31 มกราคม 2566

ชมรมฅนแกร่ง ค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจาน (ทหารดอทคอม 17 ก.ค.55)


       “จะไปไหนครับ" เสียงที่ออกอาการไม่สบอารมณ์นักของ ผบ.กองรักษาการณ์ค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจานถามผมที่ยืนคร่อมมอเตอร์ไซค์คาวาซากิหม้อน้ำสีแดงขาวรุ่นแรก ที่จอดอยู่ปากทางเข้าประตูค่าย ตามคำสั่งให้จอดของเจ้าหน้าที่พลทหารกองรักษาการณ์

       "จะมาพบ ผบ.ค่ายครับ" ผมในชุดวอร์มสีแดงของศูนย์การทหารราบเปิดกระจกกันลมของหมวกกันน็อกแบบเต็มใบสีแดงที่สวมอยู่ตอบกลับไป

    "ผบ.ค่ายคนเก่าไปเรียนเสธ ผบ.ค่ายคนใหม่ ยังไม่มารายงานตัว วันนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าจะมาพบ รอง ผบ. ที่ทำการแทน ให้มาใหม่วันจันทร์นะ" ว่าแล้วก็หันหลังกลับจะเดินเข้าไปที่กองรักษาการณ์ โดยคาดว่าผมจะหันหัวมอเตอร์ไซด์กลับไปทางเดิมที่มา

        แต่การณ์กลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ ก่อนที่ผมจะลดกระจกหน้าหมวกกันน็อกกลับลงมาปิดเช่นเดิม ผมบอกว่า "ผบ.ค่ายคนใหม่มาแล้ว และสั่งให้ผมเข้าไปหาเดี๋ยวนี้" ว่าแล้วผมก็บิดคันเร่งมอเตอร์ไซด์ วิ่งผ่านอาคารกองรักษาการณ์ไปตามถนนท่ามกลางเสียงตะโกนส่งวิทยุไอค่อมระหว่าง ผบ.กองรักษาการณ์กับนายทหารเวรเสียงดังลั่น ผมขับมอเตอร์ไซด์ผ่านสามแยกหน้าหมวดฝึก ร้านค้า แล้วเลี้ยวขวาผ่านหมวดบริการด้านซ้ายไปจอดอยู่หน้าเสาธงอาคารกองบังคับการ กองพันฝึกรบพิเศษที่ 1 ค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจาน ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2535 หน่วยนี้อยู่ในแผนการปรับลดกำลังของกองทัพบกเป็นระดับขั้นตามห้วงเวลา โดยขั้นแรกปรับลดขนาดลงเหลือเป็นกองร้อยแต่ยังคงฝ่ายอำนวยการครบทั้ง 4 ฝ่าย ซึ่งขั้นต่อไปกำลังเตรียมตัวจะปิดอย่างถาวรในเวลาอีกไม่นานนัก

        ผมก้าวลงจากเบาะมอเตอร์ไซด์แล้วตั้งขาตั้งรถ ยังไม่ทันที่จะถอดหมวกและปลดเป้ที่ผมชอบแบกติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง มอเตอร์ไซด์ของจ่ายุทธพล นายทหารเวรประจำวันของค่ายก็เข้ามาจอดเทียบด้านข้าง แล้วนายทหารเวรรีบลงจากรถยกมือทำวันทยหัตถ์แล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจว่า "ไม่ทราบว่าท่านคือ ผบ.ค่ายคนใหม่หรือเปล่าครับ" ผมวางหมวกกันน็อกลงบนกระจกมองหลังของมอเตอร์ไซด์ พยักหน้าตอบรับแล้วบอกว่า "เห็นคนที่เขาสั่งให้ผมมา บอกผมมาว่าอย่างนั้นเหมือนกัน"

        ก่อนหน้านั้นสักหนึ่งเดือน ขณะที่ผมทำหน้าที่นายทหารยุทธการและการฝึกหลักสูตรส่งทางอากาศ แผนกจู่โจมและส่งทางอากาศ โรงเรียนทหารราบ ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ ผมได้รับการติดต่อจากฮาด เพื่อนรักที่ตอนนั้นเป็นผู้บังคับกองร้อยกองบังคับการ กองทัพภาคที่1 ว่าพี่หน่องที่อยู่กองกำลังพลให้หาคนมาเป็น ผู้บังคับกองร้อยฝึกการรบพิเศษที่ 1 ที่แก่งกระจาน เพราะ ผบ.ท่านเดิมไปเข้าเรียนเสธ.แล้ว ซึ่งฮาดได้คุยกับกวางและโจ้ที่ทำงานอยู่ใน บก.กองทัพภาคที่ 1 แล้วนึกถึงผม ก็เลยคิดว่าน่าจะลองสอบถามความสมัครใจผมดูว่าพร้อมจะไปทำหน้าที่นี้หรือไม่ โดยแจ้งเตือนว่า การมาคุมค่ายที่กำลังจะปิดตัวลงหรือเรียกว่าแพกำลังจะแตกนั้น คงจะต้องเหนื่อยเอาเรื่อง ซึ่งหลาย ๆ คนที่เคยมีการติดต่อทาบทามให้มารับตำแหน่งนี้มาก่อนนั้น มักบอกว่าขอคิดดูก่อนแล้วก็หายไปเลย

        ผมเองในขณะนั้นแม้ว่าจะเป็นคนท่ายาง ซึ่งแก่งกระจานเคยเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอ และเคยได้ยินลูกพี่ลูกน้องเล่าให้ฟังถึง ผบ.ค่ายแก่งกระจานท่านที่สองที่สนิทสนมกับคนท่ายางค่อนข้างมากตั้งแต่เริ่มก่อตั้งค่ายฝึกในปี 2519 แต่ผมเองไม่เคยเข้าไปในค่ายนี้มาก่อนเลยในชีวิต หลังจากได้รับข้อเสนอจากฮาด ผมมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่ก็ตอบผ่านทางโทรศัพท์ไปว่าอีกสองวันผมจะให้คำตอบขอเวลาไปเรียนผู้บังคับบัญชาก่อน จากนั้นผมก็หาโอกาสว่างจากการฝึกเข้าพบหัวหน้าแผนกแจ้งความประสงค์ว่าจะขอย้าย หัวหน้าแผนกก็บอกว่าจะย้ายไปไหนเพราะทราบว่าผมยังคอยทุนไปเรียนชั้นนายพันทหารราบที่สหรัฐอยู่หลังจากสหรัฐระงับการสนับสนุนการทุนชั่วคราวจากกรณีรัฐประหาร (รสช.) ตั้งแต่ กุมภาพันธ์34

        ผมตอบกลับไปว่า การรอไปเรียนสหรัฐนั้น รอมาปีกว่ามาแล้วก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะได้ไป ความไม่แน่นอนสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วผมก็ใช้ทุนตามระเบียบของ ศูนย์การทหารราบ ที่ไปเรียนชั้นนายร้อยทหารราบสหรัฐมาก่อนหน้านี้ครบแล้ว จึงอยากจะลองไปทดสอบความสามารถอื่นตามที่โอกาสมีให้บ้าง หัวหน้าแผนกจึงอนุมัติให้ผมย้ายได้ ผมเองกล่าวขอบคุณในความกรุณาและเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ทำการฝึกหลักสูตรส่งทางอากาศที่รับผิดชอบจนจบวันสุดท้าย ที่ปิดหลักสูตรในวันพุธ โดยทิ้งทวนกระโดดร่มเหิรเวหาเกาะหมู่ของชมรม "ฅนทะลุเมฆ" ที่ตั้งมากับมือเป็นการสั่งลา จากนั้น ผมใช้เวลาสองวันราชการที่เหลือในการเคลียร์ข้าวของการฝึกส่งคืนเข้าคลังและเก็บของส่วนตัวออกจากบ้านพักที่ ศูนย์การทหารราบ ไปเก็บไว้ที่บ้านท่ายาง แล้วส่งคืนบ้านพัก ศูนย์การทหารราบ ให้คนอื่นได้เข้าอยู่ต่อไป ผมยังจำได้ดีถึงบรรยากาศยามเย็นของวันศุกร์สุดท้ายของผมที่จะเป็นอาจารย์แผนกจู่โจมและส่งทางอากาศ ที่มาอยู่ตั้งแต่ 1 เมษายน 2533 ตามคำชวนของพี่ดนัย

        สองปีกว่าที่ผ่านมา ผมผ่านการร่วมฝึกจู่โจมและส่งทางอากาศไปหลายรุ่น แม้ว่าก่อนหน้านั้น ผมจะไม่เคยคิดว่าจะต้องมากระโดดร่มแบบเหิรเวหา แต่สุดท้ายต้องมาเป็นหัวหน้าชมรมเอง ในวันนั้น วันสุดท้ายของการเป็นอาจารย์โรงเรียนทหารราบของผม ผมมายืนอยู่มุขกลางของอาคารแผนกจู่โจมแล้วมองไปยังท้องฟ้าทางทิศเหนือ มองเห็นเมฆที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นที่แยกแสงสะท้อนออกเป็นสีรุ้งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออันเป็นทิศเดียวกับที่ตั้งของค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจาน ผมบอกลูกน้องที่มาช่วยเก็บของส่วนตัวออกจากห้องที่เคยนั่งว่า "แปลกดีนะที่เมฆเป็นสีรุ้ง พรุ่งนี้วันหยุด อาจารย์ว่าจะขี่รถไปดูแถวนั้นสักหน่อย ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นได้ และหวังว่าคงจะเจออะไรที่สนุกและตื่นเต้นแน่ ๆ" ครูนายสิบที่มาช่วยผมเก็บของฟังด้วยความงง ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร อาจจะเป็นเพราะเขารู้แต่เพียงว่าผมกำลังจะย้ายจาก ศูนย์การทหารราบ แต่คงไม่ทราบว่าผมจะไปที่ใด

            วันเสาร์รุ่งขึ้นผมได้มายืนที่หน้า บก.พัน ค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจานแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือ จ่ายุทธพล กำลังพลคนแรกของค่ายที่ผมจำได้ จ่ายุทธพลบอกว่า "กะแล้วเชียวว่าต้องเป็น ผบ. พวกเรารอมาหลายวันแล้วครับ" จากนั้นก็พาผมดูสถานที่ทำงาน สถานที่ฝึก บ้านพัก ผมดูได้สักพักหนึ่งก็บอกจ่ายุทธพลว่า วันนี้ผมคงเริ่มทำงานไม่ทันแล้ว คงต้องเป็นวันพรุ่งนี้ ยังไงถ้ามีรถขนของให้ผมสักคันก็จะดีเพราะผมจะได้ไปขนของส่วนตัวที่บ้านท่ายาง มาจัดเข้าที่ให้เสร็จในคืนนี้ วันอาทิตย์พรุ่งนี้ผมจะได้ไม่ต้องกังวลว่าของจะไม่พร้อม" จ่ายุทธพลตอบคำเดียวว่า "ครับ" จากนั้นก็ประสานกับทางโรงรถพร้อมพลทหารให้ผมนำทางไปขนของที่บ้านตามที่ผมต้องการ

        สิ่งที่ผมเห็นว่าต้องดำเนินการเป็นลำดับแรก คือ การสร้างความรู้สึกรับผิดชอบ มั่นใจ ให้แก่กำลังพลของค่าย ในภาวะที่ต่างคนต่างต้องคิดถึงตนเองว่าจะทำอย่างไรดีต่ออนาคตของตนเอง หากมีคำสั่งปิดค่ายมาถึง โดยที่ยังคงมีงานตามหน้าที่และการสั่งการเพิ่มเติมจากหน่วยเหนือ รวมทั้งงานเสริมของหน่วยงานข้างเคียงซึ่งร้องขอการสนับสนุนเข้ามาอย่างไม่ขาดระยะ

            ในวันอาทิตย์รุ่งขึ้น ผมเริ่มต้นสิ่งแรกด้วยการวิ่งไปตามซอกตามมุมทั้งในค่ายและรอบ ๆ ค่ายเพื่อสังเกตการณ์และประเมินค่า สิ่งที่เห็นชัดคล้ายกันคือ อาคาร บ้านพัก สิ่งของต่าง ๆ อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ไม่มีใครมาใส่ใจนัก เดาว่าทุกคนคงเตรียมตัวเตรียมใจต่อวันปิดค่าย การสร้างวัตถุสิ่งก่อสร้างใหม่ หรือซ่อมแซมคงอาจจะเป็นการสูญงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสิ่งนี้ที่กำลังเกิดขึ้นและเลวร้ายลงเรื่อย ๆ หากผมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้ว อนาคตของค่ายคงต้องยุบอย่างแน่นอน เมื่อมีหน่วยงานประเมินผลมาตรวจเขาคงไม่ต้องคิดนานเมื่อเห็นสภาพเช่นนั้น ซึ่งคงเป็นเช่นเดียวกับ คนป่วยที่อาการหนักแล้วไม่คิดสู้ หมอที่มาตรวจก็คงต้องไปเลือกรักษาคนป่วยที่มีโอกาสรอดมากกว่า ฉันใดก็ฉันนั้น หน้าที่เร่งด่วนของผมคือ การทำให้คนป่วยใกล้ตายฮึดสู้ และเชื่อว่าตนเองต้องรอดให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

        หลังจากศึกษาข้อมูลได้สองสามวันจากฝ่ายอำนวยการ ทราบว่ารองแม่ทัพภาคจะมาเป็นประธานพิธีปิดหลักสูตรพลแม่นปืนในอีกไม่กี่วัน ซึ่ง นายทหารยุทธการและการฝึกได้อธิบายขั้นตอนและการเตรียมการให้ทราบ ผมฟังแล้วถามว่าอาคาร บก. ที่ชำรุดทรุดโทรมที่รองแม่ทัพจะเข้ามาพักคอยจะทำอย่างไร เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่าคงไม่เป็นไรเพราะที่ผ่านมารองแม่ทัพท่านนี้มาบ่อย แล้วก็ไม่เห็นว่าอะไร อีกอย่างหนึ่งหากจะทำให้ดีขึ้นต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีงบประมาณใด ๆ สั่งจ่ายมาเลย ผมฟังจบแล้วบอกว่าเอาอย่างงี้ ต้องการเท่าไรเพื่อพัฒนา บก.พัน ให้สวยงามสมศักดิ์ศรีบอกผมมา ผมจะรับหน้าที่นี้เอง โดยผมต้องการให้ล้างหลังคาที่ดำจากคราบเชื้อราให้กลับมาขาวสะอาด ทำความสะอาดจัดระเบียบห้องรับรอง ห้องประชุม และห้องฝ่ายอำนวยการทุกห้องให้เรียบร้อย ทาสีอาคารใหม่หมด จะระดมคนทำให้แล้วเสร็จภายในสามวันได้หรือไม่ ที่ประชุมเงียบตามมารยาทและที่เคยเป็น ผมเลยบอกว่า "เอาเป็นว่าลองทำก่อน ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น ขอให้ทำให้เต็มที่ ผมจะช่วยด้วย พรุ่งนี้เป็นต้นไป กำลังพลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฝึกให้แต่งชุดโยธาพร้อมอุปกรณ์มารวมแถว"

        สามวันต่อมาพร้อมเพิ่มโอเวอร์ไทม์ กำลังพลที่ผมสั่งพร้อมตัวผมได้ออกมามะรุมมะตุ้มขัดสีฉวีวรรณอาคาร บก.พันที่สร้างมาประมาณ 15 ปี ให้ใหม่เอี่ยมอ่องไฉไลเหมือนของใหม่เป็นที่แปลกตาของกำลังพลที่บรรจุมาตั้งแต่ยุคแรกตั้งอีกครั้ง หลังจากพิธีปิดการฝึกผ่านไป พร้อมกับคำชื่นชมจากรองแม่ทัพภาคและพี่ไก่รองผู้อำนวยการกองยุทธการ ถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของอาคาร บก.พัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เน้นย้ำและยืนยันในสิ่งที่ผมเชื่อว่ากำลังพลของหน่วยสามารถทำได้ทุกอย่างหากต้องการจะทำ จากนั้นเป็นต้นมา โครงการต่างๆ จากการคิดวางแผนร่วมกันของกำลังพลหลักในค่ายโดยมีผมเป็นผู้เบิกทาง ประกอบกับคำแนะนำในการพัฒนาค่ายของผู้บังคับบัญชาก็ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด โดยได้เปลี่ยนจากสิ่งที่เคยเป็นแค่เพียงความคิด นามธรรม ให้เป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในเวลาอันสั้น ซึ่งได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

    การพัฒนาขวัญกำลังใจด้วยการ ได้แก่ การปรับปรุงอาหารการกินของพลทหาร/สิบเวร /กำลังพลนอกหน่อยและเยาวชนที่เข้ามารับการฝึกให้มีคุณภาพและน่ารับประทาน การผลักดันให้กำลังพลมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติหน้าที่ได้เลื่อนยศเลื่อนขั้น การฟื้นฟูการทดสอบกำลังใจของกำลังพล การแสดงตัวอย่างการว่ายน้ำข้ามแก่งกระจาน การนำกำลังพลปีนไปปักธงบนยอดเขาหน้าเขื่อนแก่งกระจานที่ไม่เคยมีมาก่อน การตั้งชมรมฅนแกร่งเพื่อสร้างความเป็นผู้นำ การตั้งชมรมเหิรเวหา "ฅนทะลุเมฆแก่งกระจาน" การนำกำลังพลเดินเท้าจากค่ายไปพักแรมที่ยอดเขาพะเนินทุ่ง

    การพัฒนาการฝึก อันได้แก่ การพัฒนาเครื่องช่วยฝึกให้ปลอดภัยสำหรับกำลังพลต่างหน่วยและเยาวชนที่มาเข้าค่าย การกระโดดร่มเหิรเวหาร่วมกับชมรมเหิรเวหาของ ศูนย์การทหารราบ การส่งกำลังพลเข้าคัดตัวยิงปืนอาเซียนในระดับ กองทัพภาคที่ การจัดหน่วยฝึกร่วมการต่อต้านการก่อการร้ายกับ ฉก.90 การเสนอตัวเพื่อเข้าฝึกร่วมกับหน่วยรบพิเศษออสเตรเลีย

        การพัฒนาวัตถุและสถานที่ ได้แก่ การสร้างร้านค้าใหม่แบบถาวร การซ่อมแซมทาสีอาคารโรงเรือน และบ้านพักกำลังพล การสร้างป้ายรายชื่อผู้บังคับหน่วยถาวร การจัดหาอุปกรณ์ทำความสะอาดทุกชนิดเพื่อให้พื้นที่ทุกซอกทุกมุมของค่ายสะอาดร่มรื่น การจัดเตรียมสถานที่รองรับการมาเยือนของบุคคลระดับ VVIP ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติตั้งแต่ก่อตั้งค่ายมา และยังเป็นกำลังหลักที่ช่วยนำทางไปยังต้นน้ำเพชรบุรี การซ่อมยานยนต์ของกองพันที่จอดตายซากจำนวนมากให้สามารถใช้งานได้ทุกคัน

        การสวัสดิการ ได้แก่ การจัดกำลังพลและครอบครัวไปเที่ยวพัทยา พลทหารไปเที่ยวเขาวังและสวนสน การตัดเครื่องแบบให้กำลังพลนายทหารนายสิบ ชุดวอร์มให้ภรรยากำลังพล แถมชุดโดดร่มเหิรเวหาให้ชมรมแก่งกระจานพ่วงแถมให้ชมรมที่ค่ายธนะรัชต์ การจัดหาโต๊ะและอุปกรณ์ตัดผมให้แต่ละหมวด การควบคุมสัตว์ดุร้ายภายในค่ายที่ถูกปล่อยปะละเลยมานาน การทำแหวนที่ระลึกให้แก่นายทหารนายสิบ การช่วยเหลือการเดินทางของกำลังพลระหว่างบ้านพักที่เพชรบุรีและค่าย การตั้งกองทุนจากกำไรค่าประกอบอาหารของทหารและค่ายพักแรมทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาค่ายและสร้างขวัญกำลังใจให้กำลังพลและครอบครัว รวมถึงพลทหาร

        สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งไม่อาจบอกได้ว่าสร้างความสุขหรือความทุกข์ให้แก่กำลังพลและครอบครัวมากน้อยเพียงใด แต่ที่แน่ ๆ คือ มันได้สร้างความพร้อมให้แก่ทุกคนที่จะตอบปัญหาที่มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าหรือไม่ที่จะมีค่ายฝึกการรบพิเศษต่อไปในเมื่อภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ได้สิ้นสุดลงเมื่อห้าปีที่ผ่านมา เมื่อการดำเนินการทั้งวัตถุและจิตใจของกำลังพลมีความพร้อมในระดับหนึ่งแล้ว ผมก็เดินเข้าหาหน่วยงานตามสายการบังคับบัญชาและหน่วยงานพลเรือนไม่ว่าจะเป็นจังหวัด กิ่งอำเภอแก่งกระจาน ป่าไม้ อุทยาน ชลประทาน รวมทั้งหน่วยงานข้างเคียง ให้เข้ามาดูและเยี่ยมชมการพัฒนาทั้งสถานที่และวัตถุภายในค่ายและสภาพจิตใจของกำลังพลที่บัดนี้ได้เปลี่ยนจากจิตใจของผู้ป่วยอาการตรีทูตเป็นนักสู้ที่ใจเกินร้อยอีกครั้งหนึ่ง อันจะเป็นการทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกันถึงความสำคัญในการคงอยู่ที่เป็นประโยชน์ของค่ายการฝึกรบพิเศษแห่งนี้และช่วยนำไปบอกต่อให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสได้รับรู้ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ปรับลดกำลังของกองทัพบก

        30 กันยายน 2537 เป็นวันสุดท้ายของการทำงานของผมในฐานะ ผบ.ร้อยฝึกการรบพิเศษที่ 1 และ ผบ.ค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจาน ก่อนวันรุ่งขึ้นที่ผมจะเดินทางไปรายงานตัวเข้าเรียนหลักสูตรหลักประจำของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ผมจัดการประชุมเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อมอบหน้าที่และกองทุนที่ตั้งไว้ที่เหลือทั้งหมดให้แก่ผู้รับหน้าที่ชั่วคราวคนต่อไป และตามสไตล์ของผมคือ ให้ที่ติดต่อได้ตลอดเวลาหากมีปัญหาที่เกิดจากผม โดยย้ำว่าแม้ว่าผมจะย้ายไปแล้วก็ไม่ต้องเกรงใจที่จะแจ้งผมผมจะยังคงรับผิดชอบผลจากสิ่งที่ผมทำเต็มที่เช่นเดิม
        หลังจากปิดการประชุม ผมเดินออกจากห้องเพื่อจะมาขึ้นรถหน้าอาคาร บก.พัน ตั้งท่าจะกลับ แต่ก็ต้องแปลกใจ เพราะที่หน้าเสาธงกำลังพลทั้งหมดของค่ายและครอบครัวได้มาเข้าแถวยืนรวมกันเพื่ออำลากันเป็นครั้งสุดท้าย พี่สาวหลาย ๆ คนที่เป็นภรรยานายทหารที่อายุมากกว่าผมสักสิบปีมีน้ำคลอเบ้าตา เข้ามาจับมือผมและบอกว่าในชีวิตนี้คงหาผู้บังคับบัญชาที่เหมือนผมไม่ได้อีกแล้ว จากนั้นนายทหารของหน่วยได้เชิญให้ผมขึ้นแท่นรับการเคารพและอ่านคำสดุดีกล่าวอำลา แล้วสร้างเซอร์ไพรซ์เล็ก ๆ ให้แก่ผมเพิ่มเติมโดยนำโล่ที่พวกเขาเก็บเงินกันคนละเล็กละน้อย โดยแอบจัดทำไม่ให้ผมรู้มอบให้ผม ซึ่งคำที่จารึกสั้น ๆ บนโล่นั้นทำให้ผมบอกกับตนเองว่า "วันนี้วันที่ผมจบภารกิจที่ได้รับมาและกำลังจากสถานที่แห่งนี้ไปในอีกไม่กี่อึดใจนี้ ผมคงไม่สามารถนำสิ่งของที่ผมนำมาเมื่อวันแรกกลับไปได้หมดเสียแล้ว เพราะผมคงต้องทิ้งหัวใจฝากไว้ที่นี่ตลอดไป"

        ผมรับโล่มาด้วยความตื้นตันใจแล้วกล่าวตอบขอบคุณทุกคน ก่อนนำมันบรรจงใส่เป้หลังคู่ใจอย่างทะนุถนอม แล้วลงจากแท่นเพื่อมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คาวาซากิสตาร์ทเครื่อง ปิดหน้าหมวกกันน็อกลงแล้วหันหน้ามาโบกมือลากำลังพลและครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะบิดเร่งเครื่องขับกลับออกจากค่ายสวนเส้นทางเดิมที่เคยขับเข้ามาเมื่อเกือบสองปีก่อน
--------------------------------
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

หน้าที่ เกียรติยศ ประเทศชาติ และความรักของทหารดอทคอม (ทหารดอทคอม 13 ก.พ.49)


        “น้องเมฆ พ่อไปไหน วันนี้วันสำคัญทำไมพ่อไม่มาล่ะ” ประโยคนี้มักจะเป็นคำถามของคนที่ไม่คุ้นเคยหรือเพื่อน ๆ ของลูกชายตัวดีอายุสี่ขวบของผมซึ่งมักจะเอ่ยปากถามเสมอเมื่อถึงวันสำคัญ ๆ เช่น วันปีใหม่ หรือวันเกิดของเขาเอง ที่แทบที่จะไม่เคยมีผมปรากฏตัวอยู่ร่วมด้วยสักครั้งเดียว “พ่อไปปราบผู้ร้ายที่ใต้” ก็จะเป็นประโยคที่ตอบโดยอัตโนมัติจากปากของเขาที่มักทำให้คนที่ถามหรือคนรอบข้างนิ่งไปสักพัก และไม่ทันที่จะถามอะไรต่อก่อนที่ลูกผมจะวิ่งเล่นต่อไป

        ผมเองตั้งแต่เป็นนักเรียนทหารมาตั้งแต้ปี 2521 มักไม่ให้ความสำคัญต่อวันไหน ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดของตัวเอง วันหยุดที่สำคัญ จนผมแต่งงานก็ไม่เคยที่จะทำอะไรเป็นพิเศษในวันรอบรอบวันเกิดของภรรยา วันเกิดของลูก ๆ หรือวันครบรอบแต่งงาน รวมทั้งวันสำคัญหวานแหววของคนทั่วไป เช่น วันแห่งความรักที่ฝรั่งเขากำหนดขึ้นมา ซึ่งภรรยาผมทราบดีตั้งแต่รู้จักกันมาเมื่อปี 2528 เพราะกว่ายี่สิบปีที่รักกันมาเขาไม่เคยได้รับ ดอกไม้สักดอกจากผมในวันนี้ และภรรยาผมจะทราบดีว่าเมื่อประเทศชาติต้องการตัวผมไม่ว่าความรักระหว่างเราและรักที่เรามีต่อลูกทั้งสามคนจะมากมายเพียงใด เขาจะรู้โดยทันทีว่าเขาจะเป็นคนที่สองที่จะรู้หลังจากที่ผมตัดสินใจและรับคำต่อผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานในอันที่จะไปรับใช้ชาติเสมอ ดังนั้น เมื่อถึงวันพิเศษใด ๆ ของคนอื่นก็จะเป็นแค่เพียงเช่นวันธรรมดาของเราอีกวันหนึ่งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้แปลกใจ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีเนื่องจากในปีต่อไปจะได้ไม่มีใครมาตั้งตาคอยแล้วผิดหวังเป็นสองเท่าเมื่อไม่มีอะไรมาดังที่หวัง และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความหวังนั้นจะกดดันผมจนทำให้ผมไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบให้ดีที่สุดได้


            ผมจำได้ดีว่าลูกสาวคนแรกของผมเกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2541 เขาเกิดได้สามวันก็ออกจากโรงพยาบาลมาพักที่บ้านเพื่อให้แม่ยายช่วยดูแลภรรยาผมและลูกอ่อน เพราะผมต้องเก็บข้าวของเดินทางไปร่วมการฝึกคอบร้าโกล์ด 98 ที่กองพลทหารราบที่ 9 เมืองกาญจนบุรี ความรับผิดชอบของผมคือ เป็นเจ้าหน้าที่หลักของส่วนการข่าวที่ส่วนใหญ่จัดมาจาก ทน.1 การฝึกจะเป็นการทำงานและการฝึกปัญหาจำลองสถานการณ์การรบร่วมผสมกับกองทัพสหรัฐฯ แบบต่อเนื่อง คืนหนึ่งหลังจากฝึกได้สามสี่วันผมก็ออกไปหาอาหารมื้อดึกในตัวเมืองกาญจน์กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ช่วยนายทหารฝ่ายกิจการพลเรือนของกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งเป็นเจ้าภาพอำนวยความสะดวกในการจัดการฝึก ระหว่างรออาหารผมก็ถือโอกาสโทรไปหาภรรยาเพื่อสอบถามถึงลูก เธอรับสายแล้วก็ร้องไห้ก่อนจะบอกว่าเมื่อเช้าลูกร้องไห้มากและตลอดเวลาโดยไม่กินอะไรเลยจนเธอต้องนำกลับมาโรงพยาบาลอีก หลังจากเข้ารับการตรวจหมอบอกว่าตัวและตาลูกเหลืองมากจากอาการของจีซิกส์พีดี ทำให้กินอะไรไม่ได้ และต้องให้ลูกกลับมานอนที่โรงพยาบาลเพื่อให้อาหารทางสายน้ำเกลือและอยู่ในกระโจมอบแสง ตอนนี้เธอนั่งเฝ้าลูกที่นอนหลับอยู่ในกระโจมอบแสงที่โรงพยาบาล และเธอยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้นเมื่อบอกว่าในห้วงที่ผ่านมาข้อมือและแขนของลูกพรุนไปหมดแล้วจากการที่เจ้าหน้าที่เจาะหาเส้นเลือดเพื่อจะให้น้ำเกลือไม่เจอเพราะลูกยังเล็กมาก ต้องเจาะแล้วเจาะอีกจนเส้นเลือดโดยรอบแตกจนแขนเขียวคล้ำไปหมด ทำให้ต้องเจาะหาเส้นเลือดบริเวณหลังมือและที่ข้อเท้าแทน

        ความรู้สึกผมตอนนั้นเหมือนโลกหยุดหมุน ทำไมภรรยาผมไม่ยอมบอกผมตั้งแต่ตอนเช้า วันเวลาที่เรารู้จักกันมาคงทำให้เธอรู้ดีว่าผมมีความมุ่งมั่นในการทำงานและความรับผิดชอบที่ได้รับมอบ ซึ่งเธอคงเตรียมพร้อมที่จะต้องยืนหยัดทั้งใจและกายที่จะเผชิญปัญหาอยู่เบื้องหลังเพื่อให้ผมทำในสิ่งที่ผมเชื่อมั่นมาตลอดชีวิต ผมพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะแต่มันเหมือนเป็นเวลาที่นานแสนนาน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อไป ภรรยาผมที่รู้จักและรู้ใจผมมากว่าสิบสามปีก็พูดกลับมาว่า "พี่ไม่ต้องห่วงหรอกทำหน้าที่ฝึกให้เต็มที่ แหม่มอยู่ทางนี้จะเฝ้าลูกไม่ให้เป็นอันตราย" น้ำตาของลูกผู้ชายล้นเอ่อดวงตา นี่ผมกำลังทำอะไรกับภรรยาที่แสนดีและลูกคนแรกอายุเจ็ดวันของผม งานการฝึกที่ผมสมัครมาเองมันสำคัญกว่าชีวิตครอบครัวผมขนาดนั้นเชียวหรือ ใจผมลังเล สับสน ว้าวุ่น ก่อนจะบอกภรรยาผมกลับไปว่า "รอหน่อยพี่จะกลับไปหาคืนนี้เลยขับรถจากเมืองกาญจน์ไปกรุงเทพ ฯ คงไม่เกินสองชั่วโมง" แต่ทว่าเธอได้ตอบกลับมาว่า "แหม่มดูลูกได้ไม่ต้องห่วง" และเน้นย้ำว่าอย่ากลับมาเพราะกลางคืนขับรถมันอันตราย ให้รอพรุ่งนี้ถ้าลูกไม่ดีขึ้นจะโทรไปบอกให้กลับมา แต่ผมก็ไม่ได้กลับจนวันสุดท้ายของการฝึกเพราะอาการของลูกผมค่อย ๆ ดีขึ้นจนกลับบ้านได้ก่อนผมฝึกจบ

        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นผมเองไม่ได้บอกหัวหน้าเสนาธิการร่วม/ผสมที่ 2 (ข่าวกรอง) ของผมหรือเพื่อนร่วมงานอื่นที่รับการฝึกด้วยกัน ผมยังก้มหน้าก้มตาปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบและช่วยเหลืองานของหัวหน้าจนครบสิบสองวัน โดยวันสุดท้ายที่ปิดการฝึกผมก็ขอตัวกลับมาก่อนที่จะมีงานเลี้ยง แล้วก็เป็นเรื่องแปลกที่ผมขอเล่าเพิ่มหน่อยก็คือ หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวผมเองก็ไม่เคยเจอหัวหน้า เสนาธิการร่วม/ผสมที่ 2 ผมอีกเลยจนเวลาผ่านไปห้าปี (ปี 2546) ผมเองก็ระหกระเหินไปหลายที่และมาลงอยู่ที่ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก ซึ่งกำลังจะต่อสัญญาการทำงานเป็นปีที่สอง ตอนนั้นผมทราบว่าผมเองคงมีโอกาสน้อยที่จะได้ทำงานที่สหประชาชาติต่อ เพราะทราบว่ากระแสการเข้าใจผิดคิดว่าการมาทำงานที่สหประชาชาติของผมเป็นโควต้าที่กองทัพบกได้รับจัดสรร ซึ่งทำให้หลาย ๆ คนคิดว่าถ้าผมไม่ได้ต่ออายุการทำงานและเดินทางกลับนายทหารท่านอื่นจะมีโอกาสเดินทางมาแทนได้ ซึ่งกระแสนี้แรงมากและทำให้การต่ออายุการทำงานของผมที่สหประชาชาติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่แล้วก็เหมือนฟ้าบันดาลที่อดีตหัวหน้า เสนาธิการร่วม/ผสมที่2 ที่ผมทำงานให้กับท่านในช่วงการฝึกคอบร้าโกลด์ 98 ปี 2541 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยงานที่กองทัพบกของผมพอดีและท่านมีความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงได้สั่งการอนุญาตให้ผมทำงานต่อที่สหประชาชาติอีกหนึ่งปี ซึ่งผมบอกกับภรรยาผมว่าความเสียสละของเธอเมื่อห้าปีก่อนมันตามมาตอบแทนครอบครัวเราแล้วในวันนี้


            เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันมาเกิดกับครอบครัวผมอีกสองสามครั้งหลังจากการร่วมฝึกคอบร้าโกลด์ 98 ก็คือ ในเดือน กันยายน 2542 เกิดเหตุการณ์การก่อความไม่สงบที่ติมอร์ตะวันออก ตอนนั้นลูกสาวคนที่สองของผมอายุได้หกเดือน และลูกสาวคนแรกผมอายุได้ขวบกว่า กองทัพบกได้รับมอบภารกิจส่งกำลังทหารเข้าไปร่วมปฏิบัติการที่ติมอร์ตะวันออกในฐานะเป็นตัวแทนของชาติที่เป็นประธานอาเซียนในปีนั้น โดยกองกำลังที่ว่านั้นต้องการกำลังพลฝ่ายเสนาธิการที่มีประสบการณ์เรื่องการข่าวและมีความรู้ด้านภาษา และสมัครใจที่จะทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายข่าวของกองกำลังทหารบกไทย/ติมอร์ ในห้วงเวลานั้นภาพข่าวโดยเฉพาะซีเอ็นเอ็นที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์มีความรุนแรงมาก จึงทำให้ไม่มีใครสมัครใจเข้าร่วมกับกองกำลังมากนัก ซึ่งท่านคงเดาได้ว่าผมต้องไม่ใช่คนในกลุ่มนี้แน่นอน เหตุการณ์เช่นนี้ผมจะขาดได้อย่างไร หลังจากที่ผมได้รับการคัดเลือกให้ไปทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองของกองกำลังทหารบก ไทย/ติมอร์ ผลัดที่ 1 เป็นที่แน่นอนแล้ว ก็กลับมาบอกภรรยาผมก่อนการเดินทางไปยังดินแดนที่น้อยคนจะรู้จักและมีอันตรายสูงไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งเธอก็แต่นิ่งอึ้งแล้วบอกว่า “พี่ไปทำหน้าที่ของทหารและทำเพื่อประเทศชาติ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พี่ต้องการด้วย พี่ต้องโชคดี พระต้องคุ้มครอง แหม่มจะดูแลตัวเองและลูก ๆให้ดีที่สุด แล้วจะรอวันที่พี่กลับมา ” แล้วผมก็จากภรรยาและลูก ๆ


        ผมและทหารไทยอีกประมาณพันคนได้ช่วยกันสร้างความสงบและสันติภาพในดินแดนติมอร์ตะวันออกจนครบสิบเดือนซึ่งเป็นไปตามสิ่งที่ประเทศชาติต้องการ แต่การไปปฏิบัติภารกิจของผมที่ลูกผู้ชายชาติทหารต้องการมีประทับในประวัติตนเองสักครั้งหนึ่งนั้น ทำให้ผมต้องย้ายออกที่ทำงานเดิมซึ่งผมรักและอยู่นานที่สุดอย่างถาวร และส่งผลให้ภรรยาของผมและลูก ๆ ต้องย้ายออกจากบ้านพักหน่วยกลับไปตั้งหลักอยู่บ้านพ่อตาแม่ยายหลังจากผมก้าวเท้าลงบนแผ่นดินติมอร์ตะวันออกไม่กี่วัน สิ่งที่ผมจำได้ดีในวันที่ผมเดินทางกลับมาประเทศไทยคือ ภรรยาและลูก ๆ มายืนรอรับ และเธอไม่เคยปริปากบ่นถึงความลำบากที่ต้องดูแลลูกในช่วงที่ผมไม่อยู่ให้ผมได้ยินสักครั้งเดียว เธอและลูกสาวสองคนมายืนรอรับผมที่ริมสนามบินท่าอากาศยานทหาร มันช่างเป็นภาพที่ผมไม่อาจลืมได้จริง ๆ ภรรยาและลูกสองคนที่ยืนมองหาผมเช่นเดียวกับที่ผมมองหาเธอหลังจากลงเครื่องและเห็นเธอช่างสวยงามเหลือเกิน ภรรยาปล่อยให้ลูกสาวคนแรกเดินเข้ามากอดผม ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่ลูกสาวคนที่สองซึ่งอายุได้ขวบกว่าไม่ยอมเข้ามาใกล้และร้องไห้จ้าเมื่อผมเข้าไปอุ้ม เธอคงไม่รู้ว่าหรอกว่าผมคือใคร


        เหตุการณ์ท้ายสุดที่เกิดซ้ำก็คือหลังจากที่ผมกลับมาจากนิวยอร์กเมื่อปลาย กรกฎาคม 2548 ก็กลับมาทำงานที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้สองเดือน ประมาณกลางเดือนกันยายน 2548 ผมจำภาพได้ดีว่าวันนั้นหลังจากที่มีการประชุมบรรยายสรุปสถานการณ์ประจำวันตามปกติเสร็จเรียบร้อย ซึ่งผมมาทราบภายหลังว่าในการประชุมวันนั้น ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบกมีนโยบายให้รองเจ้ากรมฝ่ายเสนาธิการเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการของกองบัญชาการกองทัพบกอีกฝ่ายละ 4 – 6 นายไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นตลอดเวลาโดยล่าสุดที่ร้ายแรงมาก คือ เหตุการณ์ที่สองนาวิกโยธินโดนทารุณกรรมจนเสียชีวิตที่บ้านตันหยงลิมอ ต่อด้วยจุดตรวจทหารพรานถูกโจมตีและเสียชีวิต 5 นาย วันนั้นเวลาประมาณเก้าโมงเช้ากว่า ๆ รองเจ้ากรมยุทธการทหารบก ที่เมื่อหกปีก่อนเป็นตอนที่เป็นผู้อำนวยการกองและทำหน้าที่หัวหน้าทีมจากกองทัพบกในการตรวจภูมิประเทศที่ติมอร์ตะวันออกที่ผมติดคณะไปด้วย ได้เดินออกมาจากห้องประชุมหลังจากการประชุมจบมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามผมที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่ติดกับห้องประชุมและด้วยใบหน้าและน้ำเสียงจริงจังแล้วพูดเบา ๆ กับผมว่า “เบน ไปทำงานที่ใต้กับพี่ไหม ” ผมเองไม่รอช้ารีบตอบสวนไปทันทีว่า “ไปครับ” แล้วก็คิดในใจว่า “แหมพี่นึกว่าจะไม่ชวนผมเสียแล้ว ” ผมคิดว่ารองเจ้ากรมท่านคงตกใจที่ได้รับคำตอบจากผมเร็วปานนั้นก็เลยพูดอะไรไม่ออก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของท่านได้มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาก่อนจะลุกเดินออกไปจากโต๊ะผม


        หลังจากนั้นผมเองก็เริ่มกลุ้มใจว่าจะบอกกับภรรยาผมยังไงดีเพราะพึ่งกลับมาจากอเมริกาที่ไปอยู่มาสามปีได้ไม่ถึงสองเดือน บ้านก็ยังไม่มีจะอยู่ต้องมาอาศัยแออัดยัดทะนานอยู่กับบ้านทาวเฮ้าส์ของพ่อตาแม่ยายกันทั้งครอบครัวซึ่งตอนนี้มีเจ้าเมฆ ลูกชายอายุสามขวบกว่าเพิ่มมาอีกคนเป็นห้าคนนอนอยู่ในห้องที่ท่านกรุณาแบ่งให้ขนาดกว้างยาวสามคูณสามเมตร ข้าวของที่ส่งกลับมาจากสหรัฐก็ยังแกะออกจากกล่องไม่หมด ก็ต้องมาเก็บของใส่กระเป๋าแยกย้ายกันอยู่อีกแล้ว ผมเองก็ยังไม่ได้บอกอะไรทันทีทันใดกับภรรยาผมเพราะยังไม่แน่ใจว่าพี่ ๆ จะให้ผมไปจริงหรือไม่ เนื่องจากผมเองไปอยู่นิวยอร์กมาสามปีอย่างที่บอก ความรู้เรื่องภาคใต้ก็เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปที่อ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งพี่ ๆ น้อง ๆ ฝ่ายเสธ.อีกหลายสิบคนที่ทำงานติดตามเรื่องราวมาโดยตลอดน่าจะมีความเหมาะสมกว่าผมอีกมาก


        จนปลายเดือนกันยายน หลังจากที่มีการเตรียมการกันมาโดยลำดับก็ค่อนข้างชัดเจนว่างานนี้ลงใต้แน่ ๆ โดยตกลงกันไว้ว่าไปทำงานขั้นต้นหกเดือนโดยมุ่งปรับพื้นฐานการทำงานระดับยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล รวมทั้งเข้าไปแก้ไขปัญหาสำคัญของหน่วยปฏิบัติ ประมาณวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ทางหน่วยได้กำหนดตัวบุคคลและวันเดินทางแน่นอนแล้ว ก่อนเข้านอนผมก็บอกภรรยาว่า “สงสัยที่ทำงานจะส่งให้พี่ไปทำงานที่ใต้นะ ” แฟนผมทำหน้าตกใจแล้วก็นิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ถามว่า “นี่สงสัยสมัครไปอีกแล้วละซิ ” ผมเองรีบตอบว่า “เปล่า ๆ ไม่ได้สมัคร พี่เขามาชวนก็เลยไปน่ะ ” แล้วก็ทำไก๋ติดตลกว่า “แล้วนี่จะห้ามพี่ไหม" แล้วก็สำทับว่า "นี่ถ้าพี่ไปสักหกเดือนลูกสามคนเลี้ยงไหวไหม ” ภรรยาผมก็ยิ้ม ๆ แล้วบอกว่า “ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยห้ามได้อยู่แล้ว พี่อยากไปก็ตามใจ แต่ระวังตัวด้วย เพราะถ้าเป็นอะไรขึ้นมา แหม่มคงไม่รู้จะอยู่กับใคร ”


        วันวาเลนไทน์ที่จะถึงในวันพรุ่งนี้ ที่ตัวผมเองยังคงปักหลักอยู่ที่ปัตตานีห่างจากภรรยากว่าพันกิโลเมตร ภรรยาผมคงไม่ได้รับของขวัญหรือดอกไม้ หรือบัตรอวยพรจากผมเหมือนกับที่ไม่เคยได้รับจากผมตั้งแต่รู้จักกันมา แต่จากความรักที่บริสุทธิ์ ความจริงใจที่ไม่เสื่อมคลาย และความเสียสละของเธอเพื่อให้ผมทำในสิ่งที่จิตวิญญาณของผมต้องการตลอดมาซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้ว สิ่งที่ผมอยากบอกให้เธอรู้ ณ วันนี้ก็คือ สิ่งที่เธอจะได้รับจากผมแน่นอนตลอดไปคือ ความรักที่มั่นคงซึ่งผมจะมอบให้เธอเพียงคนเดียวและจะไม่แบ่งปันให้คนอื่นอีกตลอดไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต
--------------------------------
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6 (ทหารดอทคอม 7 พ.ค.55)


        8 พฤษภาคม 2521 วันนี้ผมและเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนกว่า 700 นาย ได้ก้าวเข้าประตูรั้ว โรงเรียนเตรียมทหารที่เด็กหนุ่มนับหมื่นในแต่ละปีใฝ่ฝันที่จะเดินเข้ามาอย่างพวกเรา ในฐานะนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 21ผมเองกับเพื่อน ๆ อีกหลายร้อยนาย อายุเฉลี่ย 16 - 17 ปี และถ้าไม่คิดมากก็สามารถเรียกตัวเองว่าเด็กบ้านนอกก็น่าจะได้ เพราะมาจากต่างจังหวัดกันและพ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นตาสีตาสายายมียายมากันไม่น้อย วันนี้เป็นวันแรกของการเรียน ผมเองออกจากบ้านที่พักซึ่งอาศัยอยู่กับลูกป้าที่สุดซอยองครักษ์ บางกระบือ ตอนหกโมงเช้า นั่งรถสาย 55 จากถนนอำนวยสงครามไปต่อสาย 4 ที่สามย่าน จากการที่ทดลองนั่งมาแล้วคิดว่าคงถึงโรงเรียนไม่เกิน 7 โมงเช้าแล้วค่อยหาข้าวเช้ากินตามที่เคยเป็นนักเรียนมัธยม ต่อจากนั้นก็เดาว่าคงเป็นหน้าที่ของครูที่สอนหนังสือจะเอายังไงกันต่อก็คงไม่เป็นปัญหา

    การแต่งกายของผมในตอนนั้นเรียกว่าชุดนักเรียนใหม่ ตัดผมข้างสั้น ด้านบนยาวสัก 5 เซนติเมตร ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม เข็มขัดกากีแกมเขียวหัวเข็มขัดทองเหลือง รองเท้าหนังหุ้มส้นผูกเชือกสีดำ ถุงเท้าดำ กระเป๋าหิ้วสีดำแบบมีซอกข้าง เดินออกจากบ้านอย่างมีความสุข เมื่อไปถึงหน้าโรงเรียนก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติ เพราะเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่เข้าไปในโรงเรียนกันแล้ว แต่ยังไม่ไปถึงไหนคงอยู่หน้าอาคารเรียนที่เรียกว่าอาคารตัววายกันโดยเข้าแถวและมีรุ่นพี่ที่เป็นนักเรียนบังคับบัญชายืนสั่งการล้งเล้งอยู่หลายคน ผมก็ยังไม่คิดอะไรมากก็เดินเข้าไปสมทบ แล้วก็แปลกใจมากขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของเพื่อนที่เข้าแถวอยู่ก่อนหน้ามีลักษณะวิตกกังวลเป็นส่วนใหญ่โดยไม่พูดไม่จากัน

    ในวันแรกที่เข้าไปจะเป็นการชี้แจงการปฏิบัติที่พิลึกพิลั่นจากนายทหารปกครองและนักเรียนบังคับบัญชาแบบที่ไม่เคยคาดว่าจะมีแบบนี้กันมาก่อน เช่น การปฏิบัติตัวของพวกเราวันแรกทำผิดกันมากแต่วันนี้เป็นวันแรกจะยกโทษให้ก่อน วันพรุ่งนี้ให้ตัดผมที่ผมคิดว่าสั้นอยู่แล้วให้ด้านบนยาวไม่เกินครึ่งเซนติเมตรเรียกว่าใช้นิ้วสองนิ้วจับไม่ติด มาถึงโรงเรียนก่อนเวลา 05.15 น. โดยกินอาหารเช้ามาให้เรียบร้อยก่อนเข้าโรงเรียน เวลาออกนอกโรงเรียนต้องติดกระดุมคอเสื้อ เวลาเดินต้องเดินเป็นคู่เท้าพร้อมกัน ห้ามขึ้นลงรถหน้าโรงเรียน เวลาเจอรุ่นพี่ต้องหยุดแล้วม้วนกระเป๋ายกมือไหว้ คอยรถเมล์ให้ยืนเข้าแถวตามระเบียบพักนอกชายคา ขึ้นรถเมล์ให้ขึ้นด้านประตูหลังแล้วห้ามนั่ง ขัดรองเท้าให้ขัดส้นรองเท้าและพื้นด้านล่างของรองเท้าด้วย และอีกสารพัดสารพันแบบหมดปัญญาจำ

        ผมเองเป็นคนกินข้าวเช้าแต่จะมาวันนี้ละมั้งในชีวิตที่เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้กินข้าวเช้า ซึ่งเป็นการสอนบทเรียนให้กับชีวิตให้รู้จักเตรียมการและพร้อมต่อสิ่งที่คาดไม่ถึง ในตอนสายมีการแบ่งหมวดและกองร้อย และตอนเรียน ผมเองเขาจัดให้เป็นลำดับที่ 1 ของตอนหรือห้อง 6 ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตอนซึ่งมีความรับผิดชอบต่อตอนและเพื่อน ๆ ตาดำ ๆ ในตอนอีก 30 กว่าคน (หลังจากผ่านมาได้สักพักก็มาคิดตอนหลังว่าแค่เอาตัวเองให้ไปได้ตลอดรอดฝั่งยังแย่เลย มรึงยังมาให้กรูดูแลรับผิดชอบคนอีกสามสิบกว่าคนอีก) สำหรับในสายการปกครองเป็นหมวด 2 กองร้อยที่ 1 กองพันที่ 3 กรมนักเรียน โดยมีรายชื่อผู้บังคับบัญชาในสายการบังคับบัญชาและใกล้เคียงที่ต้องท่องจำให้ได้คือ ผู้หมวด ผู้กอง หัวหน้าหมวด หน้าหน้ากอง หัวหน้านักเรียน เท่าที่พอจะจำได้ตอนนี้ ก็มี นาวาอากาศเอกถาวร นาวาอากาศโทเฉลิมพล เรืออากาศเอกสถิตย์ เรืออากาศเอกสุธรรมพงษ์ ร้อยเอกประเสริฐศักดิ์ ร้อยตรีชัยกิจ ร้อยตรีณัฐกนิษฐ์ นักเรียนเตรียมทหารณรัชต์ นักเรียนเตรียมทหารณฤทธิ์ นักเรียนเตรียมทหารสมมาตร นักเรียนเตรียมทหารนิวัติ นักเรียนเตรียมทหารวัชรปราณี นักเรียนเตรียมทหารสุเทพ เป็นต้น

        วันแรกทางโรงเรียนปล่อยกลับบ้านไม่เย็นมากนักผมกลับไปก็รีบตัดผมก่อน ซึ่งเข้าไปนั่งรอที่ร้านตัดผมปากซอยช่างก็ไม่ยอมเรียกสักที จนต้องเดินไปถามว่าเมื่อไรจะถึงคิว เขามองหน้าคงนึกว่าผมพูดเล่นเพราะพึ่งตัดไปเมื่อสองวันก่อนผมก็สั้นแสนสั้นไม่รู้ว่าจะสั้นไปมากกว่านี้ได้ยังไง ผมก็บอกว่าเอาเฮอะน่าตัดให้เหลือครึ่งเซ็นพอ ช่างบอกว่าแบบนี้โกนหัวดีกว่ามั้ง ผมบอกว่าไม่ได้เอาแบบที่บอกนี่แหละ หลังจากตัดเสร็จก็ไปหาอาหารมาตุนก่อนกลับไปขัดรองเท้าแบบเติมน้ำและหัวเข็มขัดตามที่พึ่งได้รับการสอนเทคนิคการขัดมาวันนี้

        วันรุ่งขึ้นหลังจากวางแผนย้อนหลังที่ต้องให้ไปถึงหน้าโรงเรียนก่อนเวลา 05.15 น. ผมต้องตื่นตอนตี 4 ตั้งนาฬิกาปลุกแบบเข็มไขลานแล้วต้องทะลึ่งพรวดไม่นอนต่อแล้วค่อย ๆ ย่องออกจากที่นอนที่ปูกับพื้นและมุ้งหัวบันไดชั้นสองของบ้านด้วยความเกรงใจลูกป้า ลงมาล้างหน้าเข้าครัวแล้วทอดไข่ดาวในความมืดแล้วแปะลงไปในขนมปังแผ่นคู่ที่ทาด้วยน้ำพริกเผา พยายามกระเดือกกินให้ได้ 2 คู่ ตามด้วยน้ำในตู้เย็นให้คล่องคอขึ้นอีกหน่อย ก่อนอาบน้ำแต่งตัวให้แล้วเสร็จภายในเวลา 04.30 น. จากนั้นก็ไขประตูรั้วบ้านออกจากบ้านเดินออกมาปากซอยใช้เวลาสักสิบนาที เพื่อมารอขึ้นรถเมล์สาย 16 หน้าร้านน้อมจิตต์แทนสาย 55 เพราะสาย 55 ไปไม่ทัน มาเปลี่ยนรถที่หน้าสภากาชาดไทย อังรีดูนังค์ ไปถึงหน้าโรงเรียนเวลาตีห้าเศษ ๆ กะว่าไปถึงไม่มีใครแน่ แต่เดาผิดตามเคยเพราะมีเพื่อน ๆ มายืนตามระเบียบพักเข้าแถวหันหน้าสลอนส่วนใหญ่ยืนตัวแข็ง บางคนยุงกัดก็แอบเอามือมาลูบแขนไล่ยุงออกรวม ๆ แล้วนับสิบคน โดยมีรุ่นพี่ยืนอยู่หลังประตูรั้วคอยจ้องมองคนขยับตบยุงอยู่เพื่อที่จะเอามาเล่นงานตอนเปิดประตูเวลา 05.15 น.

        การปฏิบัติตัวของผมในสองสามสัปดาห์แรกเป็นที่น่าแปลกใจต่อตัวผมเป็นอย่างยิ่งเพราะทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่ว่าขนจมูกยาก หัวเข็มขัดด้านในไม่มัน ส้นรองเท้าไม่ขัด ถุงเท้ายาวไม่เท่ากัน จอนไม่กัน เสียงไม่ดัง ตบเท้าไม่เข้มแข็ง อกไม่ยืด บอกตรงไม่ทัน จำชื่อพี่ไม่ได้ ซอกกระเป๋ามีตั๋วรถเมล์ หน้าไม่ทันสมัย แถมด้วยความรับผิดชอบลูกตอนที่ผมต้องรับผิดชอบร่วมด้วยเวลาลูกตอนบอกพี่ ๆ ว่าหัวหน้าตอนยังไม่ได้บอกตามที่หัวหน้าหมวดสั่งมา เช่น พี่เขาฟ้องมาว่าเจอน้องกินน้ำเก๊กฮวยแต่หาตัวไม่เจอ รวมแถวช้า ฝึกไม่ได้เรื่อง วันหนึ่งหลายสิบรายการทั้งเช้าทั้งเย็น และเวลาฝึก ซึ่งการแก้ไขก็คือการทำโทษ ด้วยการยึดพื้น และงอเข่าครึ่งนั่ง (คล้าย ๆ สลับเข่า) รวม ๆ แล้ววันหนึ่งน่าจะเป็นพันครั้ง (รายการกอดคออบไอน้ำในตอนรายการเดียวก็งอเข่าสองสามร้อยครั้งแล้ว)

        และด้วยผมเป็นเด็กเพชรบุรี มาใหม่ ๆ ก็ยังพูดสำเนียงเพชรบุรีเช่นเดิม ซึ่งเวลารายงานตัวขออนุญาตผ่านผู้อาวุโสในโรงเรียน หรือเรียกแถวก็เป็นที่เฮฮาและขำกันทั้งนักเรียนบังคับบัญชาและลูกตอน บางครั้งอดกลั้นไม่อยู่ก็ทำให้ถูกแดกหรือถูกซ่อมแบบที่เรียกว่ารับผิดชอบร่วมกันเป็นพิเศษกว่าหมวดใกล้เคียง ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานให้แก่พี่ ๆ แต่พวกผมเหนื่อยกันเป็นประจำ และจากการเป็นหัวหน้าตอนและสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ หัวหน้าหมวด หัวหน้ากองมักคอยดึงตัวผมออกจากกลุ่มมาเป็นพิเศษด้วย เช่น ในตอนเช้าขนาดมาถึงโรงเรียนตีห้ากว่า แต่กว่าจะได้ถึงตอนเรียนที่ห่างจากประตูไม่ถึง 500 เมตร ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง คือ 7 โมงเช้า ตบฉากและงอเข่ากันอยู่นั่นเหละ กว่าจะผ่านท่อน้ำดับเพลิงข้างโรงพละที่มีหมวดแป๊ะเฝ้าอยู่ได้ก็เดินเป็ดรอบสระน้ำและเอากระเป๋าขัดหลังเดินตบฉากกันหลายรอบ อยากจะเป็นเวรประจำตอนแบบเพื่อน ๆ เพื่อเป็นบัตรผ่านทางด่วนก็ไม่มีเงินซื้อดอกไม้ และถ้าไม่รวมแถวตอนเจ็ดโมงเช้าคงตบเท้ากับเดินเป็ดไปเรื่อย ๆ ตอนเย็นก่อนออกจากประตูโรงเรียนพี่ ๆ นักเรียนบังคับบัญชาที่เป็นนักเรียนประจำซึ่งพักในโรงเรียน ก็มาคอยดักเล่นกับน้อง ๆ โดยเพื่อนผมคนอื่นเขาออกไปกันหมดแล้ว แต่ผมเองต้องแถมด้วยการถูกดึงตัวออกมาจากแถว มายึดพื้นอยู่หน้าประตูทางออกช่องเล็ก รอจนหกโมงเย็นจึงออกเป็นชุดสุดท้าย เพราะพี่ ๆ ต้องไปกินข้าวตามเวลาที่โรงเลี้ยงกำหนด เป็นต้น

        ผมเดินออกมาจากประตูเล็กของโรงเรียนเตรียมทหาร (เพื่อนบอกว่า ไม่น่าเรียกว่าโรงเรียนหรอกน่าจะเรียกว่า 'น..' (เติมเอาเอง) มากกว่า" แล้วมายืนคอยรถเมล์ตรงข้ามสวนลุมพินี กำเงินค่ารถเมล์บาทห้าสิบ ด้วยมือซ้ายที่ถือกระเป๋าไว้แน่นไม่ให้ตกโดยเฉพาะเวลาม้วนกระเป๋ายกมือไหว้รุ่นพี่ที่ผ่านมา เพราะถ้าตกแล้วอาจมีเรื่องได้ถ้าเก็บขึ้นมา จากนั้นก็นั่งรถเมล์ฝ่ารถติดสองต่อมาถึงบ้านประมาณสองทุ่ม ตอนลงรถเมล์แต่ละครั้งเหมือนธรณีสูบเพราะทั้งขาและเข่าอ่อนหมดแรงจากการงอเข่ามาทั้งวัน จะซื้อของติดเข้าไปกินก็ไม่ได้เพราะกลัวพี่เจอแล้วเอาไปฟ้อง สิ่งแรกเมื่อถึงบ้านก็ถอดเสื้อผ้าแล้วรีบย้อนออกไปร้านอาหารตามสั่งร้านลุงใกล้บ้านกินก่อนร้านปิดแล้วกลับมาขัดรองเท้าเครื่องหมาย

        เรื่องอ่านหนังสือที่เคยชอบเป็นชีวิตจิตใจก่อนเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารตอนนี้ลืมไปได้เลยไม่ต้องอ่านเพราะไม่อ่านก็ไม่ถูกแดก เอาเรื่องความเป็นความตายคือ ทำรองเท้าเครื่องหมายมันก่อน ขัดไปหลับไป เสร็จแล้วก็ซักเสื้อผ้าที่สกปรกทุกวัน แล้วก็รีดชุดใหม่ที่ตากค้างไว้ วันไหนแจ็คพ็อดมีแถมคัดชื่อพี่ ๆ บนกระดาษชำระ กว่าจะได้นอนก็เกือบห้าทุ่มโดยไม่ต้องข่มตาให้หลับเพราะไม่มีแรงจะลืมตาอยู่แล้ว จากนั้นก็เตรียมตัวตื่นตีสี่กันใหม่

        จำได้ว่าคืนหนึ่งด้วยความวิตกจริตนอนไปได้สักพักหนึ่งก็สะดุ้งตื่นดูนาฬิกา เห็นเข็มชี้เลข 5 กับเลข 11 คิดว่าตีห้าแล้ว แต่นาฬิกาเบี้ยวไม่ปลุกกระโดดพรวดจากที่นอนไม่ต้องกินและอาบน้ำแล้ว ไม่ฟังอีร้าคร่าอีลมแต่งตัวแล้วออกมายืนคอยรถเมล์เลย ใจก็คิดว่าวันนี้กรูซวยอีกแล้ว พอมาถึงป้ายรถเมล์เห็นคนเดินลงจากรถเมล์กันตรึมผิดกว่าทุกวัน ร้านรวงที่เคยปิดหลายร้านก็ยังเปิดขายอาหารกันอยู่ เอะใจเลยถามเวลาคนที่เดินไปมาอีกทีเพราะระเบียบไม่ให้นักเรียนใหม่ใส่นาฬิกาข้อมือ เวรเลยตูดันดูเข็มนาฬิกาสลับกัน จากเวลาจริง 23.25 นาฬิกา เป็น 4.55 นาฬิกา เลยต้องเดินกลับบ้านมานอนใหม่ ลูกป้าที่อยู่ด้วยตื่นมาพอดีเห็นตอนกลับมาแล้วก็งง ๆ ถามว่าเมื่อตอนค่ำเห็นกลับมารอบแล้วนี่ ผมเองได้แต่ยิ้ม ๆ แล้วก็ตอบว่า "ใช่แล้ว" ก่อนกลับไปกางมุ้งนอนใหม่อีกรอบ

        ในห้วงเดือนแรกที่เป็นนักเรียนใหม่นั้น ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การได้รับการฝึกความอดทนแบบทหารตั้งแต่อายุ 16 ปีกว่า ๆ ของผม ที่ต้องทำกันกลางแดด ผมและเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไม่เคยใส่รองเท้าหนังหรือรองเท้าคอมแบ็ทถูกรองเท้ากัดจนเลือดเปียกถุงเท้า บางคนทนไม่ได้ต้องถอดออกมาแขวนคอนั่งอยู่ข้างสนามฝึกคอยก้มลงกราบเวลาเพื่อนที่ฝึกวิ่งผ่านมา เวลาค่ำคืนที่มนุษย์ทั่วไปเขาพักผ่อนหลับฝันหวานกันอยู่แต่เราต้องอดหลับอดนอนกันเพื่อทำให้รองเท้ามันที่สุด

        "ใครทนไม่ได้ ลาออกไป" เป็นคำท้าทายที่มีให้ได้ยินเกือบทุกเวลา "ใครจะลาออกวะ ใครออกก็โง่แล้ว" ผมมักคิดอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม ก็มีเพื่อนหลายคนยอมแพ้ต่อสถานการณ์และหายไปจากกลุ่มเพื่อน ๆ และหมดสภาพการเป็นนักเรียนเตรียมทหารไป หลายคนที่น้ำตาไหลรินต่อสภาพกดดันที่ตนเองไม่เคยได้รับมาก่อน แต่สำหรับผมในตอนนั้น ความคิดของผมมีอยู่อย่างเดียวว่า "อย่าไปหวังพึ่งใคร ผมต้องฝ่าฟันไปให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมต้องอดทน อดกลั้น และใจเย็น แก้ปัญหาทุกอย่างที่มันเข้ามาให้ได้ ผมจะต้องไม่แพ้ ผมจะต้องไม่ล้ม ผมจะต้องเดินเข้าไปหาความยากลำบากและเอาชนะมันให้ได้"

        ผมเองไม่ทราบว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่มาจากท่ายางบ้านเกิดและสอบเข้าได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารคนเดียวของอำเภอในปี 2521 การที่ผมหลุดมาคนเดียวย่อมไม่มีใครเป็นเพื่อนคู่คิดทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหรือให้กำลังใจ และไม่มีใครช่วยผมได้หากผมตัดสินใจผิดพลาด ดังนั้น ผมจะต้องไม่ทำร้ายตนเองด้วยการลาออก หรือทำผิดระเบียบร้ายแรง ซึ่งนั่นจะเป็นการทำร้ายพ่อแม่คนที่ผมรักและบูชาที่สุดไปด้วย และสิ่งที่ผมจะต้องทำให้ได้คือ ผมจะต้องไม่ร้องไห้ให้คนอื่นเห็น แม้ว่าผมจะได้รับความกดดันหรือเจ็บช้ำน้ำใจจากการปฏิบัติหน้าที่ของพี่ ๆ ที่เขาได้รับมอบหมายความรับผิดชอบมา แม้ว่าความเจ็บใจของผมจะมีมากมายเพียงใดผมก็ต้องกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลให้ได้

        การเปิดเรียนในเดือนพฤษภาคมนับว่าเป็นโชคดีของผมเป็นอย่างมากเพราะเป็นเริ่มต้นของฤดูฝนที่ฝนตกหนักแทบทุกวัน และถ้าฝนตกหนักหลังจากหกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่ผมเดินออกจากประตูโรงเรียนด้วยเครื่องแบบที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเปียกโชกและกลิ่นอับเพื่อไปขึ้นรถเมล์ด้วยแล้วผมจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะในขณะที่ผมเดินฝ่าพายุที่พัดกระหน่ำและฝนที่ไหลเทลงมาดั่งฟ้ารั่วที่ทำให้ผมเปียกไปทั้งตัว โดยที่ผมไม่หลบหรือกางร่มเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งของพี่ ๆ ที่บอกว่า "นักเรียนเตรียมทหารไม่ใช่เกลือหรือน้ำตาลที่ละลายไปกับน้ำ" เวลาผมเดินผ่านคนที่ยืนกางร่มหรือหลบอยู่ใต้หลังคาที่คอยรถเมล์แล้ว เขาคงมิอาจรู้หรือแยกแยะได้ว่า น้ำที่อยู่บนใบหน้าและกำลังอาบแก้มผมอยู่นั้น มันเป็นน้ำฝนเป็นหรือน้ำตาของลูกผู้ชายกันแน่

        8 พฤษภาคม 2555 ฝนเริ่มตกแล้วอันเป็นสัญญาณการเข้าหน้าฝนเหมือนเมื่อ 34 ปีที่ผ่านมา โรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนของลูกผู้ชาย โรงเรียนที่สร้างสัมพันธภาพของเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 21 กว่า 700 นาย ได้อย่างยืนยาวและเหนียวแน่นกว่าโรงเรียนใด ๆ ของพวกเรายังคงอยู่ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนไปจากเดิมหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้ง ผู้บังคับบัญชา ครูอาจารย์ที่เกษียณไปกันหมด น้องใหม่ที่บางนายอาจจะเป็นลูก ๆ ของพวกเราบางคนที่แข่งขันกันเข้ามาเดินตามรอยเท้าพ่อหลังจากฟังเรื่องราวชีวิตสมัยนักเรียนของพ่อที่เล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก

        ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติของสรรพสิ่ง หากแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ผมและเพื่อนหลาย ๆ นาย รวมทั้งผมเชื่อว่าพี่ ๆ น้อง ๆ แต่ละรุ่นที่จบจากโรงเรียนแห่งนี้คิดและหวังที่จะให้มันคงอยู่และควรจะอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านานคู่กับโรงเรียนเตรียมทหาร ก็คือ โรงเรียนแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตนักสู้ที่ไม่มีวันยอมแพ้ต่อความลำบากและโชคชะตา แม้ในบางครั้งจะรู้ว่ารางวัลสุดท้ายที่ได้รับจากการต่อสู้นั้นคือ ความว่างเปล่า ความพ่ายแพ้หรือแม้แต่ความตาย
----------------------------------------

Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4”  พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต 

พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต (ทหารดอทคอม 11 พ.ค.55)


        28 กุมภาพันธุ์ 2521 ผมอายุได้ 16 ปีกับอีกเดือนกว่า และพึ่งจบการศึกษา ม.ศ.3 โดยสอบได้เป็นลำดับที่ 5 ของโรงเรียนพรหมานุสรณ์ฯ โรงเรียนชายประจำจังหวัดเพชรบุรี ที่สมัยนั้นการเฆี่ยนนักเรียนที่ประพฤติผิดหน้าเสาธงหลังเคารพธงชาติเป็นเรื่องปกติ เช้าวันนั้นผมยังจำความรู้สึกประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นว่านี่คือเดินทางออกจากอ้อมอกของพ่อแม่และบ้านเกิดที่ท่ายางเข้าสู่กรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรกโดยลำพัง

        ผมเดินทางด้วยรถประจำทาง บขส.สีส้มสาย 73 เพชรบุรี - กรุงเทพ มี สองประตู 20 หน้าต่าง ราคาค่าโดยสารถ้าแต่งชุดนักเรียนกางเกงขาสั้น 17 บาท แต่ต้องนั่งบนห้องเครื่องยนต์ข้างคนขับเพราะเสียครึ่งราคา เส้นทางจากเพชรบุรีผ่านถนนธนบุรี-ปากท่อ โดยถนนยังเป็นสองเลนวิ่งสวนกัน ผ่านดาวคะนอง ท่าพระ มาลงที่ขนส่งสายใต้สามแยกไฟฉาย แล้วต่อด้วยรถเมล์ค่าโดยสาร 1 บาท เพื่อมาพักที่บ้านญาติในซอยองครักษ์ จุดมุ่งหมายในการเข้ามากรุงเทพครั้งนั้นเพื่อลองสอบเตรียมทหารและเตรียมอุดมดู เผื่อว่าจะฟลุ้กกับเขาบ้าง โดยเฉพาะโรงเรียนเตรียมทหารมีคนบอกว่าค่าเรียนไม่แพง จบแล้วเข้าทำงานเลย โดยที่ตัวผมเองตอนนั้นก็ไม่รู้ว่างานที่ว่า คืองานอะไร

        ยุคนั้นข้าวแกงกรุงเทพข้างทางจานละสิบบาท ส้มตำปูกลางซอยที่ผมไม่เคยกินมาก่อนในชีวิตครกละห้าบาท สนามหลวงเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แหล่งขายหนังสือขนาดใหญ่อยู่ติดกับแม่พระธรณีบีบมวยผม หลังจากเรียนพิเศษจากวัดราชนัดดาเสร็จแล้วไปนั่งชมบรรยากาศแล้วเย็นใจเหมือนอยู่ที่ท่ายาง ห้างเจ๋งสุดต้องไทยไดมารู ตึกดุสิตธานีเป็นอาคารที่ไม่มีใครสูงเกิน ดาราหญิงที่ดังมากต้องจารุณี วงสตริงไทยต้องชาตรี วงนอกต้องบีจี รายการทีวีต้องกระบี่ไร้เทียมทาน

        ค่ากินค่าอยู่ ค่าเดินทางรวมสมัครสอบและเรียนพิเศษของผมที่พ่อแม่ให้มา จนเขาประกาศผลว่าสอบได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารและเตรียมอุดมรวมแล้วน่าจะสักสามพันบาท ความบันเทิงที่พอรับได้คือโรงหนังชั้นสองที่ฉายหนังสองเรื่องวนตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนค่าดูคนละยี่สิบบาทขาดตัวโรงหนังในดวงใจของผมคือนิวยอร์ก สะพานควาย การติดต่อกับทางบ้านเรื่องด่วนใช้โทรเลขกว่าจะรู้ก็ต้องหนึ่งวัน ถ้ามีเรื่องด่วนจี๋ใช้โทรศัพท์แบบจับเวลานาทีละเก้าบาทโทรกลับไปที่โทรศัพท์ที่ทั้งอำเภอมีเครื่องเดียวคนรับจะจดข้อความแล้วนำไปบอกให้พ่อแม่ทราบพร้อมกับเก็บเงินค่าบริการอีกต่อหนึ่ง

        เรียนเตรียมทหารสองปีใช้เงินนอกเหนือจากที่โรงเรียนเก็บ ซึ่งเป็นค่ากินค่าอยู่ข้าวของเครื่องใช้ที่บ้านญาติเดือนละพันบาท เข้าโรงเรียนนายร้อยแทบจะไม่รับเงินพ่อแม่เพราะกินอยู่ฟรีห้าปีไม่ต้องไปไหนไกลเพราะปีแรกถูกกักบริเวณจนถึงเดือนธันวาคม เลยมีเวลาอ่านหนังสือได้มากหน่อยปีต่อ ๆ ไป ทางโรงเรียนเลยให้เป็นหัวหน้าตอนแถมมีเงินเดือนหัวหน้าตอนอีกเดือนละ 620 บาท หักครึ่งแบ่งให้รองหัวหน้าตอน 100 บาท และซื้อของให้ลูกตอนแล้วยังเหลือ สามร้อยกว่าบาทพอเป็นค่ากีวี บรัสโซ สบู่และยาสีฟัน รวมความบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การไปดูหนังที่โรงหนังชั้น 2 แถวสะพานควาย

        การพัฒนาสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ทำด้วยการรับสอนหนังสือวิชาที่เพื่อนไม่เข้าใจโดยเฉพาะคนที่ได้เอ๊ฟและเข้าเวรเสาร์อาทิตย์และวันหยุดยาวให้ฟรี ซึงทำให้มีสิทธิกินข้าวทีโรงเลี้ยงได้อย่างเต็มภาคภูมิ การสร้างสังคมกับคนอื่น ๆ นอกเหนือจากเพื่อนร่วมรุ่นก็หาโอกาสสมัครเข้าชมรมที่เกี่ยวข้องกับสังคมภายนอก โดยวันหยุดปิดเทอมก็ไปฝึกอบรมเด็ก ๆ ด้อยโอกาสตามชุมชนแออัดในกรุงเทพ และเด็กตามโรงเรียนที่กันดารขาดแคลน ก็พอจะได้เพื่อนเพิ่มเติมและความสุขทางใจโดยไม่ต้องเสียเงินมากนัก

        ซึ่งเมื่อนับรวมค่าใช้จ่ายตั้งแต่ก่อนสอบเข้าเตรียมจนจบทำงานประมาณเจ็ดปีน่าจะใช้เงินที่ได้รับจากทางบ้านไปรวมแล้วไม่เกินสี่หมื่นบาท หากนำมาเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายการเรียนของเด็กจนถึงวัยรุ่นที่เรียนอยู่ปัจจุบันไม่ว่าจะอนุบาลหรือปริญญาตรีแล้ว ทำให้คิดว่าผมเองน่าจะแก่ไปมากแล้วหรือว่าโลกของเรามันหมุนเร็วไปหน่อย เพราะการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายแบบนี้มันช่างเหมือนกับที่แม่ผมเคยเปรียบเทียบชีวิตในวัยเด็กของท่านกับชีวิตของผมตอนเป็นเด็กจริง ๆ

        ที่แม่มักเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าตอนแม่เป็นเด็กประถม 4 ประมาณ พ.ศ.2480 ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 2 สตางค์ และก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นชามละ 3 สตางค์ ซึ่งถ้าแม่อยากกินก๋วยเตี๋ยวก็ต้องใช้เวลารวบรวมเงินอย่างน้อย 2 วัน ส่วนลูก ๆ ของผม 3 คนในปี พ.ศ.2555 เวลาจะสั่งอาหาร ด้วยการโทร 1112 หรือ 1150 ซึ่งหากมีรายได้แบบแม่ผมในยุค 2480 แล้วละก็ ลูกของผมคงต้องใช้เวลารวบรวมเงินค่าขนมเพื่อมากินพิซซ่าประมาณ 100 ปีเลยทีเดียว
-----------------------------------------------------------

Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4”  พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต 

พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย (ทหารดอทคอม 19 เม.ย.47)

 

วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2521 เป็นวันแรกไม่ใช่แต่ผมแต่เป็นวันแรกสำหรับชายหนุ่มกว่า 700 ชีวิต จากทั่วทุกแห่งหนของประเทศไทยที่ย่างเหยียบเข้ามาในโรงเรียนเตรียมทหารในฐานะที่เรียกทุกคนเรียกว่านักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 21 อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครั้งแรก ผมเองตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่งแต่งตัวในชุดนักเรียนใหม่ที่ได้รับแจกมาคือ กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน เสื้อแขนสั้นสีขาว รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำและถุงเท้าดำ คาดเข็มขัดสีเขียวหัวทองเหลืองตราของกองบัญชากการทหารสูงสุด และถือกระเป๋าหนังสีดำที่ได้รับจากโรงเรียนเช่นกัน โดยก่อนหน้านั้นวันสองวันได้ตัดผมทรงนักเรียนข้างขาวอย่างเรียบร้อย ออกจากบ้านที่ซอยองครักษ์ ประมาณ หกโมงเช้า ขึ้นรถตามแผนคือสาย 55 ที่ต้นสายอยู่บนถนนอำนวยสงคราม ไปลงที่สามย่านเพื่อต่อรถเมล์สายสี่ บริเวณตรงข้ามวัดหัวลำโพง แล้วต่อไปลงที่หน้าประตูหน้าโรงเรียนเตรียมทหาร โดยหวังว่าไปถึงประมาณสัก 7 โมงเช้า แล้วจะหาอะไรทานเป็นอาหารเช้าที่ร้านอาหารที่เคยมาทานในระหว่างการสอบ

 แต่พอลงจากรถก็เริ่มเห็นสิ่งผิดสังเกตเพราะคิดว่ามาถึงโรงเรียน 7 โมงเช้านี่ก็ถือว่าเช้ามากแล้ว แต่ปรากฏว่าผิดคาดเพราะเพื่อน ๆ จำนวนมากมาอยู่กันเต็มลานด้านหน้าขาวพรืดไปหมดแล้ว เมื่อลงมาพี่ ๆ ซึ่งต่อมาทราบว่าเขาเรียกว่านักเรียนบังคับบัญชาก็มายืนคอยตามรายทางเรียกให้มาเข้าแถวเพื่อเดินไปรวมกับเพื่อน ๆ ที่มาถึงก่อน สิ่งแรกที่จำได้ก็คือ ผมทำผิดตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงรถแล้วเพราะนักเรียนใหม่ไม่มีสิทธิที่จะลงรถหน้าโรงเรียนไม่ว่าจะมาด้วยรถเมล์ รถแท็กซี่หรือรถส่วนตัว จะต้องลงก่อนถึงรั้วของโรงเรียนแล้วเดินมา สำหรับผมก็คือบริเวณทางแยกถนนวิทยุกับพระราม 4 แต่เนื่องจากเป็นวันแรกความผิดนี้จึงยกให้ไม่ลงทัณฑ์ และความผิดที่ยังไม่ถือเป็นความผิดก็คือ ประตูหน้าไม่ใช่ประตูสำหรับนักเรียนใหม่ใช้ อ้าว ไม่ใช้ประตูนี้แล้วตูจะไปเข้าทางไหนหว่า ผมคิดในใจ แต่ก็ยังเฉยอยู่เพราะใจยังห่วงกินข้าวอยู่ ก็เลยทน ๆ เอา

 นักเรียนผู้บังคับบัญชาได้พาผมและเพื่อนใหม่ เดินแถวผ่านไปทางสระน้ำที่ผมว่ายตอนทดสอบ อ้อมผ่านร้านอาหารไปทางโรงพละศึกษา แล้วมาหยุดที่หน้าตึกตัวไอหรือตึกองบังคับการกรมนักเรียนเพื่อมาสมทบกับเพื่อน ๆ ที่มาก่อนหน้า ผมหันหลังให้สโมสรนายทหารและร้านอาหารที่หมายมั่นปั้นมือจะหาอาหารใส่ท้อง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ปล่อยให้กินข้าวสักที ไม่ปล่อยไม่เท่าไรยังพูดสั่งโน่นสั่งนี่ไปเรื่อย ว่ารองเท้าไม่มันบ้างทั้ง ๆ ที่ก็เอาแปรงขัดมาอย่างดี หัวเข็มขัดหมองบ้าง ผมยาวบ้าง ลักษณะท่าทางไม่ได้เรื่องบ้าง  จนเวลาเลยแปดโมงเช้าเห็นท่าว่าคงจะไม่ได้กินข้าวแน่แล้วก็เลยต้องตัดใจ และเพื่อน ๆ เริ่มทยอยมาจนใกล้ครบจำนวน นายทหารปกครองและนักเรียนบังคับบัญชาก็มาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน 

          หลังจากที่เพื่อนมากันเกือบหมดแล้วสิ่งแรก ๆ ที่ทำเป็นระบบก็คือ การจัดแบ่งตามตอนหรือทั่วไปเรียกว่าห้องเรียน แต่ที่โรงเรียนเตรียมทหารเขาเรียกว่าตอน นักเรียนเตรียมทหารรุ่นผมนับได้ว่าเป็นรุ่นที่มีจำนวนมากที่สุดเท่าที่ตั้งโรงเรียนเตรียมทหารมาเลยทีเดียว และครองแชมป์จำนวนมาก และไม่แน่ใจว่ารุ่นหลัง ๆ ที่มีการบังคับให้นักเรียนนายร้อยตำรวจทั้งหมดต้องมาเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารจะมีรุ่นไหนมีมากกว่ารุ่นของผมบ้าง รุ่นของผมนั้นรวมทั้งหมดแล้วมีประมาณ 700 กว่านาย เห็นจะได้ เท่าที่มีการเล่าต่อ  ๆ กันมาว่าถึงเหตุผลที่รุ่นผมมีมากที่สุดนั้น ว่ากันว่าเป็นความบังเอิญที่นายกรัฐมนตรีขณะนั้นมีลูกชายเข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 21 กับเขาด้วย ก็เลยส่งผลเบื้องต้นผลักดันให้มีจำนวนนักเรียนมากตามไปด้วยประการละฉะนี้ 

    เรียกว่ามากจนทางนายทหารปกครองพิจารณาแล้วว่าที่นอนที่เคยจัดให้นักเรียนเตรียมทหารที่มาจากต่างจังหวัดรุ่นก่อน ๆ ได้พักในโรงเรียนไม่พอทีเดียวก็เลยตัดปัญหาให้ทุกคนในรุ่นไปหาที่พักกันเอาเองนอกโรงเรียน ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจต่อบางส่วน แต่สำหรับผมก็ก่ำกึ่งเรียกว่าแบบไหนก็ได้เพราะแม้ว่าจะคิดว่าอยู่ที่นอนในโรงเรียนน่าจะสะดวกแต่ก็หวั่นว่ามันอาจจะไม่คุ้มที่จะอยู่ก็เป็นได้ เพราะในอาคารเดียวกันมีพี่ ๆ นอนร่วมอยู่ด้วยซึ่งแทนที่จะรู้สึกอบอุ่นกลับทำให้รู้สึกร้อนไปเลยทีเดียว

         การแบ่งตอนนั้นก็ทำด้วยการเรียกรายชื่อผมเองรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่ถูกเรียกเป็นคนที่ 6 ให้ออกมาจากใต้ถุนอาคารกรมนักเรียนให้มายืนคอยเพื่อน ซึ่งตามมาอีก 36 คน รวมผมด้วยก็ 37 คน ซึ่งมากกว่า 30 คนในตอนเดียวกันตัวใหญ่กว่าผมทั้งนั้น และหลังจากเรียกมาครบทุกคนแล้วก็รวมได้ 20 ตอนพอดีโดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่หรือต่อมาเรียกว่ากองพัน และแต่ละตอนก็เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหมวด ดังนั้นตอนของผมจึงเป็นตอนที่ 6 ของนักเรียนเตรียมทหารปีที่ 1 และในเวลาเดียวกันก็เป็น หมวด 3 กองร้อย 1 กองพันที่ 3 และเมื่อสิ้นสุดการแบ่งและให้เข้าแถวประจำที่ของแต่ละคนแล้วผมเองได้ยืนในตำแหน่งคนแรกสุดของตอน โดยได้รับทราบในเวลาต่อมาว่าทางโรงเรียนได้แต่งตั้งให้ผมเป็นหัวหน้าตอนที่ 6 ซึ่งผมเองก็งงเป็นอย่างมากว่าทำไมมาเอาผมเป็นหัวหน้า เพราะตัวก็เล็ก ไม่เคยเป็นนักเรียนนายสิบมาก่อนเหมือนเพื่อนบางคนในตอน หน้าตาก็สุดแสนจะบ้านนอกไม่รู้เรื่องอะไรมากนักเกี่ยวกับกรุงเทพเหมือนเด็กที่จบในกรุงเทพ หรือแม้แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทหารมาก่อนเลย

ซึ่งก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้เพราะเกรงว่าพูดไปอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองได้โดยไม่จำเป็น แล้วก็คิดว่าแม้ว่าเท่าที่เคยเป็นนักเรียนมาแม้ว่าไม่เคยเป็นหัวหน้าห้องเรียนมาก่อนในชีวิตแต่ก็เคยได้รับเลือกให้ชักธงชาติตอนประถมสี่และเป็นศิษย์เอกของครูสมัยประถมสองที่สามารถไปซื้อโอเลี้ยงให้ครูได้อย่างไม่ผิดพลาดก็น่าจะลองหน้าที่นี้ดูสักตั้ง ซึ่งต่อมาหน้าที่นี้แม้จะนำความเดือดร้อนมาให้ตนเองเป็นพิเศษแต่ก็มีความรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างมากเพราะมาทราบในภายหลังว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ผมได้รับการคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าตอนโดยที่ไม่ต้องลงคะแนนเสียงก็เพราะว่าคะแนนสอบของผมตอนสอบเข้าเตรียมทหารนั้นเป็นลำดับที่ 6 ของผู้สมัครทั้งหมื่นสามพันกว่าคน การจัดลำดับของทางโรงเรียนนั้นเขาจะเรียงจากคนที่ได้คะแนนที่ 1 ให้เป็นหัวหน้าตอน 1 เรียงไปจนถึงคนที่คะแนนลำดับที่ 20 เป็นหัวหน้าตอน 20 ซึ่งทุกคนจะเป็นหมายเลขแรกของแต่ละตอน สำหรับผู้ที่คะแนนเป็นลำดับที่ 21 ก็จะเรียงทบแบบงูก็คือเป็นลำดับที่ 2 ของตอน 20 ไล่ย้อนกลับไปมาจนถึงประมาณเลขที่ 30 ของแต่ละตอนจากนั้นประมาณ 6 – 7 คนสุดท้ายของตอนก็จะเป็นโควต้าของนักเรียนนายสิบ นักเรียนจ่าทหารเรือ นักเรียนจ่าทหารอากาศที่ได้รับการคัดเลือกจากแต่ละโรงเรียนให้มาเรียนเตรียมทหารตามโควต้าของแต่ละปี และก่อนจะจบตอนนี้นั้นผมขอโม้ต่อไปอีกหน่อยว่าปลายปี 2 ของรุ่นผมผู้ที่เป็นหัวหน้าตอนคนแรกตอนปี 1 ที่เลือกเหล่าทหารบกก็คืออดีตหัวหน้าตอนชั้น 1 ตอน 6 นั่นเองซึ่งคงจะเป็นใครที่ไหนไปไม่ได้อย่างแน่นอน 

          หลังจากการจัดแบ่งตอนและหมวดเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นการชี้แจงทั้งวัน การปฏิบัติตัวในวันต่อไปว่าจะต้องทำอย่างไร เวลามาโรงเรียน การแต่งกาย การขึ้นรถเมล์ การรอรถเมล์ การทำความเคารพ การเดินผ่านผู้ใหญ่ การรับประทานอาหารกลางวันที่ผมสุดแสนจะหิว การตัดผม การติดกระดุมคอ และอีกมากมายจนหมดปัญญาจะจำได้ รวมทั้งการแนะนำให้รู้จักอาจารย์ประจำตอน นายทหารปกครอง หลังจากนั้นตอนเย็นก็ปล่อยกลับบ้าน สิ่งแรกที่ผมกลับไปบ้านที่ทำก็คือไปร้านตัดผม เพื่อตัดผมซึ่งเจ้าของร้านก็ไม่ได้สนใจในตอนแรกเพราะผมของผมเองมันสั้นอยู่แล้วจนต้องสะกิดช่างว่าผมต้องการตัดผม โดยช่างมองหน้านึกว่าผมกวนจนผมบอกว่าต้องการตัดจริงๆ เอาแบบแทบติดหนังศีรษะเลยแต่ไม่ใช่การโกน 

หลังจากนั้นก็ไปหามาม่ากับขนมปังและแยม และน้ำพริกเผามาสะสมเป็นเสบียงสำหรับอาหารมื้อเช้าเพราะเท่าที่ประเมินดูแล้ว วันต่อไปถ้าไม่หาอะไรกินไปก่อนออกจากบ้านก็คงไม่ได้กินแน่จนถึงกลางวัน หลังจากนั้นก็หาอาหารเย็นกินก่อนที่จะมาตั้งหน้าตั้งตาขัดรองเท้าและเข็มขัดอย่างสามารถเพราะรองเท้าต้องขัดด้วยสำลีชุบน้ำผสมกีวีขัดทั้งหนัง เชือกร้อยรองเท้า และใต้พื้นรองเท้า สำหรับเข็มขัดก็ต้องถอดเอาเครื่องหมายออกจากหัวเข็มขัด เอามาลงบรัสโซขัดทั้งนอกทั้งในรวมทั้งหางเข็มขัดทองเหลือง ตามที่ได้รับคำสั่งมาจากหัวหน้าหมวดเมื่อตอนกลางวัน และเตรียมเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับการสั่งการมาไม่ว่าป้ายชื่อตนเอง ท่องชื่อผู้บังคับบัญชาต่าง ๆ ให้ขึ้นใจ ก่อนที่มุดมุ้งเข้านอนเอาแรงตอนห้าทุ่มเพื่อเตรียมตัวตื่นตีห้าในวันต่อไปที่ไม่รู้ว่าจะต้องผจญกับอะไรอีก

-------------------------------------------------------------------------- 

Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4”  พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต 

พ.ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย (ทหารดอทคอม 19 เม.ย.47)

 

การทดสอบร่างกายแบ่งออกประมาณ 4 – 5 สถานี ได้แก่ การดึงข้อ คนที่จะได้คะแนนเต็มน่าจะต้องดึงให้ได้ 15 ครั้งตามข้อกำหนด คือต้องเอาคางให้เลยคานที่จับ ขาชิดไม่ตะเกียกตะกายและต้องคว่ำมือดึงขึ้นไปพร้อมกัน ผมเองตอนเด็ก ๆ เคยเล่นบาร์คู่ตามรุ่นพี่ ๆ แถว ๆ บ้านอยู่บ้าง แม้ว่าจะค่อนข้างต่างกับการดึงข้อราวเดี่ยวพอสมควรแต่ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อยู่บ้าง ผมเองดึงได้ประมาณ 12 – 13 ที ซึ่งก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ สถานทีต่อมาก็เป็นการวิ่งซิกแซก ระยะทางไม่ไกลนักวิ่งไปกลับน่าจะไม่เกินร้อยเมตร นัยว่าจำลองการวิ่งมาจากทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีการขุดสนามเพาะเพื่อหลบกระสุนปืนใหญ่ ที่มีการระดมยิงมาและบังเอิญมันตกมาในสนามเพาะพอดีสะเก็ดระเบิดจะกระจายออกดังนั้นหลุมเพาะหรือสนามเพาะจึงต้องทำให้คดไปคดมา เพราะทหารที่อยู่ในสนามเพาะจะมีความเสี่ยงของสะเก็ดปืนใหญ่น้อยลงไป แต่ที่ต้องให้เอามาทดสอบการวิ่งนั้น ก็เพราะถ้าข้าศึกบุกเข้ามาในสนามเพาะที่ฝ่ายเราขุดอยู่หรือฝ่ายเราบุกข้ามเข้าไปในสนามเพาะของข้าศึกที่ขุดประจันหน้ากัน ก็มีความจำเป็นจะต้องวิ่งไล่สังหารกันส่วนที่ใครจะวิ่งไล่หรือวิ่งหนีนั้นก็สุดแล้วแต่สถานการณ์ 

แต่ที่สำคัญก็คือใครวิ่งได้เร็วกว่าคือผู้ที่อยู่รอด ดังนั้นการวิ่งแบบซิกแซกจึงมีความจำเป็นมากในการรบ ซึ่งได้มีการนำการวิ่งซิกแซกนี้มาใช้ในสงครามต่อ ๆ มาด้วยเพราะทหารที่ทำการรบบนพื้นดินก็ต้องวิ่งเข้าหาข้าศึกให้ถึงตัวหรือที่มั่นโดยที่ไม่ให้ข้าศึกที่ตั้งรับอยู่ยิงด้วยอาวุธปืนเล็กถูกก่อน จึงต้องวิ่งส่ายไปมาไม่ได้วิ่งเข้าไปตรง ๆ ในบางโอกาส สถานีนี้ผมไม่รู้ว่าผลออกมาดีหรือไม่เพราะวิ่งคนเดียวไม่มีอะไรเปรียบเทียบและไม่มีโอกาสได้ถามว่าเวลาที่ผมวิ่งได้เท่าไรและมาตรฐานทั่วไปเท่าไร รู้แต่ว่าเขาให้วิ่งก็วิ่งได้ไม่ติดขัดอะไร สถานีต่อมาก็เป็นการวิ่งระยะทางไกลที่สนามหญ้าหน้าตึกกองบังคับการกรมนักเรียนหรือที่เรียกว่าตึกตัวไอ เพราะเป็นแท่งยาว ผมเดาว่าชื่อที่เรียกนี้คงเรียกเลียนแบบตึกตัววายที่เป็นตึกกองบัญชาการหลักด้านหน้า ที่เรียกว่าตัววายก็เพราะตอนสร้างเขาสร้างเป็นตึกสามปีกมีความหมายถึงทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ซึ่งตำรวจน่าจะมาทีหลัง 

จากรูปทรงดังกล่าวที่มีการจำลองเป็นอาคารย่อส่วนเวลาคนมาเห็นก็ทำให้นึกถึงอักษรภาษาอังกฤษคือ วาย ก็เลยเรียก ซึ่งคนฟังคนเห็นดีด้วยก็เลยเรียกกันมา แล้วก็ทำให้มีการเรียกอาคารอื่น ๆ ในโรงเรียนเตรียมทหารเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตามมาอีกสองสามอาคาร เช่น อาคารตัวไอ และ อาคารตัวโอ สำหรับการวิ่งระยะทางนั้นผมจำไม่ได้แน่ว่าวิ่งเท่าไรแต่ไม่น่าเกิน 1,500 เมตร ซึ่งสำหรับผมซึ่งมาจากต่างจังหวัดและชอบวิ่งมาก่อน ไม่ว่าจะวิ่งเพราะเป็นนักมวย หรือวิ่ง 5,000 เมตรในการแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียนพรมานุสรณ์ จึงทำให้ผลการวิ่งสามารถเข้าเส้นชัยได้ในลำดับต้น ๆ ของกลุ่ม 

อีกสถานีหนึ่งซึ่งสบายมากแบบที่เล่ามาแล้วก็คือเรื่องการว่ายน้ำ 50 เมตร ตอนนั้นท่าว่ายน้ำของผมคงเป็นแบบที่เรียกว่าวัดวา ซึ่งเป็นลักษณะการว่ายเล่นในแม่น้ำเพชรหลังบ้านผมและคลองชลประทาน ที่ผมและเพื่อนมักจะหนีพ่อแม่ไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แก้ผ้าบ้าง โตขึ้นมาหน่อยก็ใส่ผ้าขาวม้ากระโดดสะพาน เล่นอีเถิดหรือไล่จับกันในน้ำ ซึ่งเล่นที่คลองชลประทานจะสนุกมากและได้เลือดจากการถูกคันคลองซึ่งเป็นปูนบาดมือและเท้าอยู่เสมอ และก็มีเด็กจมน้ำตายให้เป็นข่าวอยู่เนือง ๆ แต่พวกเราก็ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร เรียกว่าเอามันเข้าว่า ดังนั้นพอมีข่าวเด็กจมน้ำตายพวกพ่อแม่ก็จะมาห้ามเล่นน้ำและไล่ตีกันที สำหรับแม่น้ำเพชรนั้นช่วงหน้าน้ำหรือหน้าฝนเขื่อนแก่งกระจานก็จะปล่อยน้ำจำนวนมากเด็ก ๆ รุ่นผมก็จะหายางในรถสิบล้อ ที่เขาไม่ใช้งานแล้วมาสูบลมแล้วเอามาทำเป็นห่วงลอยกันในน้ำกัน พวกที่ไม่มีก็ว่ายน้ำไปขอเกาะบ้าง ว่ายไปเกาะเรือรับจ้างข้ามฝากบ้าง ดำผุดดำว่ายในแม่น้ำที่แดงไปด้วยดินและลึกหลายเมตรอย่างไม่รู้จักว่าตายเป็นอย่างไรนอกเหนือจากความคิดว่าสนุกอย่าบอกใครเชียว ปัจจุบันกลับไปเที่ยวบ้านก็ไม่เห็นมีเด็กเล่นน้ำแบบสมัยผมแล้ว คิดว่าคนคงปรับตัวให้เข้ากับระบบประปาจนชินและไม่เสียดายเงินกันแล้ว รวมทั้งการมีสระว่ายน้ำที่มีความปลอดภัยให้เล่นกันซึ่งหาได้ไม่ยากนัก ซึ่งก็มีผลดีเพราะไม่ค่อยได้ข่าวว่ามีเด็กจมน้ำตายเลยในยุคหลังนี้ก็ว่าได้ 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวผมเองเคยเกือบตายจากการเล่นน้ำมาอย่างน้อยสองครั้ง คือ เกือบโดนรถเหยียบตายตอนเอายางในรถไปเติมลมที่ปั๊มสามทหารเดิมแถวหนองกี้ และโดนผ้าปูที่นอนพันตัวเพราะพิเรนกระโดดลงไปในผ้าที่เอามาซักน้ำในแม่น้ำแต่ก็ดิ้นหลุดออกมาได้ แต่สิ่งที่ได้มาก็คือวิชาว่ายน้ำและดำน้ำ เรียกได้ว่าทำเป็นเองโดยไม่ต้องมีคนสอนและไม่เคยเสียเงินค่าว่ายน้ำมาจนอายุจะสามสิบปี รวมทั้งจำไม่ได้ว่าว่ายน้ำเป็นตั้งแต่อายุกี่ขวบ ดังนั้นพอมีการทดสอบการว่ายน้ำ ผมจึงเข้าเป็นคนแรกของกลุ่ม ซึ่งที่ผมว่ายน่าจะเรียกว่าฟรีสไตล์ตามความหมายพอได้เพราะเอาว่าว่ายไปถึง แต่คงไม่ใช่แบบที่เขาแข่งขันแน่ สำหรับการทดสอบอีกสองท่าที่ผมไม่แน่ใจว่าทดสอบในตอนนั้นด้วยไหมคือ ท่ายึดพื้น และงอเข่าครึ่งนั่ง การสอบร่างกายของผมก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย 

วันต่อมาก็เป็นการตรวจโรคและการสอบสัมภาษณ์ ผมจำไม่ได้แล้วว่าสอบวันเดียวกันหรือเปล่า แต่ที่จำได้ก็คือ ในการตรวจโรคมีท่าตรวจโรคที่ไม่เคยลืมเลยก็คือ การตรวจกามโรคและการตรวจริดสีดวงทวารหนัก เพราะผู้ตรวจสั่งให้แก้ผ้าเข้าแถวคอยเพื่อไม่ให้เสียเวลา ไอ้ผมเองก็เป็นหนุ่มบริสุทธิ์ไม่เคยต้องมือใครมาก่อน เรื่องแก้ผ้าต่อหน้าธารกำนัลนั้นก็ไม่เคยมาก่อนนับตั้งแต่เรียนประถมห้า ซึ่งหัดเริ่มใส่กางเกงใน อาบน้ำในห้องน้ำยังจำได้ว่ายังมีการใส่ผ้าขาวม้าอาบเนื่องจากติดมาจากการอาบน้ำในแม่น้ำและในสมัยพ่อแม่ซึ่งไม่มีห้องอาบน้ำและระบบประปาทุกคนก็ต้องไปอาบในแม่น้ำหรืออาบจากตุ่มรับน้ำฝนที่ตกลงมาในหน้าฝนซึ่งมักอยู่กลางแจ้งทั้งนั้น ดังนั้น จึงมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่แก้ผ้าอาบน้ำให้เห็นโดยจะมีเด็ก ๆ ไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ห่างๆ  ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่ใคร ๆ ก็แก้ผ้าอาบน้ำกันทั้งนั้นเพียงแต่ว่าอาบในห้องน้ำมิดชิด 

ดังนั้น ในการตรวจโรคที่ต้องการความรวดเร็วก็จะมีหนุ่ม ๆ ผู้ผ่านรอบแรกแบบพวกผมเดินหอบเสื้อผ้าแต่ตัวแก้ผ้ายืนเข้าคิวกันแบบในหนังสงครามเลย ซึ่งตอนนั้นแม้ว่าจะอายมากแต่ก็ไม่คิดมากเพราะคนแก้ผ้ามีหลายคนใจอยากจะเข้าเรียนด้วย เมื่อถึงคราวเข้าไปในห้องตรวจที่ไม่ลืมก็คือการตรวจกามโรคซึ่งแต่ก่อนไม่มีโรคเอดส์มีแต่ฝีมะม่วง หนองใน และน่าจะไม่มีการเจาะเลือดไปตรวจเหมือนปัจจุบัน ดังนั้นวิธีง่ายที่สุดก็คือการดูที่น้องชายตัวน้อยของแต่ละคน ซึ่งจะต้องดึงแบบสุด ๆ พลิกไปมาทั้งบนล่างให้เขาดูว่าเรามีกามโรคแน่ และแถมด้วยการตรวจริดสีดวงที่ง่ายที่สุดก็คือ การปฏิบัติตามคำสั่งและขั้นตอนของคนตรวจดังนี้ “แถวตรง กลับหลังหัน กางขา  โก้งโค้ง เอามือจับแก้มก้น แยกออก” ให้เขาดูว่าไม่มีแน่ ๆ 

แต่อย่างว่าแหละนะลงทุนมาตั้งมากแล้ว อายก็อายแต่ก็ต้องเอา ว่าไงก็ว่ากัน สำหรับการตรวจอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรมากนัก เช่น มือ นิ้ว ความผิดปกติของกระดูกส่วนต่าง และการตรวจระบบภายในที่ไม่แปลกเท่าไร ส่วนการสัมภาษณ์นั้น ทำให้คนที่ไม่เคยมาก่อนซึ่งเป็นส่วนใหญ่ตกใจมากพอดู เพราะการสัมภาษณ์ ไม่ได้มีการพูดเพราะเสนาะหูเท่าไรนัก มีการขู่ การตะโกนใส่หน้า สั่งให้ทำโน่นทำนี่ ที่เราไม่เคยได้รับมาก่อน เช่น มีบางคนถูกสั่งให้ยืนที่หน้าต่างของอาคารตัววายแล้วยื่นหน้าตะโกนลงไปบริเวณโดมด้านหลังว่า “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของคนตระโกนอยู่ที่โดมหรือไม่ เพราะถ้าอยู่ก็คงจะตกใจตามไปด้วยเหมือนกัน บางคนก็ถูกสั่งให้เต้นระบำ บางทีก็มียึดพื้นบ้าง รายงานตัวบ้าง ซึ่งตระโกนจนหูจะแตกแต่นายทหารที่สัมภาษณ์บอกว่าไม่ได้ยินสียยังงั้นแหละ การกระทำดังกล่าวของผู้สัมภาษณ์ที่ผ่านเข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้นสามารถเข้าใจได้ในเวลาต่อมา ก็เพราะทุกคนจะต้องเจอเหตุการณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้ตลอดเวลาเพื่อให้มีความอดทน อดกลั้น มีวินัย ใจเย็น และเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังบัญชาในอนาคตนั่นเอง 

การประกาศผลรอบสุดท้ายของโรงเรียนเตรียมทหารประมาณเมษายน 2521 ผมกับเพี่อนที่มาด้วยกันและผ่านรอบแรกด้วยก็เดินทางไปดูผลที่หน้าโรงเรียนเตรียมทหารที่ติดประกาศบนกระดานที่ต่างกับปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีอินเตอร์เนทที่ทำให้อยู่ที่ไหนในโลกแลละสามารถต่ออินเตอร์เนทได้ก็สามารถดูผลได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาที่โรงเรียน เมื่อตรวจดูรายชื่อแล้วปรากฏว่ามีชื่อผมผ่านโดยที่เพื่อนไม่ผ่านก็เลยทำให้ผมต้องรักษามารยาทที่จะไม่แสดงความดีอกดีใจออกมามากแม้ว่าผลการประกาศผลนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ผมจึงได้แต่ปลอบใจเพื่อนผมว่าปีหน้ายังมีโอกาสกลับไปเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เพชรบุรีก่อนแล้วมาสอบก็ยังไม่สาย 

สำหรับเพื่อนผมคนนี้นั้นบทสรุปของชีวิตในเวลาต่อมามิได้เป็นความโชคร้ายเลย เท่าที่ผมเดานั้นเขาคงตกเพราะร่างกายเล็กไปก็เป็นได้ เพราะผมเองก็เป็นคนตัวไม่ใหญ่มากนักแต่เพื่อนผมกลับเล็กกว่าผมอีก เพื่อนผมคนนี้ในปีต่อมาก็มาสอบอีกแต่ก็เป็นเช่นเดิมคือ สอบผ่านรอบแรกแต่ตกรอบสอง กลับไปเรียนต่อ ม.ศ. 5 และเมื่อจบได้เปลี่ยนใจไปสอบเข้าเป็นนักเรียนแพทย์กองทัพบก และสอบเข้าได้ปัจจุบันได้พันเอกไปหลายปีแล้ว คงกำลังรอเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่งอยู่  ที่ผมเอามาเล่าแทรกก็เพื่อจะบอกว่าคนเรานั้นวิถีชีวิตมีขึ้นมีลงสิ่งที่เรามุ่งมั่นเราอาจจะไม่ได้อย่างใจนึกแต่ถ้าเรามั่นคงไม่ท้อแท้ท้อถอยทำร้ายตนเองแล้วสิ่งที่อาจจะดีกว่าที่เราไม่คาดคิดจะมาหาเราสักวันดังนั้นถ้าใครผ่านอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเองอับอายท้อแท้ก็ขอให้ดูเพื่อนผมเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นกำลังใจไว้  

กลับมาเรื่องนักเรียนเตรียมทหารต่อ หลังจากที่ผมทราบผลของเตรียมทหารแล้วก็กลับไปบอกพ่อแม่ก่อน และต่อมาก็ทราบเพิ่มเติมว่าผมผ่านรอบสุดท้ายของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเช่นเดียวกัน ซึ่งการสัมภาษณ์นั้นต่างกันราวกับฟ้าและดินกับที่โรงเรียนเตรียมทหาร อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเลือกของผมนั้นไม่ยุ่งยากมากนักเพราะใจผมชอบที่จะเป็นทหารอยู่แล้ว อาจจะเป็นการเป็นเด็กผู้ชายที่ชอบโลดโผนโจนทะยานเป็นทุนรวมทั้งชอบความมีระเบียบวินัยการเสียสละตอนที่เป็นลูกเสือวิสามัญหรือที่เรียกว่าลูกเสือซีเนียร์ที่ผมผ่านการฝึกอบรมมาตอนอยู่ ม.ศ. 2 และ 3 ซึ่งการเป็นลูกเสือดังกล่าวนั้นจำลองรูปแบบบางอย่างมาจากทหารเช่นเดียวกัน เช่น การเดินทางไกล การพักแรม การบำเพ็ญตนเป็นคนดี รวมทั้งเหตุผลอื่น ๆ เช่น การเรียนที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียนมากนัก จบมาแล้วมีงานทำ และเป็นนายร้อยทหารหรือนายร้อยตำรวจที่ดูแล้วเท่ย์มีอำนาจ ก็ทำให้ผมเลือกที่จะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 

ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการทำสัญญามอบตัวซึ่งต้องหาข้าราชการระดับ 4 ขึ้นไปมาเป็นคนค้ำประกันและต้องหาผู้ปกครองมาดำเนินการในวันการมอบตัวผมเองก็นับว่าโชคดีหน่อยที่ลูกป้าเป็นทหารอากาศอยู่ที่ดอนเมืองมาเป็นผู้ค้ำประกันให้และลูกป้าอีกคนที่ผมไปพักอยู่ด้วยมาเป็นผู้ปกครองให้ซึ่งแม่กับป้าทั้งหลายก็มีความใกล้ชิดกันพึ่งพากันไปกันมาโดยตลอด และครั้งนี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณอีกครั้งหนึ่งที่ผมเป็นฝ่ายรับและได้ตอบแทนกันกลับไปกลับมาในเวลาต่อมาแม้ว่าลูกป้าที่เป็นผู้ปกครองจะอายุสั้นเสียชีวิตไปเมื่อ 3 - 4 ปีก่อน ขณะที่อายุ ห้าสิบกว่าปี แต่การช่วยเหลือกันก็ยังคงมีและทำให้มีความสนิทแนบแน่นกันเป็นอย่างดีไปอีกแบบ การมอบตัวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีการรับชุดนักเรียนใหม่ที่วัดไว้ในวันประกาศผลรอบรองและรองเท้า รวมทั้งให้เขียนเจตนารมย์ว่าต้องการจะเป็นทหารอะไรเพราะในปีนั้นยังไม่มีการแบ่งเหล่าตอนสอบเข้าเหมือนเช่นปัจจุบันแต่จะมาเลือกเหล่าตอนใกล้จะจบปี 2  

ดังนั้นจึงมีการสอบถามขั้นต้นคิดว่าเพื่อเอาไปเป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาอะไรบางประการซึ่งในตอนนั้นผมก็เลือกที่จะเป็นทหารอากาศลำดับแรกเนื่องจากคิดว่าอยากขึ้นเครื่องบินแบบลูกป้าที่เป็นทหารอากาศได้ขึ้นบ้าง จากนั้นก็กลับไปบ้านที่เพชรบุรีด้วยความภาคภูมิใจในความสามารถตนเพราะนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของจังหวัดเพชรบุรีในปีนั้นนั้นมีคนสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้เพียงสองคนเท่านั้น ผมจึงอารมย์ดีและอิ่มเอิบใจ รอคอยเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันที่สุดแสนจะบรรยายแบบว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเจอจะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองในไม่อีกกี่วันข้างหน้า 

--------------------------------------------------------------------------

Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4”  พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต 

พ.ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ