเหลือง
ตามที่ได้รับคำสั่งมาจากหัวหน้าหมวดเมื่อตอนกลางวัน และเตรียมเรื่องต่าง ๆ
ที่ได้รับการสั่งการมาไม่ว่าป้ายชื่อตนเอง ท่องชื่อผู้บังคับบัญชาต่าง ๆ ให้ขึ้นใจ
ก่อนที่มุดมุ้งเข้านอนเอาแรงตอนห้าทุ่มเพื่อเตรียมตัวตื่นตีห้าในวันต่อไปที่ไม่รู้ว่าจะต้องผจญกับอะไรอีก
--------------------------------------------------------------------------
Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต
พ.ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย (ทหารดอทคอม 19 เม.ย.47)
การทดสอบร่างกายแบ่งออกประมาณ 4 – 5 สถานี ได้แก่ การดึงข้อ คนที่จะได้คะแนนเต็มน่าจะต้องดึงให้ได้ 15 ครั้งตามข้อกำหนด คือต้องเอาคางให้เลยคานที่จับ ขาชิดไม่ตะเกียกตะกายและต้องคว่ำมือดึงขึ้นไปพร้อมกัน ผมเองตอนเด็ก ๆ เคยเล่นบาร์คู่ตามรุ่นพี่ ๆ แถว ๆ บ้านอยู่บ้าง แม้ว่าจะค่อนข้างต่างกับการดึงข้อราวเดี่ยวพอสมควรแต่ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อยู่บ้าง ผมเองดึงได้ประมาณ 12 – 13 ที ซึ่งก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ สถานทีต่อมาก็เป็นการวิ่งซิกแซก ระยะทางไม่ไกลนักวิ่งไปกลับน่าจะไม่เกินร้อยเมตร นัยว่าจำลองการวิ่งมาจากทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีการขุดสนามเพาะเพื่อหลบกระสุนปืนใหญ่ ที่มีการระดมยิงมาและบังเอิญมันตกมาในสนามเพาะพอดีสะเก็ดระเบิดจะกระจายออกดังนั้นหลุมเพาะหรือสนามเพาะจึงต้องทำให้คดไปคดมา เพราะทหารที่อยู่ในสนามเพาะจะมีความเสี่ยงของสะเก็ดปืนใหญ่น้อยลงไป แต่ที่ต้องให้เอามาทดสอบการวิ่งนั้น ก็เพราะถ้าข้าศึกบุกเข้ามาในสนามเพาะที่ฝ่ายเราขุดอยู่หรือฝ่ายเราบุกข้ามเข้าไปในสนามเพาะของข้าศึกที่ขุดประจันหน้ากัน ก็มีความจำเป็นจะต้องวิ่งไล่สังหารกันส่วนที่ใครจะวิ่งไล่หรือวิ่งหนีนั้นก็สุดแล้วแต่สถานการณ์
แต่ที่สำคัญก็คือใครวิ่งได้เร็วกว่าคือผู้ที่อยู่รอด ดังนั้นการวิ่งแบบซิกแซกจึงมีความจำเป็นมากในการรบ ซึ่งได้มีการนำการวิ่งซิกแซกนี้มาใช้ในสงครามต่อ ๆ มาด้วยเพราะทหารที่ทำการรบบนพื้นดินก็ต้องวิ่งเข้าหาข้าศึกให้ถึงตัวหรือที่มั่นโดยที่ไม่ให้ข้าศึกที่ตั้งรับอยู่ยิงด้วยอาวุธปืนเล็กถูกก่อน จึงต้องวิ่งส่ายไปมาไม่ได้วิ่งเข้าไปตรง ๆ ในบางโอกาส สถานีนี้ผมไม่รู้ว่าผลออกมาดีหรือไม่เพราะวิ่งคนเดียวไม่มีอะไรเปรียบเทียบและไม่มีโอกาสได้ถามว่าเวลาที่ผมวิ่งได้เท่าไรและมาตรฐานทั่วไปเท่าไร รู้แต่ว่าเขาให้วิ่งก็วิ่งได้ไม่ติดขัดอะไร สถานีต่อมาก็เป็นการวิ่งระยะทางไกลที่สนามหญ้าหน้าตึกกองบังคับการกรมนักเรียนหรือที่เรียกว่าตึกตัวไอ เพราะเป็นแท่งยาว ผมเดาว่าชื่อที่เรียกนี้คงเรียกเลียนแบบตึกตัววายที่เป็นตึกกองบัญชาการหลักด้านหน้า ที่เรียกว่าตัววายก็เพราะตอนสร้างเขาสร้างเป็นตึกสามปีกมีความหมายถึงทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ซึ่งตำรวจน่าจะมาทีหลัง
จากรูปทรงดังกล่าวที่มีการจำลองเป็นอาคารย่อส่วนเวลาคนมาเห็นก็ทำให้นึกถึงอักษรภาษาอังกฤษคือ วาย ก็เลยเรียก ซึ่งคนฟังคนเห็นดีด้วยก็เลยเรียกกันมา แล้วก็ทำให้มีการเรียกอาคารอื่น ๆ ในโรงเรียนเตรียมทหารเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตามมาอีกสองสามอาคาร เช่น อาคารตัวไอ และ อาคารตัวโอ สำหรับการวิ่งระยะทางนั้นผมจำไม่ได้แน่ว่าวิ่งเท่าไรแต่ไม่น่าเกิน 1,500 เมตร ซึ่งสำหรับผมซึ่งมาจากต่างจังหวัดและชอบวิ่งมาก่อน ไม่ว่าจะวิ่งเพราะเป็นนักมวย หรือวิ่ง 5,000 เมตรในการแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียนพรมานุสรณ์ จึงทำให้ผลการวิ่งสามารถเข้าเส้นชัยได้ในลำดับต้น ๆ ของกลุ่ม
อีกสถานีหนึ่งซึ่งสบายมากแบบที่เล่ามาแล้วก็คือเรื่องการว่ายน้ำ 50 เมตร ตอนนั้นท่าว่ายน้ำของผมคงเป็นแบบที่เรียกว่าวัดวา ซึ่งเป็นลักษณะการว่ายเล่นในแม่น้ำเพชรหลังบ้านผมและคลองชลประทาน ที่ผมและเพื่อนมักจะหนีพ่อแม่ไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แก้ผ้าบ้าง โตขึ้นมาหน่อยก็ใส่ผ้าขาวม้ากระโดดสะพาน เล่นอีเถิดหรือไล่จับกันในน้ำ ซึ่งเล่นที่คลองชลประทานจะสนุกมากและได้เลือดจากการถูกคันคลองซึ่งเป็นปูนบาดมือและเท้าอยู่เสมอ และก็มีเด็กจมน้ำตายให้เป็นข่าวอยู่เนือง ๆ แต่พวกเราก็ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร เรียกว่าเอามันเข้าว่า ดังนั้นพอมีข่าวเด็กจมน้ำตายพวกพ่อแม่ก็จะมาห้ามเล่นน้ำและไล่ตีกันที สำหรับแม่น้ำเพชรนั้นช่วงหน้าน้ำหรือหน้าฝนเขื่อนแก่งกระจานก็จะปล่อยน้ำจำนวนมากเด็ก ๆ รุ่นผมก็จะหายางในรถสิบล้อ ที่เขาไม่ใช้งานแล้วมาสูบลมแล้วเอามาทำเป็นห่วงลอยกันในน้ำกัน พวกที่ไม่มีก็ว่ายน้ำไปขอเกาะบ้าง ว่ายไปเกาะเรือรับจ้างข้ามฝากบ้าง ดำผุดดำว่ายในแม่น้ำที่แดงไปด้วยดินและลึกหลายเมตรอย่างไม่รู้จักว่าตายเป็นอย่างไรนอกเหนือจากความคิดว่าสนุกอย่าบอกใครเชียว ปัจจุบันกลับไปเที่ยวบ้านก็ไม่เห็นมีเด็กเล่นน้ำแบบสมัยผมแล้ว คิดว่าคนคงปรับตัวให้เข้ากับระบบประปาจนชินและไม่เสียดายเงินกันแล้ว รวมทั้งการมีสระว่ายน้ำที่มีความปลอดภัยให้เล่นกันซึ่งหาได้ไม่ยากนัก ซึ่งก็มีผลดีเพราะไม่ค่อยได้ข่าวว่ามีเด็กจมน้ำตายเลยในยุคหลังนี้ก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวผมเองเคยเกือบตายจากการเล่นน้ำมาอย่างน้อยสองครั้ง คือ เกือบโดนรถเหยียบตายตอนเอายางในรถไปเติมลมที่ปั๊มสามทหารเดิมแถวหนองกี้ และโดนผ้าปูที่นอนพันตัวเพราะพิเรนกระโดดลงไปในผ้าที่เอามาซักน้ำในแม่น้ำแต่ก็ดิ้นหลุดออกมาได้ แต่สิ่งที่ได้มาก็คือวิชาว่ายน้ำและดำน้ำ เรียกได้ว่าทำเป็นเองโดยไม่ต้องมีคนสอนและไม่เคยเสียเงินค่าว่ายน้ำมาจนอายุจะสามสิบปี รวมทั้งจำไม่ได้ว่าว่ายน้ำเป็นตั้งแต่อายุกี่ขวบ ดังนั้นพอมีการทดสอบการว่ายน้ำ ผมจึงเข้าเป็นคนแรกของกลุ่ม ซึ่งที่ผมว่ายน่าจะเรียกว่าฟรีสไตล์ตามความหมายพอได้เพราะเอาว่าว่ายไปถึง แต่คงไม่ใช่แบบที่เขาแข่งขันแน่ สำหรับการทดสอบอีกสองท่าที่ผมไม่แน่ใจว่าทดสอบในตอนนั้นด้วยไหมคือ ท่ายึดพื้น และงอเข่าครึ่งนั่ง การสอบร่างกายของผมก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
วันต่อมาก็เป็นการตรวจโรคและการสอบสัมภาษณ์ ผมจำไม่ได้แล้วว่าสอบวันเดียวกันหรือเปล่า แต่ที่จำได้ก็คือ ในการตรวจโรคมีท่าตรวจโรคที่ไม่เคยลืมเลยก็คือ การตรวจกามโรคและการตรวจริดสีดวงทวารหนัก เพราะผู้ตรวจสั่งให้แก้ผ้าเข้าแถวคอยเพื่อไม่ให้เสียเวลา ไอ้ผมเองก็เป็นหนุ่มบริสุทธิ์ไม่เคยต้องมือใครมาก่อน เรื่องแก้ผ้าต่อหน้าธารกำนัลนั้นก็ไม่เคยมาก่อนนับตั้งแต่เรียนประถมห้า ซึ่งหัดเริ่มใส่กางเกงใน อาบน้ำในห้องน้ำยังจำได้ว่ายังมีการใส่ผ้าขาวม้าอาบเนื่องจากติดมาจากการอาบน้ำในแม่น้ำและในสมัยพ่อแม่ซึ่งไม่มีห้องอาบน้ำและระบบประปาทุกคนก็ต้องไปอาบในแม่น้ำหรืออาบจากตุ่มรับน้ำฝนที่ตกลงมาในหน้าฝนซึ่งมักอยู่กลางแจ้งทั้งนั้น ดังนั้น จึงมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่แก้ผ้าอาบน้ำให้เห็นโดยจะมีเด็ก ๆ ไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ห่างๆ ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่ใคร ๆ ก็แก้ผ้าอาบน้ำกันทั้งนั้นเพียงแต่ว่าอาบในห้องน้ำมิดชิด
ดังนั้น ในการตรวจโรคที่ต้องการความรวดเร็วก็จะมีหนุ่ม ๆ ผู้ผ่านรอบแรกแบบพวกผมเดินหอบเสื้อผ้าแต่ตัวแก้ผ้ายืนเข้าคิวกันแบบในหนังสงครามเลย ซึ่งตอนนั้นแม้ว่าจะอายมากแต่ก็ไม่คิดมากเพราะคนแก้ผ้ามีหลายคนใจอยากจะเข้าเรียนด้วย เมื่อถึงคราวเข้าไปในห้องตรวจที่ไม่ลืมก็คือการตรวจกามโรคซึ่งแต่ก่อนไม่มีโรคเอดส์มีแต่ฝีมะม่วง หนองใน และน่าจะไม่มีการเจาะเลือดไปตรวจเหมือนปัจจุบัน ดังนั้นวิธีง่ายที่สุดก็คือการดูที่น้องชายตัวน้อยของแต่ละคน ซึ่งจะต้องดึงแบบสุด ๆ พลิกไปมาทั้งบนล่างให้เขาดูว่าเรามีกามโรคแน่ และแถมด้วยการตรวจริดสีดวงที่ง่ายที่สุดก็คือ การปฏิบัติตามคำสั่งและขั้นตอนของคนตรวจดังนี้ “แถวตรง กลับหลังหัน กางขา โก้งโค้ง เอามือจับแก้มก้น แยกออก” ให้เขาดูว่าไม่มีแน่ ๆ
แต่อย่างว่าแหละนะลงทุนมาตั้งมากแล้ว อายก็อายแต่ก็ต้องเอา ว่าไงก็ว่ากัน สำหรับการตรวจอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรมากนัก เช่น มือ นิ้ว ความผิดปกติของกระดูกส่วนต่าง และการตรวจระบบภายในที่ไม่แปลกเท่าไร ส่วนการสัมภาษณ์นั้น ทำให้คนที่ไม่เคยมาก่อนซึ่งเป็นส่วนใหญ่ตกใจมากพอดู เพราะการสัมภาษณ์ ไม่ได้มีการพูดเพราะเสนาะหูเท่าไรนัก มีการขู่ การตะโกนใส่หน้า สั่งให้ทำโน่นทำนี่ ที่เราไม่เคยได้รับมาก่อน เช่น มีบางคนถูกสั่งให้ยืนที่หน้าต่างของอาคารตัววายแล้วยื่นหน้าตะโกนลงไปบริเวณโดมด้านหลังว่า “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของคนตระโกนอยู่ที่โดมหรือไม่ เพราะถ้าอยู่ก็คงจะตกใจตามไปด้วยเหมือนกัน บางคนก็ถูกสั่งให้เต้นระบำ บางทีก็มียึดพื้นบ้าง รายงานตัวบ้าง ซึ่งตระโกนจนหูจะแตกแต่นายทหารที่สัมภาษณ์บอกว่าไม่ได้ยินสียยังงั้นแหละ การกระทำดังกล่าวของผู้สัมภาษณ์ที่ผ่านเข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้นสามารถเข้าใจได้ในเวลาต่อมา ก็เพราะทุกคนจะต้องเจอเหตุการณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้ตลอดเวลาเพื่อให้มีความอดทน อดกลั้น มีวินัย ใจเย็น และเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังบัญชาในอนาคตนั่นเอง
การประกาศผลรอบสุดท้ายของโรงเรียนเตรียมทหารประมาณเมษายน 2521 ผมกับเพี่อนที่มาด้วยกันและผ่านรอบแรกด้วยก็เดินทางไปดูผลที่หน้าโรงเรียนเตรียมทหารที่ติดประกาศบนกระดานที่ต่างกับปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีอินเตอร์เนทที่ทำให้อยู่ที่ไหนในโลกแลละสามารถต่ออินเตอร์เนทได้ก็สามารถดูผลได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาที่โรงเรียน เมื่อตรวจดูรายชื่อแล้วปรากฏว่ามีชื่อผมผ่านโดยที่เพื่อนไม่ผ่านก็เลยทำให้ผมต้องรักษามารยาทที่จะไม่แสดงความดีอกดีใจออกมามากแม้ว่าผลการประกาศผลนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ผมจึงได้แต่ปลอบใจเพื่อนผมว่าปีหน้ายังมีโอกาสกลับไปเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เพชรบุรีก่อนแล้วมาสอบก็ยังไม่สาย
สำหรับเพื่อนผมคนนี้นั้นบทสรุปของชีวิตในเวลาต่อมามิได้เป็นความโชคร้ายเลย เท่าที่ผมเดานั้นเขาคงตกเพราะร่างกายเล็กไปก็เป็นได้ เพราะผมเองก็เป็นคนตัวไม่ใหญ่มากนักแต่เพื่อนผมกลับเล็กกว่าผมอีก เพื่อนผมคนนี้ในปีต่อมาก็มาสอบอีกแต่ก็เป็นเช่นเดิมคือ สอบผ่านรอบแรกแต่ตกรอบสอง กลับไปเรียนต่อ ม.ศ. 5 และเมื่อจบได้เปลี่ยนใจไปสอบเข้าเป็นนักเรียนแพทย์กองทัพบก และสอบเข้าได้ปัจจุบันได้พันเอกไปหลายปีแล้ว คงกำลังรอเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่งอยู่ ที่ผมเอามาเล่าแทรกก็เพื่อจะบอกว่าคนเรานั้นวิถีชีวิตมีขึ้นมีลงสิ่งที่เรามุ่งมั่นเราอาจจะไม่ได้อย่างใจนึกแต่ถ้าเรามั่นคงไม่ท้อแท้ท้อถอยทำร้ายตนเองแล้วสิ่งที่อาจจะดีกว่าที่เราไม่คาดคิดจะมาหาเราสักวันดังนั้นถ้าใครผ่านอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเองอับอายท้อแท้ก็ขอให้ดูเพื่อนผมเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นกำลังใจไว้
กลับมาเรื่องนักเรียนเตรียมทหารต่อ หลังจากที่ผมทราบผลของเตรียมทหารแล้วก็กลับไปบอกพ่อแม่ก่อน และต่อมาก็ทราบเพิ่มเติมว่าผมผ่านรอบสุดท้ายของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเช่นเดียวกัน ซึ่งการสัมภาษณ์นั้นต่างกันราวกับฟ้าและดินกับที่โรงเรียนเตรียมทหาร อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเลือกของผมนั้นไม่ยุ่งยากมากนักเพราะใจผมชอบที่จะเป็นทหารอยู่แล้ว อาจจะเป็นการเป็นเด็กผู้ชายที่ชอบโลดโผนโจนทะยานเป็นทุนรวมทั้งชอบความมีระเบียบวินัยการเสียสละตอนที่เป็นลูกเสือวิสามัญหรือที่เรียกว่าลูกเสือซีเนียร์ที่ผมผ่านการฝึกอบรมมาตอนอยู่ ม.ศ. 2 และ 3 ซึ่งการเป็นลูกเสือดังกล่าวนั้นจำลองรูปแบบบางอย่างมาจากทหารเช่นเดียวกัน เช่น การเดินทางไกล การพักแรม การบำเพ็ญตนเป็นคนดี รวมทั้งเหตุผลอื่น ๆ เช่น การเรียนที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียนมากนัก จบมาแล้วมีงานทำ และเป็นนายร้อยทหารหรือนายร้อยตำรวจที่ดูแล้วเท่ย์มีอำนาจ ก็ทำให้ผมเลือกที่จะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการทำสัญญามอบตัวซึ่งต้องหาข้าราชการระดับ 4 ขึ้นไปมาเป็นคนค้ำประกันและต้องหาผู้ปกครองมาดำเนินการในวันการมอบตัวผมเองก็นับว่าโชคดีหน่อยที่ลูกป้าเป็นทหารอากาศอยู่ที่ดอนเมืองมาเป็นผู้ค้ำประกันให้และลูกป้าอีกคนที่ผมไปพักอยู่ด้วยมาเป็นผู้ปกครองให้ซึ่งแม่กับป้าทั้งหลายก็มีความใกล้ชิดกันพึ่งพากันไปกันมาโดยตลอด และครั้งนี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณอีกครั้งหนึ่งที่ผมเป็นฝ่ายรับและได้ตอบแทนกันกลับไปกลับมาในเวลาต่อมาแม้ว่าลูกป้าที่เป็นผู้ปกครองจะอายุสั้นเสียชีวิตไปเมื่อ 3 - 4 ปีก่อน ขณะที่อายุ ห้าสิบกว่าปี แต่การช่วยเหลือกันก็ยังคงมีและทำให้มีความสนิทแนบแน่นกันเป็นอย่างดีไปอีกแบบ การมอบตัวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีการรับชุดนักเรียนใหม่ที่วัดไว้ในวันประกาศผลรอบรองและรองเท้า รวมทั้งให้เขียนเจตนารมย์ว่าต้องการจะเป็นทหารอะไรเพราะในปีนั้นยังไม่มีการแบ่งเหล่าตอนสอบเข้าเหมือนเช่นปัจจุบันแต่จะมาเลือกเหล่าตอนใกล้จะจบปี 2
ดังนั้นจึงมีการสอบถามขั้นต้นคิดว่าเพื่อเอาไปเป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาอะไรบางประการซึ่งในตอนนั้นผมก็เลือกที่จะเป็นทหารอากาศลำดับแรกเนื่องจากคิดว่าอยากขึ้นเครื่องบินแบบลูกป้าที่เป็นทหารอากาศได้ขึ้นบ้าง จากนั้นก็กลับไปบ้านที่เพชรบุรีด้วยความภาคภูมิใจในความสามารถตนเพราะนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของจังหวัดเพชรบุรีในปีนั้นนั้นมีคนสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้เพียงสองคนเท่านั้น ผมจึงอารมย์ดีและอิ่มเอิบใจ รอคอยเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันที่สุดแสนจะบรรยายแบบว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเจอจะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองในไม่อีกกี่วันข้างหน้า
--------------------------------------------------------------------------
Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต
อ่านเรื่องราวอื่น ๆ
-
อาทิตย์อัสดง ที่แหลมพรหมเทพ ภูเก็ต เมื่อ 2 - 3 เดือนก่อน จากการสนทนาภายในไลน์กลุ่มเพื่อน ๆ นักเรียนนายร้อยที่เกษียณกันหมดแล้ว ผม...







.png)









