การทดสอบร่างกายแบ่งออกประมาณ 4 – 5 สถานี ได้แก่ การดึงข้อ คนที่จะได้คะแนนเต็มน่าจะต้องดึงให้ได้ 15 ครั้งตามข้อกำหนด คือต้องเอาคางให้เลยคานที่จับ ขาชิดไม่ตะเกียกตะกายและต้องคว่ำมือดึงขึ้นไปพร้อมกัน ผมเองตอนเด็ก ๆ เคยเล่นบาร์คู่ตามรุ่นพี่ ๆ แถว ๆ บ้านอยู่บ้าง แม้ว่าจะค่อนข้างต่างกับการดึงข้อราวเดี่ยวพอสมควรแต่ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อยู่บ้าง ผมเองดึงได้ประมาณ 12 – 13 ที ซึ่งก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ สถานทีต่อมาก็เป็นการวิ่งซิกแซก ระยะทางไม่ไกลนักวิ่งไปกลับน่าจะไม่เกินร้อยเมตร นัยว่าจำลองการวิ่งมาจากทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีการขุดสนามเพาะเพื่อหลบกระสุนปืนใหญ่ ที่มีการระดมยิงมาและบังเอิญมันตกมาในสนามเพาะพอดีสะเก็ดระเบิดจะกระจายออกดังนั้นหลุมเพาะหรือสนามเพาะจึงต้องทำให้คดไปคดมา เพราะทหารที่อยู่ในสนามเพาะจะมีความเสี่ยงของสะเก็ดปืนใหญ่น้อยลงไป แต่ที่ต้องให้เอามาทดสอบการวิ่งนั้น ก็เพราะถ้าข้าศึกบุกเข้ามาในสนามเพาะที่ฝ่ายเราขุดอยู่หรือฝ่ายเราบุกข้ามเข้าไปในสนามเพาะของข้าศึกที่ขุดประจันหน้ากัน ก็มีความจำเป็นจะต้องวิ่งไล่สังหารกันส่วนที่ใครจะวิ่งไล่หรือวิ่งหนีนั้นก็สุดแล้วแต่สถานการณ์
แต่ที่สำคัญก็คือใครวิ่งได้เร็วกว่าคือผู้ที่อยู่รอด ดังนั้นการวิ่งแบบซิกแซกจึงมีความจำเป็นมากในการรบ ซึ่งได้มีการนำการวิ่งซิกแซกนี้มาใช้ในสงครามต่อ ๆ มาด้วยเพราะทหารที่ทำการรบบนพื้นดินก็ต้องวิ่งเข้าหาข้าศึกให้ถึงตัวหรือที่มั่นโดยที่ไม่ให้ข้าศึกที่ตั้งรับอยู่ยิงด้วยอาวุธปืนเล็กถูกก่อน จึงต้องวิ่งส่ายไปมาไม่ได้วิ่งเข้าไปตรง ๆ ในบางโอกาส สถานีนี้ผมไม่รู้ว่าผลออกมาดีหรือไม่เพราะวิ่งคนเดียวไม่มีอะไรเปรียบเทียบและไม่มีโอกาสได้ถามว่าเวลาที่ผมวิ่งได้เท่าไรและมาตรฐานทั่วไปเท่าไร รู้แต่ว่าเขาให้วิ่งก็วิ่งได้ไม่ติดขัดอะไร สถานีต่อมาก็เป็นการวิ่งระยะทางไกลที่สนามหญ้าหน้าตึกกองบังคับการกรมนักเรียนหรือที่เรียกว่าตึกตัวไอ เพราะเป็นแท่งยาว ผมเดาว่าชื่อที่เรียกนี้คงเรียกเลียนแบบตึกตัววายที่เป็นตึกกองบัญชาการหลักด้านหน้า ที่เรียกว่าตัววายก็เพราะตอนสร้างเขาสร้างเป็นตึกสามปีกมีความหมายถึงทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ซึ่งตำรวจน่าจะมาทีหลัง
จากรูปทรงดังกล่าวที่มีการจำลองเป็นอาคารย่อส่วนเวลาคนมาเห็นก็ทำให้นึกถึงอักษรภาษาอังกฤษคือ วาย ก็เลยเรียก ซึ่งคนฟังคนเห็นดีด้วยก็เลยเรียกกันมา แล้วก็ทำให้มีการเรียกอาคารอื่น ๆ ในโรงเรียนเตรียมทหารเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตามมาอีกสองสามอาคาร เช่น อาคารตัวไอ และ อาคารตัวโอ สำหรับการวิ่งระยะทางนั้นผมจำไม่ได้แน่ว่าวิ่งเท่าไรแต่ไม่น่าเกิน 1,500 เมตร ซึ่งสำหรับผมซึ่งมาจากต่างจังหวัดและชอบวิ่งมาก่อน ไม่ว่าจะวิ่งเพราะเป็นนักมวย หรือวิ่ง 5,000 เมตรในการแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียนพรมานุสรณ์ จึงทำให้ผลการวิ่งสามารถเข้าเส้นชัยได้ในลำดับต้น ๆ ของกลุ่ม
อีกสถานีหนึ่งซึ่งสบายมากแบบที่เล่ามาแล้วก็คือเรื่องการว่ายน้ำ 50 เมตร ตอนนั้นท่าว่ายน้ำของผมคงเป็นแบบที่เรียกว่าวัดวา ซึ่งเป็นลักษณะการว่ายเล่นในแม่น้ำเพชรหลังบ้านผมและคลองชลประทาน ที่ผมและเพื่อนมักจะหนีพ่อแม่ไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แก้ผ้าบ้าง โตขึ้นมาหน่อยก็ใส่ผ้าขาวม้ากระโดดสะพาน เล่นอีเถิดหรือไล่จับกันในน้ำ ซึ่งเล่นที่คลองชลประทานจะสนุกมากและได้เลือดจากการถูกคันคลองซึ่งเป็นปูนบาดมือและเท้าอยู่เสมอ และก็มีเด็กจมน้ำตายให้เป็นข่าวอยู่เนือง ๆ แต่พวกเราก็ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร เรียกว่าเอามันเข้าว่า ดังนั้นพอมีข่าวเด็กจมน้ำตายพวกพ่อแม่ก็จะมาห้ามเล่นน้ำและไล่ตีกันที สำหรับแม่น้ำเพชรนั้นช่วงหน้าน้ำหรือหน้าฝนเขื่อนแก่งกระจานก็จะปล่อยน้ำจำนวนมากเด็ก ๆ รุ่นผมก็จะหายางในรถสิบล้อ ที่เขาไม่ใช้งานแล้วมาสูบลมแล้วเอามาทำเป็นห่วงลอยกันในน้ำกัน พวกที่ไม่มีก็ว่ายน้ำไปขอเกาะบ้าง ว่ายไปเกาะเรือรับจ้างข้ามฝากบ้าง ดำผุดดำว่ายในแม่น้ำที่แดงไปด้วยดินและลึกหลายเมตรอย่างไม่รู้จักว่าตายเป็นอย่างไรนอกเหนือจากความคิดว่าสนุกอย่าบอกใครเชียว ปัจจุบันกลับไปเที่ยวบ้านก็ไม่เห็นมีเด็กเล่นน้ำแบบสมัยผมแล้ว คิดว่าคนคงปรับตัวให้เข้ากับระบบประปาจนชินและไม่เสียดายเงินกันแล้ว รวมทั้งการมีสระว่ายน้ำที่มีความปลอดภัยให้เล่นกันซึ่งหาได้ไม่ยากนัก ซึ่งก็มีผลดีเพราะไม่ค่อยได้ข่าวว่ามีเด็กจมน้ำตายเลยในยุคหลังนี้ก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวผมเองเคยเกือบตายจากการเล่นน้ำมาอย่างน้อยสองครั้ง คือ เกือบโดนรถเหยียบตายตอนเอายางในรถไปเติมลมที่ปั๊มสามทหารเดิมแถวหนองกี้ และโดนผ้าปูที่นอนพันตัวเพราะพิเรนกระโดดลงไปในผ้าที่เอามาซักน้ำในแม่น้ำแต่ก็ดิ้นหลุดออกมาได้ แต่สิ่งที่ได้มาก็คือวิชาว่ายน้ำและดำน้ำ เรียกได้ว่าทำเป็นเองโดยไม่ต้องมีคนสอนและไม่เคยเสียเงินค่าว่ายน้ำมาจนอายุจะสามสิบปี รวมทั้งจำไม่ได้ว่าว่ายน้ำเป็นตั้งแต่อายุกี่ขวบ ดังนั้นพอมีการทดสอบการว่ายน้ำ ผมจึงเข้าเป็นคนแรกของกลุ่ม ซึ่งที่ผมว่ายน่าจะเรียกว่าฟรีสไตล์ตามความหมายพอได้เพราะเอาว่าว่ายไปถึง แต่คงไม่ใช่แบบที่เขาแข่งขันแน่ สำหรับการทดสอบอีกสองท่าที่ผมไม่แน่ใจว่าทดสอบในตอนนั้นด้วยไหมคือ ท่ายึดพื้น และงอเข่าครึ่งนั่ง การสอบร่างกายของผมก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
วันต่อมาก็เป็นการตรวจโรคและการสอบสัมภาษณ์ ผมจำไม่ได้แล้วว่าสอบวันเดียวกันหรือเปล่า แต่ที่จำได้ก็คือ ในการตรวจโรคมีท่าตรวจโรคที่ไม่เคยลืมเลยก็คือ การตรวจกามโรคและการตรวจริดสีดวงทวารหนัก เพราะผู้ตรวจสั่งให้แก้ผ้าเข้าแถวคอยเพื่อไม่ให้เสียเวลา ไอ้ผมเองก็เป็นหนุ่มบริสุทธิ์ไม่เคยต้องมือใครมาก่อน เรื่องแก้ผ้าต่อหน้าธารกำนัลนั้นก็ไม่เคยมาก่อนนับตั้งแต่เรียนประถมห้า ซึ่งหัดเริ่มใส่กางเกงใน อาบน้ำในห้องน้ำยังจำได้ว่ายังมีการใส่ผ้าขาวม้าอาบเนื่องจากติดมาจากการอาบน้ำในแม่น้ำและในสมัยพ่อแม่ซึ่งไม่มีห้องอาบน้ำและระบบประปาทุกคนก็ต้องไปอาบในแม่น้ำหรืออาบจากตุ่มรับน้ำฝนที่ตกลงมาในหน้าฝนซึ่งมักอยู่กลางแจ้งทั้งนั้น ดังนั้น จึงมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่แก้ผ้าอาบน้ำให้เห็นโดยจะมีเด็ก ๆ ไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ห่างๆ ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่ใคร ๆ ก็แก้ผ้าอาบน้ำกันทั้งนั้นเพียงแต่ว่าอาบในห้องน้ำมิดชิด
ดังนั้น ในการตรวจโรคที่ต้องการความรวดเร็วก็จะมีหนุ่ม ๆ ผู้ผ่านรอบแรกแบบพวกผมเดินหอบเสื้อผ้าแต่ตัวแก้ผ้ายืนเข้าคิวกันแบบในหนังสงครามเลย ซึ่งตอนนั้นแม้ว่าจะอายมากแต่ก็ไม่คิดมากเพราะคนแก้ผ้ามีหลายคนใจอยากจะเข้าเรียนด้วย เมื่อถึงคราวเข้าไปในห้องตรวจที่ไม่ลืมก็คือการตรวจกามโรคซึ่งแต่ก่อนไม่มีโรคเอดส์มีแต่ฝีมะม่วง หนองใน และน่าจะไม่มีการเจาะเลือดไปตรวจเหมือนปัจจุบัน ดังนั้นวิธีง่ายที่สุดก็คือการดูที่น้องชายตัวน้อยของแต่ละคน ซึ่งจะต้องดึงแบบสุด ๆ พลิกไปมาทั้งบนล่างให้เขาดูว่าเรามีกามโรคแน่ และแถมด้วยการตรวจริดสีดวงที่ง่ายที่สุดก็คือ การปฏิบัติตามคำสั่งและขั้นตอนของคนตรวจดังนี้ “แถวตรง กลับหลังหัน กางขา โก้งโค้ง เอามือจับแก้มก้น แยกออก” ให้เขาดูว่าไม่มีแน่ ๆ
แต่อย่างว่าแหละนะลงทุนมาตั้งมากแล้ว อายก็อายแต่ก็ต้องเอา ว่าไงก็ว่ากัน สำหรับการตรวจอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรมากนัก เช่น มือ นิ้ว ความผิดปกติของกระดูกส่วนต่าง และการตรวจระบบภายในที่ไม่แปลกเท่าไร ส่วนการสัมภาษณ์นั้น ทำให้คนที่ไม่เคยมาก่อนซึ่งเป็นส่วนใหญ่ตกใจมากพอดู เพราะการสัมภาษณ์ ไม่ได้มีการพูดเพราะเสนาะหูเท่าไรนัก มีการขู่ การตะโกนใส่หน้า สั่งให้ทำโน่นทำนี่ ที่เราไม่เคยได้รับมาก่อน เช่น มีบางคนถูกสั่งให้ยืนที่หน้าต่างของอาคารตัววายแล้วยื่นหน้าตะโกนลงไปบริเวณโดมด้านหลังว่า “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของคนตระโกนอยู่ที่โดมหรือไม่ เพราะถ้าอยู่ก็คงจะตกใจตามไปด้วยเหมือนกัน บางคนก็ถูกสั่งให้เต้นระบำ บางทีก็มียึดพื้นบ้าง รายงานตัวบ้าง ซึ่งตระโกนจนหูจะแตกแต่นายทหารที่สัมภาษณ์บอกว่าไม่ได้ยินสียยังงั้นแหละ การกระทำดังกล่าวของผู้สัมภาษณ์ที่ผ่านเข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้นสามารถเข้าใจได้ในเวลาต่อมา ก็เพราะทุกคนจะต้องเจอเหตุการณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้ตลอดเวลาเพื่อให้มีความอดทน อดกลั้น มีวินัย ใจเย็น และเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังบัญชาในอนาคตนั่นเอง
การประกาศผลรอบสุดท้ายของโรงเรียนเตรียมทหารประมาณเมษายน 2521 ผมกับเพี่อนที่มาด้วยกันและผ่านรอบแรกด้วยก็เดินทางไปดูผลที่หน้าโรงเรียนเตรียมทหารที่ติดประกาศบนกระดานที่ต่างกับปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีอินเตอร์เนทที่ทำให้อยู่ที่ไหนในโลกแลละสามารถต่ออินเตอร์เนทได้ก็สามารถดูผลได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาที่โรงเรียน เมื่อตรวจดูรายชื่อแล้วปรากฏว่ามีชื่อผมผ่านโดยที่เพื่อนไม่ผ่านก็เลยทำให้ผมต้องรักษามารยาทที่จะไม่แสดงความดีอกดีใจออกมามากแม้ว่าผลการประกาศผลนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ผมจึงได้แต่ปลอบใจเพื่อนผมว่าปีหน้ายังมีโอกาสกลับไปเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เพชรบุรีก่อนแล้วมาสอบก็ยังไม่สาย
สำหรับเพื่อนผมคนนี้นั้นบทสรุปของชีวิตในเวลาต่อมามิได้เป็นความโชคร้ายเลย เท่าที่ผมเดานั้นเขาคงตกเพราะร่างกายเล็กไปก็เป็นได้ เพราะผมเองก็เป็นคนตัวไม่ใหญ่มากนักแต่เพื่อนผมกลับเล็กกว่าผมอีก เพื่อนผมคนนี้ในปีต่อมาก็มาสอบอีกแต่ก็เป็นเช่นเดิมคือ สอบผ่านรอบแรกแต่ตกรอบสอง กลับไปเรียนต่อ ม.ศ. 5 และเมื่อจบได้เปลี่ยนใจไปสอบเข้าเป็นนักเรียนแพทย์กองทัพบก และสอบเข้าได้ปัจจุบันได้พันเอกไปหลายปีแล้ว คงกำลังรอเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่งอยู่ ที่ผมเอามาเล่าแทรกก็เพื่อจะบอกว่าคนเรานั้นวิถีชีวิตมีขึ้นมีลงสิ่งที่เรามุ่งมั่นเราอาจจะไม่ได้อย่างใจนึกแต่ถ้าเรามั่นคงไม่ท้อแท้ท้อถอยทำร้ายตนเองแล้วสิ่งที่อาจจะดีกว่าที่เราไม่คาดคิดจะมาหาเราสักวันดังนั้นถ้าใครผ่านอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเองอับอายท้อแท้ก็ขอให้ดูเพื่อนผมเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นกำลังใจไว้
กลับมาเรื่องนักเรียนเตรียมทหารต่อ หลังจากที่ผมทราบผลของเตรียมทหารแล้วก็กลับไปบอกพ่อแม่ก่อน และต่อมาก็ทราบเพิ่มเติมว่าผมผ่านรอบสุดท้ายของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเช่นเดียวกัน ซึ่งการสัมภาษณ์นั้นต่างกันราวกับฟ้าและดินกับที่โรงเรียนเตรียมทหาร อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเลือกของผมนั้นไม่ยุ่งยากมากนักเพราะใจผมชอบที่จะเป็นทหารอยู่แล้ว อาจจะเป็นการเป็นเด็กผู้ชายที่ชอบโลดโผนโจนทะยานเป็นทุนรวมทั้งชอบความมีระเบียบวินัยการเสียสละตอนที่เป็นลูกเสือวิสามัญหรือที่เรียกว่าลูกเสือซีเนียร์ที่ผมผ่านการฝึกอบรมมาตอนอยู่ ม.ศ. 2 และ 3 ซึ่งการเป็นลูกเสือดังกล่าวนั้นจำลองรูปแบบบางอย่างมาจากทหารเช่นเดียวกัน เช่น การเดินทางไกล การพักแรม การบำเพ็ญตนเป็นคนดี รวมทั้งเหตุผลอื่น ๆ เช่น การเรียนที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียนมากนัก จบมาแล้วมีงานทำ และเป็นนายร้อยทหารหรือนายร้อยตำรวจที่ดูแล้วเท่ย์มีอำนาจ ก็ทำให้ผมเลือกที่จะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการทำสัญญามอบตัวซึ่งต้องหาข้าราชการระดับ 4 ขึ้นไปมาเป็นคนค้ำประกันและต้องหาผู้ปกครองมาดำเนินการในวันการมอบตัวผมเองก็นับว่าโชคดีหน่อยที่ลูกป้าเป็นทหารอากาศอยู่ที่ดอนเมืองมาเป็นผู้ค้ำประกันให้และลูกป้าอีกคนที่ผมไปพักอยู่ด้วยมาเป็นผู้ปกครองให้ซึ่งแม่กับป้าทั้งหลายก็มีความใกล้ชิดกันพึ่งพากันไปกันมาโดยตลอด และครั้งนี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณอีกครั้งหนึ่งที่ผมเป็นฝ่ายรับและได้ตอบแทนกันกลับไปกลับมาในเวลาต่อมาแม้ว่าลูกป้าที่เป็นผู้ปกครองจะอายุสั้นเสียชีวิตไปเมื่อ 3 - 4 ปีก่อน ขณะที่อายุ ห้าสิบกว่าปี แต่การช่วยเหลือกันก็ยังคงมีและทำให้มีความสนิทแนบแน่นกันเป็นอย่างดีไปอีกแบบ การมอบตัวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีการรับชุดนักเรียนใหม่ที่วัดไว้ในวันประกาศผลรอบรองและรองเท้า รวมทั้งให้เขียนเจตนารมย์ว่าต้องการจะเป็นทหารอะไรเพราะในปีนั้นยังไม่มีการแบ่งเหล่าตอนสอบเข้าเหมือนเช่นปัจจุบันแต่จะมาเลือกเหล่าตอนใกล้จะจบปี 2
ดังนั้นจึงมีการสอบถามขั้นต้นคิดว่าเพื่อเอาไปเป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาอะไรบางประการซึ่งในตอนนั้นผมก็เลือกที่จะเป็นทหารอากาศลำดับแรกเนื่องจากคิดว่าอยากขึ้นเครื่องบินแบบลูกป้าที่เป็นทหารอากาศได้ขึ้นบ้าง จากนั้นก็กลับไปบ้านที่เพชรบุรีด้วยความภาคภูมิใจในความสามารถตนเพราะนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของจังหวัดเพชรบุรีในปีนั้นนั้นมีคนสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้เพียงสองคนเท่านั้น ผมจึงอารมย์ดีและอิ่มเอิบใจ รอคอยเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันที่สุดแสนจะบรรยายแบบว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเจอจะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองในไม่อีกกี่วันข้างหน้า
--------------------------------------------------------------------------
Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6
นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น