31 มกราคม 2566

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร (ทหารดอทคอม 19 เม.ย.47)

วันนี้ผมได้อ่านเจอประกาศผลการสอบรอบแรกของโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งปัจจุบันได้แยกตามโรงเรียนเหล่า จึงทำให้ตอนนั่งรถไฟจากสำนักงานใหญ่สหประชาชาติกลับที่พักก็เกิดความคิดย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปีก่อน เมื่อต้นปี 2521 ตอนที่ผมกำลังจะจบ ม.ศ. 3 จากโรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี ตอนนั้นผมเองไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับทหารนัก เท่าที่จำได้ก็คือ เคยดูละครโทรทัศน์คงจะเป็นช่อง 7 หรือ ททบ. 5 ปัจจุบัน เรื่อง ยอดหญิงดิ่งพสุธา ซึ่งเป็นเรื่องราวของพลร่มหญิงของไทย มีดารานำคนหนึ่งคือ โฉมฉาย (แต่จำนามสกุลไม่ได้แล้ว) เล่นเป็นตัวนำ 1 ในทีมของพลร่มหญิง ซึ่งก็ทำให้ของเล่นสมัยนั้นก็ตุ๊กตาทหารตัวเล็ก ๆ ผูกเชือกกับถุงพลาสติกตัดมัด ๆ แล้วขว้างขึ้นไปบนฟ้าแล้วพลาสติกกางออกแบบร่มค่อยพยุงตุ๊กตาทหารให้ค่อยลอยลงมาที่พื้นเป็นของเล่นที่เด็ก ๆ แบบผมได้ดัดแปลงทำกันสนุกสนานไปอีกแบบ 

อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือ เมื่อถึงเดือนเมษายน รุ่นพี่ ๆ ที่เป็นผู้ชายอายุครบ 21 ปีก็จะไปเกณฑ์ทหารที่ที่โรงเรียนท่ายางประชาสรรค์ ที่ผมเรียนสมัยประถม เด็ก ๆ แบบผมก็มักไปกับเพื่อนเพื่อไปดูว่าเขาทำอะไรกัน แต่ก็ไม่เข้าใจนักได้แต่เห็นคนนั่งถอดเสื้อเข้าแถวรอจับฉลากที่อยู่ในบาตรพระ จับขึ้นมาก็มีเสียงเฮกันเป็นที่สนุกสนานไม่ว่าผลจะออกมายังไง ซึ่งอยู่ปีหนึ่งมีลูกพี่ลูกน้องของผมถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ผมเองไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หลังจากที่เขาปลดเกณฑ์แล้ว ก็ทราบจากแม่ผมว่าลูกพี่ลูกน้องของผมตอนไปเป็นทหารนั้นเป็นลมตลอด เพราะตอนอยู่บ้านไม่เคยทำงานหนักเลย ดังนั้นพอเข้าไปเป็นทหารก็เจอการฝึกการหัดและการทำงานต่างๆ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนจนเป็นลมแล้วเป็นลมอีก 

ต่อมาหลังจากที่ผมอายุได้ 16 ปี และเรียน ม.ศ. 3 ก็จำได้ว่าเคยดูดนตรีของทหารจาก กองพันปฏิบัติจิตวิทยา ของศูนย์สงครามพิเศษ ที่มาแสดงที่โรงเรียน ยังจำนักแสดงหญิงคนหนึ่งได้ดีเพราะแสดงเป็นนักรบหญิงโบราณของไทยประกอบเพลงที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยสูญเสียแผ่นดินออกเป็นชิ้นอย่างไร และก็บังเอิญเธอชื่อเดียวกับแม่ผม เพื่อเป็นการยืนยันว่าจำได้ก็เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 15 ปีตอนผมเป็นร้อยเอกไปฝึกหลักสูตรผู้ควบคุมการกระโดดร่มที่ลพบุรี ก็ได้ถามถึงครูโรงเรียนสงครามพิเศษถึงเธอ ก็ทราบว่าลาออกจากวงดนตรีนานแล้วแต่ยังอยู่ที่ลพบุรีเพราะได้แต่งงานกับทหารที่อยู่ในวงดนตรีนั้น ผมยังจำตัวตลกที่ชื่อสีฝุ่นและโฆษกหลักของวงซึ่งน่าจะเป็นนายทหารประทวนได้ เพราะหลังจากแสดงเสร็จพวกเราซึ่งรวมผมด้วยก็จะไปยืนดูนักแสดงเหล่านี้ เหมือนกับคนดูดารายังไงยังงั้น และได้เจอโฆษกคนที่ว่าซึ่งเขายังท้าพวกผมให้แข่งร้อยเชือกรองเท้าซึ่งของเขาเป็นคอมแบท ส่วนของผมเป็นรองเท้าผ้าใบธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับคำท้าแต่อย่างไร 

หลังจากที่ได้เจอทหารที่เป็นนักดนตรีในครั้งนั้นผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทหารอีก จนใกล้จบ ม.ศ. 3 ซึ่งเป็นช่วงตัดสินใจที่สำคัญพอสมควรของเด็กทั่วไปครั้งหนึ่งว่าตนเองจะเลือกเส้นทางชีวิตต่อไปอย่างไรดี ตอนนั้นผมเองก็ไม่มีความคิดอะไรชัดเจน ส่วนพ่อแม่ผมก็บอกว่าอยากเรียนอะไรไม่ขัดขวางขอให้เรียนให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน พ่อกับแม่จะทำงานหาเงินส่งเสียจนสุดชีวิตกันไปข้างหนึ่ง และถ้าเรียนไม่ได้ก็กลับมาทำไร่แบบพ่อหรือค้าขายแบบแม่ก็ได้ 

ใจผมตอนนั้นก็คงเหมือนวัยรุ่นทั่วไป คือ แม้ว่ายังรักเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาสามปี แต่ก็ยังอยากลองของใหม่ที่ท้าทายชีวิต และพี่สาวผมสอบเข้าเตรียมอุดมได้ปีก่อน ผมจึงคิดว่าลองไปทดลองสอบที่เดียวกับพี่สาวดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร แม้ว่าจะสอบไม่ติดเพราะได้ข่าวว่าการสอบเข้าเตรียมอุดมนั้นเข้ายากมาก ประกอบกับมีเพื่อนสนิทได้มาแนะนำว่าที่กรุงเทพเขามีโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนจ่าอากาศ จ่าทหารเรือ ด้วยซึ่งน่าจะถือโอกาสไปลองสอบกันดู  ซึ่งตอนนั้นผมเองไม่รู้หรอกว่าอะไรคือโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะจะคุ้นตากับยศพวกหมู่หรือจ่ามากกว่า และไม่รู้ระบบของเตรียมทหารเลย ไม่รู้ว่าเรียนจบแล้วเป็นอะไรอีกด้วย อยู่ที่ไหนของกรุงเทพก็ไม่รู้ กรุงเทพก็เคยไปไม่กี่ครั้ง ซึ่งก็มีตอนแต่งงานลูกพี่ลูกน้อง อีกที่หนึ่งก็คือสนามหลวงที่ไปกับเพื่อน แถวแผงขายหนังสือที่เคยอยู่ติดกับสนามหลวงเพื่อซื้อหนังสือพวกเก็งข้อสอบ (และอาจจะมี “ขาวไหมพี่” ติดมือมาด้วยบางครั้งตามประสาวัยรุ่นอยากรู้อยากลอง) เท่านั้น         

ในที่สุดวันเวลาก็ผ่านมาถึง การสอบไล่ของ ม.ศ. 3 จบสิ้นลงเมื่อ ก.พ. 2521 ผลการสอบตอนนั้นคิดเป็นคะแนนร้อยละและจัดลำดับซึ่งผมได้ลำดับที่ 5 ของโรงเรียน โดยที่ 1 มีสามคนคะแนนเท่ากัน ลำดับที่ของผมร่วงลงกว่าตอนสอบเข้า ม.ศ. 1 ปี 2518 อยู่บ้างเพราะตอนสอบเข้าได้เป็นลำดับที่ 2 ของนักเรียนที่สอบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผมได้หอบประกาศนียบัตรเข้ากรุงเทพในราวต้นเดือนมีนาคม 2521 พร้อมกับเพื่อนผมที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน มาขออาศัยนอนอยู่กับลูกชายป้าที่อยู่เกือบสุดซอยองครักษ์ บางกระบือ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าที่ดินที่บ้านตั้งอยู่นั้นเป็นของทหาร มทบ. 11 ปัจจุบัน การมาในครั้งนั้นแม่ผมชื่นชมเป็นการใหญ่เพราะมากันสองคนกับเพื่อนตอนอายุ 16 ปีเท่านั้น การแต่งตัวก็ชุดหล่อสุดในชีวิต กางเกงแรงเล่อร์ (ปลอม) ไม่มีเข็มขัด เสื้อยืดคอกลมแฮงเท็น (ปลอมเช่นกัน) รองเท้ายูเอสมาสเตอร์สีขาวมีลายเส้นแดงราคา 250 บาท นาฬิกาแซนดอสสีทองเรือนกลมตามสมัยนิยมราคา ไม่เกิน 300 บาท 

ซึ่งในใจผมคิดว่าเท่ย์สุดฤทธิ์แล้ว ขึ้นรถโดยสารประจำทางจากท่ายางมาลงที่สายใต้เก่า สามแยกไฟฉาย นั่งรถเมล์สาย 66 ค่าโดยสาร 75 สตางค์ (อยู่มาได้ไม่ถึงสามเดือนก็ขึ้นเป็น 1 บาท หรือ 1 บาทห้าสิบสตางค์ ไม่แน่ใจ) มาตามแผนที่ที่น่าจะเรียกว่าลายแทงตามที่ถามป้าที่ท่ายางมาก่อน อาศัยนั่งตรงด้านหน้าคอยชะเง้อดูสถานที่ที่รถผ่านและบอกคนขับให้ช่วยเตือนจนมาถึงบ้านลูกชายป้าจนได้ มาถึงลูกชายป้าที่เป็นบ้านไม้สองชั้นเล็ก ๆ สมัยก่อน  ลูกป้าก็จัดที่นอนให้ตรงหัวบันไดเพราะตรงส่วนอื่น มีเจ้าของหมดแล้วเนื่องจากบ้านนี้มีเอาไว้รับญาติพี่น้องที่เดินทางเข้ามาเรียนกรุงเทพเป็นหลัก ผมกับเพื่อนพอมีที่ซุกหัวนอน และมีไฟอ่านหนังสือก็พอใจแล้ว ตกกลางคืนเมื่อได้ที่ก็ปูเสื่อกางมุ้งนอนคุยกันสองคนถึงเรื่องที่จะเจอวันรุ่งขึ้นแล้วก็หลับไป

 วันต่อมาพี่สาวผมก็มาหาพาไปสมัครเรียนกวดวิชาที่วัดราชนัดดา ข้างเฉลิมไทยเก่านั่นแหละครับ ในระหว่างนั้นก็สมัครเรียนไปด้วย ผมเองสมัครไว้สองที่คือ เตรียมทหารและเตรียมอุดม สำหรับเพื่อนผมนั้นสมัครเตรียมทหารและชวนให้ผมไปสมัครโรงเรียนจ่าอากาศด้วย ซึ่งผมเองกับเพื่อนไม่รู้หรอกว่าอยู่ที่ไหน แต่เมื่อถามลูกป้าแล้วก็ตกลงจะนั่งรถเมล์ไปกันเอง ผมจำไม่ได้ว่านั่งรถเมล์สายไหนแต่ที่จำได้ก็คือ ตอนที่เงอะงะกันในรถระหว่างเอาแผนที่กรุงเทพที่ซื้อมาจากสนามหลวงออกมากางว่ารถวิ่งไปถึงไหนแล้ว ก็มีผู้โดยสารที่นั่งมาแต่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนมีน้ำใจช่วยอธิบายเส้นทางที่จะไปโรงเรียนจ่าอากาศให้จนลงรถ ซึ่งก็สร้างความประทับใจในน้ำใจที่เขามีให้กับผมเป็นอย่างมาก ซึ่งต่อมาทำให้ผมมีนิสัยชอบที่จะช่วยคนต่างพื้นที่ต้องการความช่วยเหลือการชี้แนะเส้นทางด้วยความเต็มใจเสมอแม้ว่าเขาจะไม่ได้ขอร้องหรือรู้จักผมมาก่อนจวบจนปัจจุบัน 

ผมและเพื่อนเรียนกวดวิชาได้สักประมาณสามอาทิตย์ก็สอบรอบแรกของเตรียมทหาร ถ้าจำไม่ผิดสนามสอบคงจะเป็นที่ จุฬาลงกรณ์ และทำให้เห็นนักเรียนเตรียมทหารครั้งแรกเพราะเขามาช่วยคุมสอบ วิชาที่สอบเข้านั้นเป็นวิชาที่ผมถนัดเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ เรขาคณิต วิทยาศาสตร์ หรือภาษาอังกฤษ วิชาพวกนี้ตอนเรียนมัธยม ผมมักจะได้เต็มเสมอ 

อย่างไรก็ตามตอนสอบนั้นความรู้สึกของผมคิดว่ามันยากกว่าปกติและเวลาไม่เหลือให้ทบทวนรอบสอง ประกอบกับทราบว่ามีคนสมัครประมาณหนึ่งหมื่นสามพันกว่าคน ผมจึงคิดว่าคงไม่รอดแน่ ปกติการสอบของผมมักจะทำเสร็จก่อนเวลาเสมอและออกจากห้องสอบถ้าเป็นการสอบที่ผมไม่ซีเรียดมากนัก เช่น การสอบในเวลาต่อมาที่สอบเข้าเตรียมอุดม ผมทำรอบเดียว นับว่าวงครบทุกข้อแล้วก็ออกมาทั้ง ๆ ที่เหลือเวลาอีกมาก จึงทำให้ได้ยินผู้ปกครองที่มากับนักเรียนคนอื่นพูดให้ได้ยินว่าสงสัยผมจะทำไม่ได้เลยออกมาก่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จนวันประกาศผลรอบแรกของทั้งสองโรงเรียน ซึ่งมีชื่อผมผ่านทั้งสองแห่ง 

ระหว่างการรอสอบรอบสองนั้น ผมก็เดินทางกลับไปอยู่ที่ท่ายางเสียส่วนใหญ่แต่ตอนนี้มีความอึดอัดมากขึ้นกว่าปกติเพราะดันมีการลุ้นด้วยการผ่านรอบแรกขึ้นมา รอบสองสำหรับเตรียมอุดมนั้นเท่าที่ทราบคงไม่มีปัญหาเท่าไรเพราะเขาไม่ได้เน้นมากนัก แต่สำหรับเตรียมทหารนั้นเป็นคนละเรื่องกันเพราะการสัมภาษณ์ การตรวจโรค และความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าความรู้เท่าไรนัก ดังนั้นเมื่อผมกลับมาบ้านผมจึงต้องเพิ่มการฟิตร่างกาย ปกติผมเป็นคนชอบวิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะชอบชกมวยและเล่นบาสเก็ตบอล จึงมีกลุ่มที่วิ่งตอนเช้าและตอนเย็นเป็นประจำ แต่การทดสอบร่างกายของเตรียมทหารนั้นผมเองต้องทำเป็นพิเศษ เพื่อให้เป็นเลิศกว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ 

ผมเคยตื่นตีห้ากว่า ๆ มาวิ่ง ก็ต้องปรับเป็นตีสี่กว่า ๆ เพราะผมเอาถุงทรายที่ดัดแปลงขึ้นมาเองรัดขาเวลาวิ่งไปด้วยและวิ่งไกลกว่าเดิม ซึ่งก็มีความรู้สึกว่าอายชาวบ้านที่จะทำให้เขาเห็นเพราะถ้าสอบไม่ได้ก็คิดไปเองว่าคงหน้าแตก จึงต้องค่อย ๆ แอบพ่อแม่ออกมาตอนตีห้าไปวิ่งตามชายคลองชลประทานที่มืด ๆ เพื่อไม่ให้คนเห็น จำได้ว่าเช้าวันหนึ่งตอนแอบออกมาหน้าบ้านตอนตีห้ากำลังเอาถุงทรายรัดขา แม่คงสงสัยว่าทำอะไรลึกลับก็เลยโผล่หน้ามาถามว่าทำอะไรก็ต้องเอาถุงทรายแอบแทบไม่ทันเหมือนกัน สำหรับเรื่องดึงข้อก็อาศัยว่าประตูบ้านดึงเช้าดึงเย็น รวมทั้งท่าออกกำลังกายอื่น ๆ ที่ได้รับการแนะนำมาตอนกวดวิชา สำหรับเรื่องว่ายน้ำนั้นสบายหน่อยเพราะเป็นเด็กแม่น้ำ การว่ายข้ามแม่น้ำเพชรช่วงหน้าน้ำกลับไปกลับมาเป็นเรื่องที่ทำได้สบายมากมานานแล้วก็เลยไม่เป็นห่วงเท่าไร 

การสอบสำหรับรองสองเหลือคนประมาณพันกว่าคน และผลัดเป็นวงรอบจึงได้มาสอบที่โรงเรียนเตรียมทหารเดิมที่ติดกับสวนลุมพินี ที่มาของฉายาสุภาพบุรุษพระรามสี่ในอดีต สำหรับผมนับได้ว่าเป็นความพิลึกพิลั่นของชีวิตเลยก็ว่าได้ จำได้ว่าตอนที่กำลังทดสอบร่างกายในสนามนั้นพวกที่ผ่านการสอบเช่นกันแต่กำลังสอบสัมภาษณ์และตรวจโรคอยู่บนตึกตัววาย ก็มีบางคนยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างแล้วก็ตะโกนรายงานตัวบ้าง ตะโกนอยากเป็นนักเรียนเตรียมทหารบ้าง เสียงดังโหวกเหวกตลอดเวลา

------------------------------------

Click Link ด้านล่าง เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 1 เด็กเพชรอยากเป็นทหาร 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4”  พ.ศ. 2521 ตอนที่ 2 พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4" พ.ศ. 2521 ตอนที่ 3 นักเรียนใหม่ ใจเต็มร้อย 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 4 นตท.21 ชั้น 1 ตอน 6 

นักเรียนเตรียมทหาร “สุภาพบุรุษพระราม 4” พ.ศ. 2521 ตอนที่ 5 เตรียมทหารเตรียมชีวิต 


พ.ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

29 มกราคม 2566

ความทรงจำและระลึกถึงทหารใหม่และครูฝึกของ ราบ 11 พัน 1 ผลัด 1/28 ถึง ผลัด 1/30 ทุกนาย (ทหารดอทคอม 18 เม.ย.48)


ช่วงนี้ชายไทยกลุ่มหนึ่งคงตื่นเต้นกับชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนไปแบบฉับพลันทันที คนกลุ่มนั้นก็คือกลุ่มที่ได้รับเลือกให้รับใช้ชาติด้วยการเป็นพลทหารนั่นเอง พลทหารนับว่าเป็นการสบการณ์หนึ่งที่มีคุณค่าและยากที่จะลืมเลือนได้ แม้ว่าตัวผมเองจะไม่เคยผ่านชีวิตการเป็นทหารเกณฑ์ด้วยตนเองแต่ก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดอย่างมากก็คงจะเรียกได้ เพราะภารกิจแรก ๆ ที่ผมรับหน้าที่ตอนจบเป็นผู้หมวดใหม่ก็คือ การเป็น ผู้ช่วยผู้ฝึกทหารใหม่รุ่นรุ่น 28 ผลัด 1 ที่รายงานตัวเมื่อ 1 ถึง 3 พฤษภาคม 2528 ของกองพันทหารราบที่ผมบรรจุลงครั้งแรกในตำแหน่งผู้บังคับหมวดปืนเล็ก เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2528 และผมยังได้รับภารกิจซ้ำอีกสองครั้งของการฝึกทหารใหม่รุ่น 28 ผลัดที่ 2 และ รุ่น 29 ผลัดที่ 1 และมาทำหน้าที่เต็มตัวในตำแหน่งผู้ฝึกทหารใหม่รุ่นที่ 29 ผลัดที่ 2 และรุ่นที่ 30 ผลัดที่ 1 

      หน่วยที่ผมบรรจุเป็นกองพันทหารราบที่กำลังพลส่วนใหญ่พึ่งผ่านและมีประสบการณ์การป้องกันประเทศและบ้านเมืองมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะสมรภูมิเขาค้อ ปี 2515 หรือ ชายแดนไทย กัมพูชา ช่วงเขมรแตกปี 2522 ถึง 2524 ซึ่งแต่ละคนจะผ่านและเห็นความเดือดร้อนแสนสาหัสของคนบ้านแตกสาแหรกขาดของคนเขมร เห็นการล้มตายลงต่อหน้าต่อตาของมนุษย์ด้วยกันและที่สำคัญคือการตายของเพื่อนที่เป็นทหารด้วยกัน ดังนั้นเมื่อหมดภารกิจการทำหน้าที่ของทหารในการเป็นปราการป้องกันภัยให้แก่ประชาชนและพ่อแม่พี่น้อง หน้าที่ต่อมาก็คือการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ตนเองได้เจอมาให้แก่กำลังพลของหน่วยที่เข้ามาใหม่และไม่มีโอกาสประสบกับสถานการณ์จริงมาก่อนด้วยการทำหน้าที่เป็นครูฝึกทหาร จึงทำให้การฝึกทหารของกองพันทหารราบที่ผมบรรจุนั้นเต็มไปด้วยความโหดมันฮา แบบที่จะทำให้การฝึกของหน่วยอื่นรวมทั้งการฝึกประเภทอื่น ๆ ต้องได้อายที่เดียว 

ระหว่างการฝึกทหารใหม่ของผมปี 2529 - 2530 ที่ผมรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกทหารนั้นนายทหารที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยหลักของผมก็มี ป๋าเหลิม หมวดหวิน หมวดนาจ และน้องนายทหารใหม่ที่พึ่งจบมาอีกสองคน รองลงไปก็เป็นผู้หมวดฝึกอีกสี่คนได้แก่ จ่ามารถ จ่าหนก จ่าเลิศและจ่าเถียร โดยมีครูฝึกที่เป็นนายทหารประทวนและผู้ช่วยครูที่เป็นสิบตรีกองประจำการหรือพลทหารที่ผ่านการฝึกมาแล้วอีกจำนวนหนึ่ง โดยก่อนการฝึกจะมีการฝึกเพื่อเตรียมการประมาณ 4 อาทิตย์ ซึ่งห้วงดังกล่าวจะเป็นการทบทวนทำความเข้าใจ เตรียมวิชาและเครื่องมืออุปกรณ์รวมทั้งสนามที่จะทำการฝึกให้แก่ทหารใหม่ให้มีความพร้อม สำหรับผมหน้าที่ที่สำคัญก็คือการวางแผนฝึกและประสานงานให้เป็นไปตามนโยบายและงานทางธุรการเพื่อให้ผลการฝึกออกอยู่ในเกณฑ์สูงมีความปลอดภัยและทำให้ทหารใหม่สามารถปฏิบัติงานหรือทำหน้าที่ที่จะได้รับต่อไปได้เป็นอย่างดี 

การรับหน้าที่การฝึกรุ่นแรกของผมคือ ทหารเกณฑ์ผลัดที่สองที่ส่งมาข้ามกองทัพมาจากทางอีสานใต้ จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีษะเกษ ทหารผลัดที่สองนี้มีข้อดีก็คือ มีความอดทนและวินัยเป็นเลิศ ไม่ค่อยติดยาเสพติด แต่ข้อเสียก็คือ ระดับการศึกษาจะต่ำกว่าทหารผลัดหนึ่ง โดยจะมีหลายคนที่ยังอ่านหนังสือไม่ได้ แต่โชคดีหน่อยที่ทุกคนพูดภาษาไทยได้ต่างจากก่อนหน้าผม 7 - 8 ปี ที่บางคนพูดได้แต่ภาษาเขมร อย่างไรก็ตามจากการสอบถามครูฝึกแล้วมักชอบทหารจากอีสานมากกว่า การรายงานตัวของทหารโดยทั่วไป ผลัดแรกจะรายงานตัวในวันที่ 1 3 พฤษภาคม หลังจากจับใบดำใบแดงแล้ว เกือบหนึ่งเดือน สำหรับผลัดที่ 2 จะเป็นต้นเดือน พฤศจิกายน แต่หน่วยของผมเป็นทหารข้ามเขต การรายงานตัวจึงเป็นห้วง 4 6 พฤศจิกายน 

ในวันแรกของการรายงานตัวของทหารใหม่นั้น ในขั้นต้นเท่าที่ผมทราบก็คือ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทางสัสดีจะนัดให้มาขึ้นรถที่หน้าว่าการอำเภอ และนำไปรวมที่จังหวัด จากนั้นก็จะมีรถขนย้ายข้ามจังหวัดมาส่งที่ มณฑลทหารบกที่ 1 หรือ 11 ในปัจจุบัน ที่ตั้งอยู่ บริเวณเชิงสะพานเกษะโกมล ถนนนครไชยศรี จากนั้นก็จะมีการคัดเลือกและแบ่งเฉลี่ยให้กับหน่วยต่าง ๆ โดยเอาการศึกษาเป็นตัวจับ ได้แก่ ปริญญาตรีขึ้นไปกลุ่มหนึ่ง ปวช. ปวส. มศ. 4 5 กลุ่มหนึ่ง ม.ศ. 1 3 กลุ่มหนึ่ง ป 1 ป. 7 กลุ่มหนึ่ง และผู้ที่ไม่ผ่านการศึกษาอีกกลุ่มหนึ่ง สำหรับอีกส่วนหนึ่งเป็นพวกที่พ่อแม่ใจถึง โดยได้ทราบกิตติศักดิ์การฝึกของกองพันที่ผมสังกัด และหวังจะให้ลูกได้รับบทเรียนลูกผู้ชายแบบเต็ม ๆ ก็พยายามติดต่อขอให้นำลูกหลานของตนมาลงที่หน่วย เท่าที่เจอก็มีหลายรูปแบบเช่น เป็นหมอมาก็มี ติดยาก็มี ไม่เอาถ่านก็มี ซึ่งก็ไม่ผิดหวังที่ส่งมาที่หน่วย โดยเฉพาะพวกไม่เอาไหนจากที่บ้าน 

เมื่อทหารใหม่ได้รับการแยกหน่วยเสร็จแล้วก็เดินทางพร้อมกับครูฝึกของหน่วยที่ส่งไปรับมาที่หน่วยฝึกทหารใหม่ที่อยู่ด้านในสุดของกองพัน ซึ่งก็มีขั้นตอนแบ่งมอบหน้าที่ให้ครูฝึกแต่ละคนไว้แล้ว โดยขั้นแรกหลังลงจากรถบรรทุกทหารซึ่งมักจะมาถึงตอนสองสามทุ่มไปแล้วก็พาไปหาข้าวกินน้ำกินให้สบายอกสบายใจเสียก่อน จากนั้นก็ทำบัญชีประวัติ  ที่อยู่ การศึกษา ความสามารถ โรคประจำตัว บุคคลใกล้ชิด แล้วก็แจกสิ่งของเสื้อผ้าตั้งแต่รองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ รองเท้าคอมแบท ถุงเท้า กางเกงใน กางเกงขาสั้น เสื้อยืด หมวกแก๊ป เข็มขัด สบู่ ขันน้ำ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ที่นอน หมอน มุ้ง และสิ่งของอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นของรับแจกฟรี จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าพลเรือนใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้ให้รวมทั้งของมีค่าที่ผู้หมวดฝึกจะทำบัญชีไว้เพื่อส่งคืนในวันจบการฝึก ก่อนเก็บเข้าคลังรักษาไว้ชั่วคราว ถ้าเวลาค่ำมืดมากก็จะพาขึ้นไปบนโรงนอนหรือกองร้อยฝึกแจกสายมุ้งและหาที่นอนพักผ่อนเพื่อตื่นขึ้นมารับคำชี้แจงในวันรุ่งขึ้น 

วันที่สอง การตื่นก็ยังเป็นการตื่นตามระเบียบทหารคือ ตีห้าครึ่ง สิบเวรหน่วยฝึกก็จะเป่านกหวีดโดยจะเริ่มการเป็นทหารที่ละเล็กละน้อยก็คือ การได้ยินเสียงตะโกนให้รีบลงมาพร้อมกับขันน้ำ แปรงสีฟันยาสีฟัน และรองเท้า ผ้าใบ ซึ่งจะมีเวลาประมาณสิบนาทีในการทำธุระส่วนตัว ซึ่งนั่นหมายความว่า แปรงฟันและเข้าห้องน้ำเท่านั้น จากนั้นก็จะมารวมแถวหน้าหน่วยฝึกเพื่อเรียนรู้วิธีการออกกำลังกายของทหารขั้นต้นจากนายทหารเวรที่เป็นผู้หมวดฝึกและผู้ช่วยครูที่นอนร่วมกับทหารใหม่ซึ่งแต่งกายเรียบร้อยคอยอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนตีห้าครึ่ง พอใกล้เวลาหกโมงเช้าครูนายสิบที่เหลือซึ่งพักอยู่บ้านพักไม่ไกลนักก็ทยอยกันมาถึงหน่วยฝึกในชุดฝึกหมวกรองในคาดเหลืองและเริ่มแบ่งกลุ่มของทหารใหม่ออกเป็นกลุ่มย่อย และแนะนำท่าเบื้องต้นเช่น การยืนตรง การเดิน การหัน การเข้าแถวแบบต่าง ๆ จนเจ็ดโมงเช้า ก็พาเดินไปทานอาหารเช้า ซึ่งครูส่วนใหญ่ที่ยังไม่เบื่ออาหารโรงเลี้ยงรวมทั้งผมด้วยก็ได้อาศัยข้าวทหารใหม่เป็นอาหารหลักโดยไม่ต้องไปหุงหาหรือเตรียมให้เปลืองเวลาหรือเงินทองแต่อย่างไร ซึ่งทำให้เป็นการประหยัดไปในตัว พลทหารสมัยผมฝึกได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 24 บาท หักค่าอาหารสามมื้อ 16 บาท เหลือคืนวันละ 8 บาท นั่นหมายถึงอาหารมื้อละประมาณ 6 บาท จึงมีให้เลือกไม่มากนักแต่ก็กินกันอิ่มแทบทุกคน โดยเฉพาะตอนใกล้จบการฝึกทหารใหม่บางคนถึงกับอ้วนใหญ่จนผิดหูผิดตาญาติพี่น้องเลยทีเดียว 

การกินข้าวของทหารมีขั้นตอนอยู่บ้างแต่ไม่มากนักและไม่ค่อยเร่งเวลาดังนั้นทหารจะกินได้มากโดยเฉพาะสัปดาห์หลัง ๆ ที่มีการฝึกเหนื่อยมาก ๆ ทหารจะกินกันได้มาก การกินอาหารจะใช้เวลาครึ่งชั่วโมงแล้วทหารจะเดินกลับไปที่หน่วยฝึกมีเวลาพักผ่อนเข้าห้องน้ำประมาณ 15 นาทีก็จะรวมแถวเพื่อฟังคำชี้แจงประจำวัน ในวันที่สองนี้จะเป็นการทำงานด้านธุรการให้เรียบร้อย เช่น การตัดผม การเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัว ตัดเล็บ แบ่งหมวดหมู่ กำหนดที่นอนให้แน่ชัด รับฟังคำชี้แจงและรับทราบบทลงโทษในการทำผิดเช่นการคิดหนีระหว่างการฝึก จากนั้นในสัปดาห์แรกก็จะเป็นเริ่มการฝึกบุคคลท่ามือเปล่าและบุคคลท่าอาวุธในสัปดาห์ที่สอง ซึ่งการฝึกจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นมาเรื่อย ๆ และครูฝึกก็จะเริ่มใช้เวลาว่างต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยหลังจากผ่านไปได้สี่ห้าวันเวลาตื่นของทหารใหม่จะร่นให้เร็วขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง เป็นตีสี่ครึ่งเพื่อให้มีเวลาพิเศษอีกหนึ่งชั่วโมงในการท่องชีท หรือวิชาอบรมความรู้ทางทหาร ที่มีอยู่สิบกว่าบทแต่แตกต่างจากความรู้สึกของคนทั่วไปก็คือชีทที่ว่านี้ในแต่ละบทจะแบ่งสำเร็จรูปแล้วเป็นคำถามคำตอบ 

ผมเองยังจำข้อหนึ่งของบทที่หนึ่งที่ถามว่า พลทหารปีหนึ่งได้รับเงินเดือนคนละเท่าไร ซึ่งจะมีคนถามนำหนึ่งคนว่า ถาม พลทหารปีหนึ่งได้รับเงินเดือนคนละเท่าไร พลทหารก็จะตอบพร้อมกันว่า ตอบ สี่ร้อยยี่สิบบาทครับ คำถามคำตอบนี้มีทั้งหมดประมาณ 260 กว่าข้อ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าทหารที่เข้ามารับการฝึกไม่ว่าจะมีความรู้ระดับไหนรวมทั้งเรียนไม่จบ ประถมสี่ เมื่อฝึกใกล้จบสามารถจำคำตอบได้ทุกคน และที่แสบไส้ไปกว่านั้นก็คือ คนที่ไม่รู้หนังสือเลยบางคนสามารถจำคำถามได้ทุกข้อแบบเรียงข้อได้อีกด้วย เหมือนกับพระที่ท่านจำปาฏิโมกข์ได้อย่างใดอย่างนั้นเลยที่เดียว ซึ่งคำถามและคำตอบนั้นไม่ใช่สั้นแบบคำถามคำตอบแรกที่ผมยกตัวอย่างเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่จะยาวหนึ่งบันทัดขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ผมว่ามันน่าทึ่งมากที่ทหารใหม่สามารถมีความจำได้เช่นนี้ในเวลาเพียงสองเดือนและส่วนใหญ่ก็ไม่มีความรู้สูงเลย ตัวผมเองฝึกมาห้ารุ่นยังต้องยอมในความสามารถนี้ แต่เรื่องการท่องชีทนี้ต่อมาได้มีนโยบายสั่งห้ามไปโดยให้ไปใช้การอบรมแบบปกติเพราะที่ผ่านมาวิธีการทำให้จำที่ครูฝึกคิดขึ้นมาทำให้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งคงเกินความพอดีไปหน่อย เรื่องท่องชีทนี่ ผมจำได้แม่นก็เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่คิดว่ามันจะทำได้เป็นส่วนรวม และมีรายละเอียดปลีกย่อยให้น่าจดจำอื่น ๆ เช่น วันสุดท้ายของการฝึกซึ่งเป็นการตรวจสอบผลการฝึก สถานีการฝึกอบรมหรือการท่องชีทนี้ คณะกรรมการจะทำการจับฉลากคัดเลือกทหารใหม่ให้ตอบที่ละคน คนละข้อ จนครบร้อยคน โดยจะจับฉลากคำถามจำนวนร้อยข้อจากคำถามสองร้อยกว่าข้อนี้มาถามเช่นกัน ซึ่งพลทหารที่จับได้คนแรกให้ตอบนั้น เป็นพลทหารที่เก่งที่สุดในการท่องชีท แม้ว่าเขาจะอ่านหนังสือไม่ออกเลย แต่เมื่อการฝึกฝนผ่านไปพลทหารคนนี้สามารถจำข้อสอบอบรบได้ทุกข้อไม่ว่าจะเป็นคำถามหรือคำตอบและในช่วงสัปดาห์ท้าย ๆ ของการฝึกพลทหารคนนี้ก็ได้รับยอมรับจากครูฝึกและพลทหารรุ่นเดียวกันให้เป็นคนถามนำในตอนกลางคืนและตอนเช้าเป็นส่วนรวม 

ดังนั้นเมื่อกรรมการจับฉลากขานชื่อพลทหารคนนี้ขึ้นมาใบหน้าของครูฝึกทุกคนรวมทั้งผมด้วยก็มีรอยยิ้มขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะถือว่าได้คะแนนแรกแล้วแน่  ๆ เมื่อพลทหารคนดังกล่าวยืนและรายงานชื่อตนเอง กรรมการก็อ่านคำถาม ข้อแรกช้า ๆ ว่า ถาม ครูฝึกทหารใหม่ได้รับเงินเดือนเดือนละเท่าไร พลทหารคนดังกล่าวเมื่อได้ฟังจบก็ไม่สามารถกลั้นความดีใจถึงคำถามที่ถามมาไม่ได้จนยิ้มออกนอกหน้า หลังจากกรรมการอ่านคำถามซ้ำเป็นรอบสองตามระเบียบจบ พลทหารคนนั้นก็ตอบด้วยเสียงอันดังอย่างเต็มภาคภูมิว่า ตอบ สีร้อยยี่สิบบาทครับ แล้วนั่งลง พลันรอยยิ้มบนใบหน้าก็หุบลงเมื่อเพื่อนพลทหารที่เข้ารับการทดสอบด้วยกันส่งเสียงฮือยาวแล้วหยุดลงทันที กลายเป็นความเงียบกริบและคงไปกระตุกใจของพลทหารคนนั้นได้ว่าเขาพลาดไปเสียแล้ว เพราะความที่เขามั่นใจในคำตอบและเข้าใจผิดว่ากรรมการถามว่า เงินเดือนพลทหารปีหนึ่ง เขาจึงตอบไปว่า 420 บาทซึ่งไม่ใช่คำตอบของเงินเดือนครูทหารใหม่ที่ต้องตอบว่า 510 บาท 

ผมคิดว่าความเสียใจของเขาคงพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง และฉับพลัน เพราะคำถามแบบนี้ง่ายมากสำหรับเขาที่ท่องมาเป็นพันเที่ยวแต่เขาต้องมาตกม้าตายในวันจริง ผมเห็นน้ำตาของเขาค่อย ๆ ไหลออกมา ริมฝีปากล่างตกลงพูดอะไรไม่ออกพร้อมตัวเขาสั่นเทา ทุกคนรวมทั้งกรรมการก็ตกตลึงผมเองนั่งอยู่ด้วยก็ทำลายความเงียบด้วยการเดินไปที่พลทหารคนนั้นและบอกว่า ไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้วไม่ต้องเสียใจ และผู้ฝึกไม่ได้โกรธอะไร ขอให้ทุกคนที่เหลือตั้งใจตอบคำถามและทดสอบสถานีอื่น ๆ ให้ดีที่สุดต่อไป ซึ่งก็นับว่าได้ผลเพราะคำถามคำตอบที่เหลืออีก 99 ข้อ พลทหารที่เข้ารับการทดสอบสามารถตอบได้ถูกทุกคำ 

การฝึกในสองสัปดาห์แรกของทหารใหม่ภายใต้ความรับผิดชอบของผมนั้น ถือว่าเป็นสัปดาห์ที่ต้องใช้ความทรหดอดทนมากสำหรับพลเรือนที่ชั่วข้ามคืนกลายมาเป็นทหาร จากที่ทำอะไรได้ตามใจตนเป็นส่วนใหญ่กลับกลายมาเป็นศูนย์ เวลาตื่นก็ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง (แน่นอนว่าผมต้องตื่นมาก่อน 15 นาที เพื่อแต่งกายชุดครึ่งท่อนและทำธุระส่วนตัวคอย) ตื่นมาก็ท่องหนังสือหรือชีทหนึ่งชั่วโมงจากนั้นก็แปรงฟันล้างหน้าสิบนาที จะดีหน่อยที่ไม่ต้องเก็บที่นอนเพราะมีทีมเก็บที่นอนที่คัดออกมาจากพลทหารใหม่ที่เข็นให้ท่องชีทไม่ไหว ทำหน้าที่เก็บที่นอนหมอนมุ้งให้ จากนั้นก็ออกกำลังกายด้วยการวิ่งรอบกองพันเพลงที่ผมชอบมากในตอนนั้นคือ เพลงทางอีสานชื่อว่า เพลงหอมดอกผักคะแยง เพราะทำให้ผมคิดถึงบ้านผมที่เพชรบุรีแม้ว่าผมจะไม่รู้จักว่าดอกผักคะแยงหน้าตาเป็นอย่างไร และที่ว่าทำให้ผมคิดถึงก็เพราะตลอดเวลาการฝึกทหารใหม่ผมเองไม่ได้ออกไปไหนนอกกองพันเลยที่เป็นเรื่องส่วนตัวและนั่นก็คือผมไม่ได้กลับบ้านที่เพชรบุรีเลยทุกห้วงการฝึกทหารทั้งห้ารุ่น เมื่อวิ่งได้เหงื่อแล้ว ก็เริ่ม ฝึกทบทวนเรื่องที่ฝึกวันที่ผ่านมาตั้งแต่หกโมงถึง เจ็ดโมงเช้า แล้วสวนสนามไปกินอาหารเช้า แปดโมง ฝึกต่อด้วยท่าฝึกที่เพิ่มเติมมาในแต่ละวันทั้งบนสนามหญ้าและลานปูน ที่อยู่ใต้ดวงอาทิตย์เต็ม ๆ ซึ่งถ้าเป็นทหารผลัดหนึ่งจะมีปัญหามากเพราะเป็นช่วงที่อากาศร้อนมาก 

ช่วงก่อนที่ผมจะทำหน้าที่ผู้ฝึก ไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์อะไรเนื่องจากมีทหารในที่ต่าง ๆ เสียชีวิตจากอากาศร้อนจากหลาย ๆ หน่วย ที่เรามารู้จักกันทีหลังว่า ฮีทสโตก ผมมาทราบเอาทีหลังว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีนักเรียนจู่โจมที่ค่ายธนะรัชต์เสียชีวิตในห้วงเวลาใกล้ ๆ กัน และมีทหารปากีสถานเสียชีวิตจำนวนมากด้วยกอาการคล้าย ๆ กันด้วย ซึ่งต่อมาได้มีมาตรการแก้ไขจากกรมแพทย์ทหารบกออกมาหลายประการ เช่น ให้ฝึกภายใต้ต้นไม้ การฉีดน้ำเพื่อลดความร้อน การติดธงบอกอุณหภูมิ ซึ่งไม่ทราบว่าได้ผลประการใด พูดถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงกลุ่มทหารใหม่ที่ติดยา สมัยผมเป็นยุคเฮโรอินรุ่งเรือง ยาบ้ายังไม่ฮิต ดังนั้นทหารผลัดหนึ่งก็จะมีคนติดเฮโรอินมาด้วยสี่ห้าคน ถ้าผลัดสองก็น้อยหน่อยแต่จะไปติดกัญชาแทนสิบกว่าคน พวกกัญชานี่ไม่ค่อยมีปัญหาเจอฝึกหนัก ๆ หายไปเอง แต่พวกเฮโรอินนี่ต้องมีการรักษาพิเศษ พวกนี้พวกติดหนัก ๆ จะแอบเอาติดตัวมาด้วยด้วยการซ่อนตาชายเสื้อหรือกางเกงบ้าง หรือใส่มาในหลอดปากกาลูกลื่น ซึ่งมักจับได้หรือครูฝึกที่มีประสบการณ์มักจะดูออก เช่น พวกสักทั้งตัว พวกนี้เกินครึ่งที่ติดเฮโรอิน เมื่อถามไปถามมาส่วนใหญ่ยอมรับ เพราะทางเราแจ้งว่าถ้าไม่บอกเกิดลงแดงแล้วอาจช่วยไม่ทัน 

เมื่อรู้ตัวพวกครูจะคอยสังเกตุระหว่างการฝึกเป็นพิเศษหรืออาจจะแยกออกมาทำการฝึก ซึ่งเมื่อผ่านไปวันสองวันพวกติดเฮโรอินก็จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บกระดูกจากการที่ไม่ได้เสพยา วิธีการขั้นต้นที่แก้ติดยาก็คือให้ถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปเกาะหลักไม้ไผ่ในบ่อหน้าหน่วยฝึกโดยมีครูคอยเฝ้าสองสามคน คนหนึ่งจะทำหน้าที่กระโดดไปช่วยถ้าเกิดหมดแรงอีกคนจะเป็นนายสิบเสนารักษ์ที่จะมียาแก้อยู่ในกระเป๋าย่าม ซึ่งได้แก่ยาแก้ปวดทัมใจ เอาไว้กรอกปากถ้าการแช่น้ำแล้วยังเอาไม่อยู่ รวมทั้งมีอุปกรณ์เสพเฮโรอินทั้งแบบฉีดและแบบเผาสูดควันเอาไว้เป็นไม้ตาย แต่เท่าที่ผมเจอมาหนักสุดที่นายสิบเสนารักษ์ช่วยไม่ว่าติดมาห้าหกปีก็แค่ให้ยาทัมใจ และพวกติดเฮโรอีนในระหว่างการฝึกหายทุกคนแต่จะมีบ้างที่ฝึกเสร็จแล้วกลับไปอยู่กับเพื่อนที่คลองเตยแล้วกลับมาติดอีก 

กลับมาที่การฝึกใหม่ในช่วงแรกทหารยังคงใส่ขาสั้นรองเท้าผ้าใบเสื้อยืดเขียวทำการฝึกซึ่งรองเท้ามักจะกัดเพราะคุณภาพยังไม่ถึงขั้นและมากัดหนักอีกทีตอนใส่รองเท้าคอมแบท บางคนถูกรองเท้ากัดจนเลือกเปียกถุงเท้าแต่ก็ทนไม่บ่นอาจจะเป็นเพราะความกลัวหรือความอดทนที่ได้รับการสั่งสอนก็ไม่แน่ใจ การฝึกจะฝึกกันตั้งแต่เช้ายันห้าโมงเย็น มีพักระหว่างชั่วโมงสิบนาทีและพักรับประทานอาหารกลางวันชั่วโมงเหนึ่ง พอห้าโมงก็ออกกำลังกายด้วยการเน้นไปที่การเข้ารับการทดสอบสถานีที่หนึ่งคือการออกกำลังกาย ด้วยท่า วิ่งเร็วสามร้อยเมตร (ได้เต็มต้องวิ่งไม่เกิน 46 วินาที) ยึดพื้น ลุกนั่ง และดึงข้อ (เต็ม 15 ครั้ง) ซึ่งแต่ละท่าครูฝึกก็จะมีเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้พลทหารทำได้คะแนนดีที่สุด เรียกว่าพอวันสุดท้ายทุกคนแข็งแรงกันไปตาม ๆ กัน จากนั้น หกโมงเย็นก็ได้เวลาอาหารเย็นที่เลื่อนหนีเวลาอาหารปกติไปชั่วโมงหนึ่ง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาระหว่างตักข้าวก็ท่องชีทไปด้วยทุกมื้อ กินข้าวเสร็จใกล้ทุ่มก็กลับหน่วยฝึกช่วงเวลานี้นับว่าเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่มีอยู่บ้างของหน่วยฝึกของผมเพราะจะเป็นเวลาอาบน้ำ ซึ่งทุกคนต้องปะแป้งที่ต้องปะแป้งก็เพราะเวลาอาบน้ำมีน้อยทหารมักเป็นผื่นคันเต็มตัว พวกเราจึงบังคับให้ทหารต้องประแป้งที่หน้ามาให้เห็นเพราะรู้ว่าผู้ชายทั่วไปมักไม่ประแป้งซึ่งถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์ทหารใหม่ก็คงไม่เป็นไร 

การอาบน้ำของทหารใหม่เป็นการอาบแบบห้องน้ำรวมคือมีการก่อเป็นบ่อปูนยกสูงขนาดเอวกว้างสองเมตร ยาวหกเมตร มีหัวก๊อกเติมน้ำขนาดสามนิ้ว ซึ่งทหารต้องรีบอาบน้ำให้ไวเพราะเวลามีจำกัดด้วยการนับถอยหลังของครูฝึกอารมย์ดีทั้งหลาย ดังนั้นทหารใหม่ก็จะนุ่งผ้าขาวม้าถือขันวิ่งลงมาจากโรงนอนเข้าห้องน้ำตักราดตัวสองสามขัน ถ้าคนไม่แน่นก็อาจจะฟอกสบู่ถ้าแน่นก็เอาแค่นั้นแล้วรีบวิ่งกลับไปประแป้งใส่ชุดขาสั้นเสื้อยืดรองเท้าแตะลงมา ตรงช่วงนี้ที่ว่ามีความสุขสำหรับทหารใหม่อยู่บ้างก็คือได้มีโอกาสพักหายใจประมาณยี่สิบนาทีเพื่อซื้อขนมบุหรี่ หรือได้เจอสาว ๆ บ้าง เช่น แม่ค้าที่มาขายกิน บุหรี่ น้ำหวานและของใช้ที่ร้านด้านหลังหน่วยฝึก และมีโอกาสได้สร้างสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ที่พึ่งจะรู้จักกันแต่ไม่มีโอกาสได้คุยกันตอนฝึกรวมทั้งได้เขียนจดหมายบ้างซึ่งเป็นหนทางเดียวในการติดต่อกับทางบ้านหรือภรรยาที่จำต้องแยกมา จากนั้นเวลาสองทุ่มก็รวมกันเพื่อท่องชีท ซึ่งจะมีการแบ่งทหารใหม่ตามระดับความรู้แทนการแบ่งตามหมวดหมู่ ซึ่งจะมีครูอาสาสมัครและผู้ช่วยครูมาทำหน้าที่คุมการท่อง ผมเองมักใช้เวลาที่เขาแบ่งกลุ่มเสร็จกลับไปบ้านพักที่อยู่ห่างไปห้าร้อยเมตรเพื่ออาบน้ำแล้วแต่งตัวกลับมาช่วยคุมกลุ่มทหารที่ไม่เรียนหนังสือท่องชีทต่อจนประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืนก็เดินตรวจความเรียบร้อยของเวรยามและโรงนอนทหารใหม่ก่อนที่จะมานอนอยู่ใต้ถุนโรงนอนของทหารใหม่ เพื่อเตรียมตัวตื่นเวลาตีสี่สิบห้านาทีของวันต่อไป 

ระบบเวลานี้จะใช้ตั้งแต่สัปดาห์ที่สองไปจนจบการฝึกทหารใหม่และทำตั้งแต่วันจันทร์ถึงเสาร์แต่วันเสาร์ทหารใหม่จะนอนเร็วหน่อยประมาณสามทุ่มเพื่อเตรียมและวันอาทิตย์ฝึกเพียงครึ่งวันโดยครึ่งวันหลังของวันอาทิตย์เป็นวันที่ให้ญาติทหารใหม่มาเยี่ยมได้ยกเว้นอาทิตย์แรกที่เข้ารับการฝึก มาถึงตรงนี้ต้องขอแทรกหน่อยโดยการฝึกทหารผลัดหนึ่งในรอบสองนั้น ผมเจอทีเด็ดของพลทหารคนหนึ่งที่ต้องจำไปจนตายก็คือ หลังจากที่มีการปล่อยให้ญาติมาเยี่ยมได้แล้วประมาณสักอาทิตย์ที่สี่ของการฝึก ภรรยาและแม่ยายของทหารคนหนึ่งก็แต่งกายชุดดำก็มาแจ้งที่กองรักษาการณ์ด้วยสีหน้าเศร้าโศกว่าต้องการพบผมเพื่อขออนุญาติให้พลทหารที่เป็นลูกเขยไปร่วมงานศพของพี่สาวที่ผูกคอตาย ผบ.กองรักษาการณ์ก็ใช้โทรศัพท์สนามหมุนเข้าไปแจ้งให้ผมทราบเมื่อผมได้สอบถามรายละเอียดว่าจะดำเนินการศพอย่างไรเขาก็บอกว่าอยากให้พลทหารที่เป็นน้องชายของคนตายไปร่วมงานศพพี่สาวของเขาสักสองสามวันแล้วจะนำมาส่ง ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าสมควรแก่เหตุก็แจ้งให้ผู้หมวดฝึกและสิบเวรหน่วยฝึกเรียกตัวพลทหารดังกล่าวมาพบพร้อมกับแสดงความเสียใจและบอกให้ไปแต่งตัวไปร่วมงานโดยให้ผู้หมวดฝึกไปส่งที่กองรักษาการณ์ผู้หมวดฝึกกลับมาแจ้งว่าดูท่าทีของคนทั้งสามแล้วไม่ได้มีท่าทางเศร้าโศกอย่างที่ควรเลย และสังเกตว่าตอนขึ้นรถจากไปมีการหัวเราะเล่นหัวกันด้วย 

ผมเองก็เริ่มสะกิดใจแล้วแต่ก็ยังนิ่งอยู่จนสามวันผ่านไปไม่มีวี่แววการกลับมาของทหารใหม่คนนั้นเลยเริ่มสงสัยแต่ยังไม่บอกใครมากนอกจากขอประวัติของพลทหารนั้นมาดูที่อยู่ที่วาดไว้และออกไปกับพลขับสองคนเพื่อไปตามหาบ้าน หาไปหามาสักพักก็เจอบ้านที่แจ้งไว้แต่เป็นบ้านพ่อของทหารใหม่ พ่อทหารใหม่ก็บอกว่าไม่เจอลูกชายเลย และบอกว่าพี่สาวที่ว่านั้นผูกคอตายจริงแต่ตายไปหลายปีแล้ว เท่านั้นแหละผมก็ร้องในใจว่าโดนเข้าแล้ว แต่ก็ตั้งสติไม่ได้แสดงอาการโมโหหรือตะหนกอะไรแล้วก็บอกให้พ่อของทหารนั้นทราบถึงความผิดในการหนีทหารและบอกว่าถ้านำตัวไปส่งจะถือว่าไม่มีความผิดเพราะผมต้องการเพียงให้เขากลับไปเท่านั้นเพื่ออนาคตของเขาเองซึ่งก็ได้ผลอีกสี่ห้าวันพ่อของทหารใหม่ก็พาทหารใหม่ไปส่งหน่วยฝึก ซึ่งนับว่าเป็นบทเรียนที่ไม่ธรรมดาสำหรับผมเลยทีเดียว 

กลับมาเรื่องการฝึกอีกที หลังจากสิ้นสุดการฝึกบุคคลท่ามือเปล่าและท่าอาวุธในสองสัปดาห์แรกแล้ว สัปดาห์ที่สามของการฝึกไปจนสิ้นสุดการฝึก จะเป็นการแบ่งทหารออกเป็นสี่หมวดแยกตามสถานีการฝึก จำนวนสี่สถานี คือ สถานี บุคคลท่ามือเปล่าและบุคคลท่าอาวุธ (สถานีตรวจสอบที่ 2) ซึ่งเป็นการทบทวนความถูกต้องจากที่ได้รับทราบเบื้องต้นมาแล้ว สถานีอาวุธศึกษา (สถานีตรวจสอบที่ 3) ทหารจะได้รับการฝึกการถอดประกอบอาวุธประจำกาย การเล็งสามจุด ท่ายิง การขว้างระเบิด และการท่องวิชาอาวุธศึกษา สถานียิงปืน (สถานีตรวจสอบที่ 4)ทหารจะได้รับการฝึกให้ยิงปืนเล็กยาวเอ็ม 16 ระยะ 1000 นิ้วหรือ 25 เมตร จากห้าท่ายิง และสถานีสุดท้ายคือวิชาทหาร เบื้องต้น (สถานีตรวจสอบที่ 5) ซึ่งทหารใหม่จะได้รับการฝึก การปฐมพยาบาลเบื้องต้น  แผนที่เข็มทิศ การเข้าตี ป้อมสนาม การเดินทางไกล และท่องวิชาที่เกี่ยวข้อง 

ในรอบสี่วันทหารทุกคนจะหมุนกันเข้ามาฝึกสถานีละหนึ่งรอบ ในช่วงนี้ทหารใหม่เริ่มเข้าที่ร่างกายแข็งแกร่ง โรคภัยเบียดเบียนก็น้อยลง และมีความรู้สึกในการเป็นทหารตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่มากขึ้น อีกทั้งความรู้ความคล่องแคล่วในการเป็นทหารก็เพิ่มตามเวลาที่ผ่านไป ความสนิทสนมความรักใคร่ระหว่างทหารใหม่กับครูฝึกก็มีมากขึ้นมาการแบ่งปันและแสดงน้ำใจซึ่งกันและกัน หยาดเหงื่อที่เคยคิดว่าเป็นความเหน็ดเหนื่อยเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความพยายามที่จะทำให้ดีที่สุดและดียิ่งกว่ารุ่นพี่ ๆ ที่ผ่านมา หัวใจของทุกคนได้รวมเป็นหนึ่งเดียว ฝึก ฝึก และฝึก คือคำที่มีอยู่ทุกลมหายใจแต่ละคน การลากกันไปสู่จุดหมาย การยื่นมือเข้าช่วยเหลือ การให้กำลังใจของทหารใหม่แต่ละคนซึ่งมีให้ต่อกันที่ปรากฎให้เห็นในสัปดาห์หลังจากที่มีการทดสอบซ้อมครั้งแรกมีมากขึ้นอย่างชัดเจน 

ในที่สุดสามวันสุดท้ายของการฝึกก็มาถึง ความรักในหมู่คณะของทหารใหม่ ความเปลี่ยนแปลงจากคนที่เหยาะแหยะไม่เข้มแข็งเมื่อสองเดือนก่อนเป็นผู้ที่องอาจผึ่งผายอย่างไม่น่าเชื่อสายตาของผู้ที่รู้จัก ชุดฝึกชุดใหม่ หมวกรองในและรองเท้าที่มันปลาบ ท่าทางที่ทะมัดทะแมง ความพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ ความเป็นฮีโร่ของทหารทุกคนได้เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อหน้าผู้บังคับบัญชาและญาติพี่น้อง ภรรยาและลูกๆ ของทหารใหม่ที่มาให้กำลังใจ ในวันตรวจสอบ ผลการทดสอบทั้งหกสถานีออกมาได้เกินเป้าหมายและเหนือกว่าคะแนนของการฝึกทหารใหม่รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการประกาศชัยชนะในค่ำคืนสุดท้ายของการเป็นทหารใหม่ที่ผู้บังคับบัญชาและกำลังพลหน่วยฝึกทุกคนได้โห่ร้องยินดีถึงความสำเร็จนั้น 

ทหารใหม่ที่จะกลายเป็นทหารเก่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าได้อุ้มผู้ฝึก ผู้ช่วยผู้ฝึกและผู้หมวดฝึกที่ครั้งหนึ่งพวกเขาอาจจะเคยคิดว่าโหด ดุ ใจร้ายไปรอบ ๆ และโยนขึ้นลงไปบนอากาศ พร้อมเปล่งเสียงไชโย ไม่ขาดระยะ เมื่อผมสบตาพวกเขาในเวลานั้น ผมรู้และมั่นใจในทันทีว่า เขาพวกนี้แหละที่ผม จะรบเคียงไหล่ จะตายเคียงกัน สมคำปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล และเขาจะเป็นผู้เสียสละเพื่อชาติเมื่อชาติต้องการเหมือนเช่นปู่ย่าตายายของเขาที่ได้เสียสละมาแล้วในอดีต

--------------------------------------------------------------------------

                                                                         พ.ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์ 
 

28 มกราคม 2566

ติมอร์ตะวันออกในความทรงจำ (ทหารดอทคอม พ.ย.42 - ม.ค.43)




ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผมได้ดูภาพยนต์สงครามที่เป็นเรื่องราวของจ่าทหารสองคนที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ออกไปลาดตระเวนรบกับข้าศึก โดยแยกกันไปคนละหมู่ แต่ละครั้งที่จบภารกิจทั้งคู่จะเดินทางกลับเข้าฐานเพื่อบรรยายสรุปผลการปฏิบัติ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้หมู่ทหารคนแรกจะบรรยายสรุปถึงผลการปะทะ จับและสังหารข้าศึกได้กี่คน ฝ่ายตนเองสูญเสียบาดเจ็บกี่นาย และตัวผู้หมู่ได้รับบาดเจ็บอะไรบ้าง มีแผลเป็นกี่แผลต่อกี่แผลจากการตอบโต้ของข้าศึก โดยผู้หมู่อีกคนหนึ่งได้แต่บรรยายถึงภารกิจของตนเองที่ไม่ได้ปะทะกับข้าศีกเลยโดยทุกคนในหมู่ปลอดภัยไม่เคยมีใครได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากบรรยายสรุปจบ แมื่อแยกย้ายไปแล้วผูู้หมู่คนที่สองก็จะแอบไปร้องไห้อยู่เงียบ ๆ เมื่อเพื่อนมาพบเข้าเกิดความสงสัยจึงถามว่าเขาร้องไห้ทำไม เขาก็ตอบว่า "เขาอิจฉาผู้หมู่คนแรกที่ออกลาดตระเวนแต่ละครั้งได้ทำการสู้รบกับข้าศึกทุกที ตรงกันข้ามกับเขาที่โชคร้าย พยายามแล้วพยายามอีกก็หาข้าศึกไม่เจอ เขาจึงนึกน้อยใจในโชคชะตาที่แสนจะอาภัพนี้เสียจริง ๆ"

ผมเองในปี 2542 มีความรู้สึกเช่นเดียวกับผู้หมู่คนที่สองที่น้อยใจในโชคชะตาที่ไม่ได้พาผมเข้าไปสู่พื้นที่ของการสู้รบจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งมีการลงประชามติในติมอร์ตะวันออกเมื่อ 31 ส.ค.42 และเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดตามมาบานปลายจนอินโดนีเซึยต้องขอรับความช่วยเหลือในการใช้กำลังทหารจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาครวมถึงประเทศไทยเข้าไปรักษาความสงบ ซึ่งในเหตุการณ์นั้นมันได้ช่วยลบปมที่มีอยู่ในใจของผมที่ค้างคามากว่า 13 ปี

อาจเป็นเพราะโชคชะตาที่ดันผมให้เข้ามายืนแถวหน้าของเหตุการณ์การส่งกองกำลังของไทยไปติมอร์ตะวันออกในครัั้งนี้ เนื่องจากเห้วงเวลาที่มีเหตุการณ์นั้น ผมเองไม่ได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่เกี่ยวข้องเลยก็ว่าได้ เพราะตำแหน่งหน้าที่ของผมคือ รองผู้บังคับกองพันทหารราบ ซึ่งทำหน้าที่แบบนี้มา 3 ปีแล้ว และในช่วงต้นเดือนกันยายนของทุกปี ผมต้องทำหน้าที่เป็น ผู้ควบคุมการฝึกภาค หมู่ ตอน หมวด ของกองพัน ปีนี้ก็เช่นเดียวกันช่วงแรก ๆ ผมก็เตรียมตัวที่จะออกไปฝึกเหมือนทุกปีที่ผ่านมา แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้มีการปรับเปลี่ยนการแบ่งมอบหน้าที่ใหม่ โดยให้ผู้ที่รับผิดชอบการฝึกเป็นนายทหารยุทธการและการฝึก และมอบให้รองผู้บังคับกองพันควบคุมเฉพาะการฝึกภาคกองร้อย ดังนั้น การฝึกภาคหมู่ ตอน หมวด ครั้งนี้ผมจึงอยู่เฝ้ากองพันและมีเวลาว่างพอสมควรเพราะกำลังพลส่วนใหญ่ออกไปฝึกกันหมด

วันที่ผมรู้ว่ามีการรับสมัครนายทหารไปเป็นนายทหารติดต่อที่ติมอร์ตะวันออก เป็นวันที่ 7 กันยายน 2542 เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งซึ่งเป็น รองผู้บังคับกองพัน มณฑลทหารบกที่ 11 ได้โทรมาชวนไปร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งสอบได้เป็น รองผู้ช่วยทูตทหารที่สหรัฐ วันนั้นผมยังจำได้ดีว่าเป็นวันพุธ เพราะผมแต่งชุดฝึกไปร่วมรับประทานอาหารที่ร้านเป็ดพูนสิน ซึ่งก็ถูกเพื่อน ๆ แซวเหมือนเดิมเพราะเพื่อนหลายคนได้เป็นพันเอกแล้ว แต่ผมเองยังเป็นพันตรีโดยไม่รู้ว่าจะได้พันโทกับเขาเมื่อไร

เพื่อน ๆ จะทราบดีว่าผมเองเป็นคนหนึ่งที่ชอบความท้าทายมาโดยตลอด จึงมักคิดว่าผมควรเจริญก้าวหน้ามากกว่านี้ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นดั่งที่คิด ก็เลยมีเพื่อนที่ทำงานในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) บอกว่า ลักษณะแบบผมนี้ถ้าอยู่ปกติแล้วไม่ก้าวหน้า ก็ควรไปเป็นทหารที่ติมอร์น่าจะดีกว่านี้ แล้วก็บอกว่าโอกาสนี้น่าจะดีเพราะสหประชาชาติได้ร้องขอไทยให้ส่งนายทหารสังเกตการณ์ที่ติมอร์ตะวันออกเพิ่มเติมอีก 11 คน ซึ่งการร้องขอครั้งนี้เปิดโอกาสให้นายทหารทุกคนสอบแข่งขันได้ ผมเองเมื่อทราบข้อมูลจากเพื่อนก็ถามเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าเรื่องดังกล่าวจริงแน่หรือเปล่า จนเพื่อนที่หัวเราะเล่นกันเริ่มจะหยุดหัวเราะแล้วก็พูดว่า "เฮ้ย มรึงจะเอาจริงหรือว่ะ ลูกมรึง 2 คน คนแรกขวบกว่า คนที่สองยังไม่ได้ 4 เดือนเลย มรึงจะไปได้ยังไง" ผมเองก็ยังตอบที่เล่นทีจริงว่า ไม่มีปัญหาหรอกเพราะแฟนผมที่ผมตัดสินใจแต่งงานด้วยคือ คนที่ผมคิดแล้วว่าเขาเข้าใจว่าผมเองเป็นคนอย่างไร และต้องการอะไร เธอคงไม่ขัดขวางความต้องการของผมแน่

หลังจากที่ทานเลี้ยงกันเสร็จ ผมก็ขึ้นรถเดินทางกลับที่ทำงาน ตลอดเวลาที่นั่งรถกลับมันช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเสียจริง ๆ เพราะสมองผมเริ่มคิดถึงคำที่พูดกับเพื่อน ๆ ที่ร้านอาหาร การตัดสินใจที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งในชีวิตแบบกลับหัวกลับหางอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ ในขั้นต้นคือ การเปลี่ยนที่อยู่และที่ทำงานใหม่ค่อนข้างแน่ ถ้าสอบได้ใครจะดูแลลูกน้อยทั้ง ๒ คน ภรรยาจะอยู่อย่างไร ใครจะดูแลพ่อแม่วัย 72 ปี 2 คนที่เพชรบุรี น้องชายก็ยังเรียนอยู่ที่อเมริกา น้องสาวก็เดินทางไปอยู่ญี่ปุ่น หากผมเดินทางไปติมอร์ผมจะได้กลับมาหรือไม่และในสภาพใด เสียงของเพื่อนที่พูดทีเล่นทีจริงว่า "ระวังหัวจะถูกตัดเสียบเหมือนกับภาพที่ออกทางทีวีซ้ำแล้วซ้ำอีก คนพื้นเมืองที่บ้าคลั่งจนไม่มีใครควบคุมได้" ผมเองจะทำอะไรได้บ้าง คนที่ผมรักจะคิดอย่างไร ถ้าผมจะดึงดันค้นหาสิ่งที่ผมปรารถนาและตอบสนองความต้องการของชีวิตแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่นึกถึงคนที่ผมต้องรับผิดชอบ

ผมคิดต่อออกไปอีกว่า ผมจะเป็นทหารจนเกษียณโดยไม่ออกไปปฏิบัติการทางทหารเลยตลอดชีวิตได้อย่างไร แล้วคำพูดที่ผู้บัญชาการศูนย์การทหารราบสหรัฐที่กล่าวต่อนายทหารนักเรียนชั้นนายพันสหรัฐที่ผมไปฝึกศึกษาด้วยเมื่อหลายปีก่อนที่บอกว่า "เป็นทหารราบต้องเป็นผู้พันสักครั้ง ตำแหน่งอื่นไม่สำคัญ" แล้วที่ผมคอยมาเกือบ 4 ปีในตำแหน่งที่จวนจะเป็นผู้พันทหารราบ ผมจะทิ้งไปหรืออย่างนั้นหรือ คนรอบข้างที่จ้องมองผมอยู่จะหัวเราะเยาะผมหรือเปล่า และถ้าสอบแข่งขันซึ่งเหมือนการประกาศตัวว่าพร้อมจะย้ายออกจากกองพันแล้วสอบไม่ได้ขึ้นมา จะไปอยู่ที่ไหนต่อหรือจะอยู่อย่างผู้แพ้ที่หน่วยรอวันให้เขาจับย้ายอย่างผู้หมดทางไป ห้วงเวลาการเดินทางขึ้นทางด่วนที่เคยใช้เวลาในการเดินทางกลับที่ทำงานเพียงครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ แต่ครั้งนี้นั้นมันช่างเป็นเวลาที่ยาวนานเหมือนชั่วกัปต์ชั่วกันต์เสียจริง ๆ ฟันกรามของผมขบกันแน่นโดยที่ผมไม่รู้สึกตัว สายตาเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ผมตัดสินใจแล้วว่าผมต้องการอะไร

เมื่อกลับมาถึงที่ทำงาน ผมก็ทำงานตามปกติ เซ็นหนังสือ นั่งเขียนบทความลงอินเทอร์เน็ต อ่านหนังสือ ดูทีวี ICQ เล่นกับลูก ฟังรายการวิทยุไอที 100.5 โดยที่ยังไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟังจนใกล้เที่ยงคืนจึงเอ่ยปากถามภรรยาว่า "ถ้าพี่จะไปต่างประเทศสักระยะหนึ่งจะเลี้ยงลูกทั้ง 2 คนได้ไหม" ภรรยาผมก็ไม่ได้ถามอะไรเพียงแต่บอกว่า "ก็แล้วแต่ ว่าพี่จะคิดว่าดีหรือไม่ ถ้ามันดีสำหรับพี่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร" คงเนื่องจากตั้งแต่เรารู้จักกันมา เธอคงเห็นว่าผมเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ ก็เป็นได้จึงตอบเช่นนั้น ซึ่งเมื่อผมไม่ได้ถูกทัดทานอะไรก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่ดับไฟนอนโดยที่ตาและใจของผมยังคงเบิกกว้างในความมืด

วันรุ่งขึ้นผมได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบว่าผมทราบข่าวว่ามีการรับสมัครนายทหารไปติมอร์ตะวันออก ซึ่งผมมสนใจที่จะลองสมัครดู ซึ่งก็ได้รับอนุญาตให้สมัครได้ วันที่ไปสอบรอบแรกเพื่อเป็นผู้แทนของกองทัพภาคนั้นค่อนข้างจะฉุกละหุก เนื่องจากข่าวการสอบที่มานั้นด่วนมากเพราะกองทัพบกสั่งการลงมาวันพุธ กองทัพภาคให้สอบวันศุกร์เลย ดังนี้น แม้ว่าทางกองทัพบกกำหนดให้กองทัพส่งคน 11 คนเข้าสอบ แต่วันสอบที่กองทัพนั้นมีคนมาสอบเพียง 7 คนเท่านั้น โดยส่วนตัวของผมเองจึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะเกณฑ์ผ่านเพียง 70 % เท่านั้น ซึ่งไม่ยากอะไรนักสำหรับผมที่เคยสอบแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

การสอบครั้งนี้จึงเป็นแบบสบาย ๆ เมื่อผลสอบประกาศมาก็มีคนไม่ผ่านเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง จากนั้นก็รออีก 2 วัน คือวันเสาร์และอาทิตย์ ผมเองได้แนวข้อสอบเพิ่มเติมมาจากน้องชาย แต่กว่าจะได้มีโอกาสอ่านก็เลยเที่ยงวันอาทิตย์ไปแล้ว เนื่องจากอย่างแรกคิดว่าคงไม่มีใครสมัครแบบเดียวกับที่กองทัพภาคแล้วก็มีเพื่อน ๆ มาแวะหาอยู่เป็นประจำในวันหยุด แต่ปรากฏว่าเช้าวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันสอบแข่งขันจริงที่กรมยุทธศึกษาทหารบก ผมเริ่มรู้สึกว่าความคิดของผมเมื่อวันหยุดที่ผ่านมาไม่เป็นจริงเสียแล้ว เพราะจำนวนผู้สมัครสอบจากทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 40 คน ได้มายืนรอกันที่หน้าห้องเพื่อรอฟังคำชี้แจง ผมเองค่อนข้างจะเป็นรุ่นที่อาวุโสมาในกลุ่มผู้สมัคร จึงมีเพื่อน ๆ มาสอบด้วยเพียง 3-4 คน นอกนั้นเป็นน้อง ๆ หมด ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มกังวลใจก็คือ ส่วนใหญ่คนที่มาสอบเป็นคนที่เคยไปต่างประเทศแบบเดียวกับผมทั้งนั้น โดยเฉพาะในวงสนทนาที่ผมได้แต่นั่งฟังอย่างเดียวก็จะบอกว่าส่วนใหญ่ของผู้สมัครสอบคือ สิงห์สนามสอบที่ผ่านการสอบมาแล้วอย่างโชคโชน บางคนที่ผ่านมาสอบก็ไปเรียนปริญญาโทที่ออสเตรเลียมาแล้ว บางคนก็พึ่งกลับมาจากต่างประเทศ

ผมเองคิดอยากจะเอาหนังสือภาษาอังกฤษมาเปิดอ่านขึ้นมาทันทีเพราะเอาติดตัวมาด้วย แต่ก็อายน้อง ๆ ก็เลยได้แต่นั่งฟังไปเรื่อย ๆ จนเขาเรียกตรวจยอดและเข้าห้องสอบ การสอบครั้งนี้นับว่าเป็นการสอบภาษาอังกฤษที่ผมตั้งใจสอบมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะทุกครั้งผมจะสอบเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ 80 %เท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นการสอบแข่งกับตัวเองเท่านั้น แต่ในครั้งนี้ แม้ว่าข้อกำหนดจะต้องมีการสอบคอมพิวเตอร์และการขับรถหลังจากผ่านการสอบภาษาแล้วก็ตาม แต่เนื่องด้วยเวลามีจำกัดมากกรมยุทธการทหารบก (ยก.ทบ.) ที่จัดการเรื่องนี้จึงให้นำเอาคะแนนจากการสอบภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียวในการการตัดสินผลการคัดเลือก

การสอบครั้งนี้ผมจึงตั้งใจเป็นอย่างมากและนั่งจนหมดเวลา ผลสอบที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจเพราะคนที่สอบผ่านเป็นคนแรกคือผมเอง ซึ่งก็ทำให้ผมเริ่มยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกในวันนี้ สำหรับเพื่อน ๆ ผมที่สอบไม่ผ่านผมก็ได้แต่พยักหน้าให้และบอกว่าใจเย็น ๆ อาจจะมีความต้องการเพิ่มเติมอีกภายหลัง จึงควรส่งชื่อเอาไว้ก่อนกับพี่ที่มาคุมสอบ หลังจากนั้นผมก็สอบถามพี่จาก ยก.ทบ. ถึงการเตรียมตัวซึ่งก็ไม่มีรายละเอียดอะไรเพียงแต่บอกให้รอคำสั่ง ผมเดินทางกลับที่ทำงาน แล้วโทรศัพท์กลับไปบอกพ่อแม่ว่าผมสอบได้ไปต่างประเทศแล้วแต่ยังไม่ทราบวันเดินทางที่แน่นอน โดยที่ผมไม่ได้บอกว่าผมจะเดินทางไปที่ไหน ตอนเย็นภรรยาผมกลับมาบ้านถามผมว่าสอบได้ไหม ผมก็ตอบว่าได้เรียบร้อยแล้ว แฟนผมถามว่า ตอนนี้ติมอร์กำลังดังสงสัยจะไปติมอร์หรือเปล่า ผมเองก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร

ตอนกลางคืนระหว่างทานข้าวและพักผ่อนผมพยายามเปิดดูข่าวของติมอร์ตะวันออกอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นข่าวของโทรทัศน์บ้านเราหรือช่องจากต่างประเทศ ซึ่งภาพที่ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำอีกก็คือภาพที่คนติมอร์คนหนึ่งวิ่งหนี แล้วมีคนถือมีดอีกกลุ่มหนึ่งไล่ตามจนทัน แล้วรุมฟันลงไปที่คนที่วิ่งหนีไม่ทันคนนั้น สำหรับอีกภาพเหตุการณ์หนึ่งคือ ภาพคนติมอร์ที่เดินถือศีรษะของคนติมอร์ด้วยกันเดินชูไปตามถนนให้ช่างภาพทีวีถ่ายไว้ ความรู้สึกของผมที่มีในขณะนั้นคือ ต้องมีคนไปหยุดการฆ่าฟันที่นั่น คนอ่อนแอไม่มีทางสู้ที่ติมอร์กำลังคอยคนบางคนให้มาช่วยเขา และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกอยู่ในจิตใจคือ มีคนบางคนที่อยู่ไกลโพ้นกำลังคอยความช่วยเหลือจากผมอยู่ สิ่งที่ผมคอยมาตลอดชีวิตการเป็นทหารนั้นได้มาถึงแล้ว

การปฏิบัติหน้าที่อย่างชายชาติทหารอย่างสมเกียรติเหมือนเช่นดังบรรพบุรุษไม่ได้ไกลอีกต่อไปแล้ว ตลอดเวลาที่คอยคำสั่งว่าจะให้เดินทางเมื่อไหร่นั้น ทำให้ผมไม่อาจจะอยู่นิ่งต่อไปได้ เพราะไม่มีข้อมูลข่าวสารให้เตรียมการเพิ่มเติมเลยนอกจากข่าวทางทีวีและหนังสือพิมพ์ เพื่อนฝูงและพี่ ๆ ที่สนิทกันหลายคนได้เข้ามาแสดงความเป็นห่วง บางคนแสดงความยินดีที่ผมได้มีโอกาสไปครั้งนี้ สำหรับคนที่ไม่ชอบหน้ากันก็พูดลอยลมมาให้ได้ยินว่าผมไปเพื่อหวังรวย ไปเพื่อประชดชีวิต บางคนก็ว่าเสียสติบ้าง แล้วก็มีคนแซวว่าจะคอยดูศีรษะของผมออกทีวี ผมเองก็ได้แต่ยิ้มเพราะจริง ๆ แล้วถ้าเขาสนิทสนมกับผมมาก่อนเขาจะต้องรู้แต่แรกว่าไม่ว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดที่ไหนในโลกแล้วมีทหารไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง รายชื่อแรก ๆ ของทหารไทยนั้นควรจะมีชื่อผมอยู่ในบัญชีนั้นด้วย

ผมรออยู่จนวันที่ 3 หลังจากการสอบก็ทราบข่าวจากทีวีว่าประธานาธิบดีอินโดนีเซียประกาศยอมรับให้ส่งทหารต่างชาติเข้าไปรักษาความสงบที่ติมอร์ตะวันออกได้ วันรุ่งขึ้นผมจึงขออนุญาตผู้บังคับบัญชาเดินทางไป บก.ทบ. เพื่อให้เพื่อนสนิทที่อยู่หน้าห้อง ผบ.ทบ. หาข่าวเพิ่มเติมว่าจะต้องเตรียมการอย่างไรต่อไป ระหว่างนั้นนายกรัฐมนตรีก็ประกาศว่าไทยจะส่งกำลังทหารเข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ แต่การตัดสินใจดังกล่าวยังมาไม่ถึงกองทัพบก เพื่อนผมจึงบอกให้คอยก่อน และชวนไปทานอาหารกลางวันแถว ๆ บก.ทบ.

ระหว่างที่นั่งทานอาหารกันอย่างสนุกสนานพี่ที่ ยก.ทบ. ก็โทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์มือถือผมบอกว่า ให้เตรียมเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่ติมอร์ตะวันออกโดยให้พร้อมเดินทางเที่ยงคืนคืนนี้ ข้าวที่กินอยู่ก็เลยต้องเลิกโดยทันที สิ่งแรกที่ผมทำคือ การเตรียมหมวกแก๊ปลายพรางและธงไตรรงค์ที่ใช้ติดแขนเสื้อที่ผมไม่ได้เตรียมไว้ สำหรับสิ่งของอื่น ๆ นั้นได้เตรียมการไว้หมดแล้ว สำหรับเรื่องหนังสือเดินทางก็สะดวกหน่อยตรงที่ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ สิ่งที่ยากลำบากที่สุดของผมในวินาทีนี้คือ การที่ผมจะต้องบอกพ่อและแม่ผ่านทางโทรศัพท์ว่าผมต้องไปติมอร์ดินแดนที่ผมเองยังไม่รู้เลยว่ามันตั้งอยู่ตรงตรงไหนของโลก โดยที่ไม่มีโอกาสไปกราบลาพ่อแม่ที่เคารพด้วยตนเอง สิ่งที่ผมบอกพ่อแม่ผ่านทางโทรศัพท์ไปคือ "ผมจะไปติมอร์ แล้วก็คิดว่าไปไม่นาน" แต่ในใจผมยังตอบไม่ได้ว่าผมจะไปนานเท่าไรแล้วจะได้กลับมาหรือไม่ ผมดีใจตรงที่พ่อผมไม่ได้คิดอะไรมากอวยพรให้ผมโชคดีแล้วจะเดินทางมาส่งผมแบบเดียวกับที่เคยมาส่งผมเดินทางไปเรียนที่สหรัฐ แต่ผมได้ยับยั้งไว้โดยบอกว่า การเดินทางมาส่งในครั้งนี้คงลำบากเพราะผมเดินทางคืนนี้ตอนดึก การเดินทางของคนอายุมาก ๆ จากเพชรบุรีคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยโดยเฉพาะการเดินทางมาด้วยรถประจำทาง

แต่สิ่งที่ทำให้ผมเองแทบกลั้นน้ำตาไม่ได้ในเวลาต่อมาคือ หลังจากนั้นอีก 4 ชั่วโมง ขณะที่ผมกำลังเก็บของอยู่ที่บ้าน ผมได้โทรศัพท์จากเพื่อน ๆ โทรมาหาอย่างไม่ขาดสาย อวยพรให้เดินทางปลอดภัย แล้วก็มีสายหนึ่งที่โทรมาจากแม่ผม ซึ่งผมเองคิดว่าหลังจากที่พ่อแม่ได้ทราบว่าผมจะไปติมอร์แล้ว คงจะไปคุยกับญาติพี่น้องแล้วประติดประต่อเรื่องราวต่าง ๆ จึงได้โทรมาปนกับเสียงร้องให้ว่า "ผมจะไปที่ติมอร์ทำไม คนที่ท่ายางบอกว่าที่นั่นมีแต่การฆ่าฟันและความโหดร้าย การไปที่นั่นมีแต่อันตรายเท่านั้น เงินทองค่าตอบแทนแพงเท่าไหร่อย่าไปห่วง อยากได้เท่าไรให้มาเอาที่บ้าน" ผมเองก็ได้แต่พูดปลอบใจแม่ว่าการไปครั้งนี้ไม่มีอันตรายอย่างที่คิดหรอก และการไปก็ไม่ได้ไปเพื่อเงินแต่อย่างไร การไปเป็นการทำหน้าที่อย่างมีเกียรติของทหาร และเกียรติอันนี้จะย้อนกลับมาสู่วงศ์ตะกูลของเราในที่สุด คนในอำเภอจะได้รับทราบว่าลูกของแม่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด ได้ตอบแทนประเทศชาติที่อาศัยแล้ว ซึ่งแม่ก็ยังคงร้องไห้ต่อแต่ก็อวยพรให้ผมเดินทางโดยปลอดภัยและทำหน้าที่กลับมาอย่างสวัสดิภาพ

ผมตัดบทเพื่อวางโทรศัพท์ก่อนที่ผมจะต้องร้องไห้ตามไปด้วยและบอกแม่ว่า “ ผมรักพ่อกับแม่มากที่สุดในชีวิตแล้วผมจะต้องกลับมากราบพ่อกับแม่ด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่ ผมขอกราบลาพ่อแม่ทางโทรศัพท์ครั้งนี้ไปก่อน ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถให้พ่อแม่เห็นหน้าได้ในครั้งนี้ ขอให้พ่อกับแม่รักษาสุขภาพด้วย “ นั่นคงเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนการเดินทางของผมที่มีต่อพ่อและแม่

เมื่อตอนเรียนเสธปี 38 เพื่อนสนิทของผมที่เป็นแพทย์ ซึ่งมักจะคุยกันแบบที่เรียกว่าไม่เคยคุยกับใครมากเท่านี้มาก่อนเคยถามว่าในชีวิตการเป็นทหารของผม ผมต้องการอะไรมากที่สุด ซึ่งผมก็ตอบไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะคำตอบนี้มีอยู่ในสมองมานานแล้วคือ การที่ได้เป็นทหารคนแรกที่เดินก้าวข้ามแนวชายแดนของประเทศไทยพร้อมอาวุธและกำลังพล โดยมีภารกิจเพื่อปฏิบัติการทางทหารเหมือนกับครั้งที่ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม วีรบุรุษไทยในดวงใจของแท้หนึ่งเดียวของผมเคยทำมาแล้วในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วในที่สุดวันที่ผมรอคอยก็มาถึง ความภาคภูมิใจของผมที่ได้มารับใช้ชาติได้มาจอดรออยู่ตรงหน้าผมแล้ว

ผมได้รับคำสั่งให้เตรียมของเพื่อไปติมอร์และอยู่ได้อย่างน้อย 1 เดือน โดยสิ่งของที่ทำให้หัวใจผมพองโตมากที่สุดคือ แถบธงไตรรงค์ที่จะนำมาติดที่ไหล่ด้านซ้ายของเครื่องแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อน ผมเองเคยไปศึกษาที่ต่างประเทศมาสองครั้ง ฝึกร่วมกับต่างชาติมาก็หลายหน แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ติดธงชาติไว้ที่ไหล่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ในครั้งนี้แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะไปหาแถบธงชาติที่ไหน และเวลาเตรียมตัวก็แทบจะไม่มี แต่สิ่งแรกในการเตรียมตัวครั้งนี้เมื่อออกจาก บก.ทบ. คือ การมุ่งตรงไปหาซื้อแถบธงชาติก่อนอย่างอื่นใด

การเตรียมการต่าง ๆ ในเรื่องสิ่งของนั้นเสร็จสิ้นลงด้วยเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากการเดินทางบ่อย ๆ จึงไม่ต้องวิ่งหาอะไรที่ใช้เวลานานนัก ประมาณ 6 โมงเย็นของต่าง ๆ ก็แล้วเสร็จ สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ การกล่าวอำลาผู้บังคับบัญชา ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ภรรยาของนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้เสียชีวิตลง จึงทำให้นายทหารต่าง ๆ ไปร่วมงานศพกัน ผมต้องรอประมาณ 2 ทุ่ม จึงได้เดินสายกล่าวลาท่านแรกเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงที่อนุมัติให้ผมไปสอบ ซึ่งสิ่งที่ผมเมื่อบอกมาแล้วทำให้รู้สึกว่าผมเองไม่ได้เอาเปรียบใครคือ การไปครั้งนี้นั้นผมจะขอย้ายหน่วยไปเลย เพื่อจะได้ไม่สร้างลำบากใจให้ทุกคน และผมเองก็สบายใจด้วยที่ได้ทำเช่นนั้น

การลาครั้งนี้ สิ่งที่ทำให้ผมไม่อาจลืมได้คงเป็น ผู้บังคับการกรมที่เรียกผมเข้าไปคุยในบ้าน ให้แนวทางต่าง ๆ ด้วยความห่วงใย และได้มอบพระมาให้ด้วยองค์หนึ่ง หลังจากนั้นก็เก็บข้าวของเป็นครั้งสุดท้าย แม่ยายได้นำลูกของผมที่ฝากไว้ตั้งแต่กลางวันมาที่บ้านด้วยเพื่อให้ผมได้กล่าวลาลูก ผมได้บอกกับลูกว่าอยู่กับแม่กับยายอย่าซุกซน พ่อไปทำงานคงไม่นานแล้วพ่อจะกลับมาอยู่กับลูก มาเล่นคอมพิวเตอร์กับลูกเหมือนเดิม หลังจากนั้นก็ขึ้นรถพร้อมกับพาภรรยาคู่ชีวิตออกมาจากบ้านเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ผมเองที่ต้องรีบออกมาก็เพราะทราบดีว่าการที่อยู่นานนั้นภรรยาของผมคงจะต้องร้องไห้แน่ ๆ

จากนั้น ผมก็ให้ลูกน้องที่มาส่งพาไปที่บ้านเพื่อนสนิทที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วให้ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้านแม่ยาย ที่บ้านเพื่อนมีเพื่อน ๆ มารวมกันอยู่ 5 คน เพื่อกล่าวคำอำลาและอวยพรให้ผมไปพบกับสิ่งที่ผมต้องการที่ติมอร์ พร้อมกับได้เล่าประสบการณ์ที่เคยไปทำงานให้สหประชาชาติที่คูเวตให้ฟัง โดยเน้นให้ผมพยายามเป็นมิตรกับทุกคนเพื่อเป็นการหาข่าวก่อนที่จะถูกโจมตี และให้ระวังตัวอย่าซ่ามากจะไม่คุ้ม คงเนื่องจากรู้ดีว่าผมเป็นคนชอบตื่นเต้นผจญภัย จึงได้เตือนสติเอาไว้

เราก็ได้คุยและแซวกันอีกหลายเรื่อง ราวกับพวกเรายังเป็นร้อยตรีจบใหม่ที่ยังไม่รู้อะไรเลย จากนั้นเพื่อน ๆ ได้หยิบเอาของที่เตรียมกันมาเป็นของที่ระลึกและสิ่งของเพิ่มเติมที่หามาเซอร์ไพร้สผม ซึ่งทำให้ผมซาบซึ้งใจและเชื่อว่าการที่มีเพื่อนแท้จริง ๆ นั้นมันรู้สึกเป็นอย่างนี้นี่เอง และเมื่อเพื่อนผมทราบว่าผมแยกให้ภรรยากลับบ้านไปก่อน จึงได้บังคับให้ผมไปตามภรรยากลับมา ด้วยความต้องการลึก ๆ ของผมอยู่แล้ว จึงได้ยอมรับให้ภรรยาตามมาที่ บก.ทบ.ที่เป็นจุดนัดพบด้วย เมื่อมาถึง บก.ทบ. ก็วุ่นวายอยู่กับการสอบถามว่าเราจะไปติมอร์ตะวันออกนั้นไม่ทราบว่าภารกิจที่ชัดเจนคืออะไร สิ่งต่าง ๆ เริ่มจะพอเห็นแนวทางพอสมควรเนื่องจากเห็นพี่ ๆ น้อง ๆ ที่มาจากกรมทหารราบที่ 31 ส่วนหนึ่ง และนายทหารจาก ยก.ทบ. พร้อมกับนายทหารฝ่ายเสธที่สมัครสอบด้วยกันเมื่อต้นอาทิตย์ จึงทราบว่าภารกิจที่ไปนั้นคือ การไปวางแผนร่วมกับออสเตรเลียก่อนจะส่งกำลังทหารไทยจำนวนที่มากพอสมควรเข้าไปปฏิบัติภารกิจที่ติมอร์ตะวันออก

การสอบถามต่าง ๆ สิ้นสุดลงเมื่อใกล้เที่ยงคืน และเตรียมที่จะเดินทางออกจาก บก.ทบ. ผมได้เดินกลับไปหาภรรยาที่ยืนคอยอยู่ห่าง ๆ ผมจับมือแล้วก็หอมแก้มครั้งหนึ่งบนใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของภรรยา แล้วก็บอกว่า "พี่ฝากดูแลลูก ๆ ให้ดีด้วย พี่สัญญาว่าว่ากลับมาหาให้เร็วที่สุด อยู่ทางนี้ก็ตั้งใจทำงานและดูแลตนเองด้วย พี่เองคงจะไปไม่นาน พี่เองเป็นทหารหน้าที่อย่างหนึ่งคือ การเสียสละเมื่อประเทศชาติเรียกร้อง สำหรับครอบครัวของทหารสิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่ต้องร่วมในการเสียสละด้วยแล้วก็ขอให้ภูมิใจเช่นเดียวกับพี่ที่ได้เสียสละ ลูกน้อยทั้งสองถ้าเขาโตขึ้นเขาต้องเข้าใจในการไปทำหน้าที่ของพ่ออย่างแน่นอน และสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ปลูกฝังให้เขาได้เป็นบุคคลที่เป็นคนดีในอนาคตของสังคม"

ท่ามกลางการกล่าวอำลานั้น ในใจผมยังคงไม่สงบและตอบกับตัวเองว่าผมไม่ได้โกหกภรรยาผม ผมเองต้องกลับมาแน่เพียงแต่ว่าตอนมาถึงนั้นผมจะเดินมายืนอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักด้วยเท้าทั้งสองของผมหรือไม่ หรือจะมีคนแบบผมกลับมาผมเองก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผมก็ตาม สิ่งที่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้โกหกภรรยาของผมก็คือ เพื่อนทหารที่ไปกับผมคงไม่ทิ้งผมให้ทอดร่างอยู่ต่างประเทศเป็นแน่แท้ เขาจะต้องพาร่างของผมกลับมายังประเทศไทยเพื่อให้คนที่ผมรักได้เห็นหน้าผมอย่างแน่นอน ผมมั่นใจเช่นนั้น

หลังจากแยกกับภรรยาแล้ว ผมขึ้นรถตู้ออกจาก บก.ทบ. พร้อมกับนายทหารที่สอบได้รวม 5 คน ส่วนที่เหลือคือ นายทหารของกรมทหารราบที่ 31 และ ยก.ทบ. จากประสบการณ์และการประเมินสถานการณ์ของผมทำให้ผมเกิดความคิดขึ้นมาว่า ภารกิจที่คณะนายทหารที่ไปด้วยกันครั้งนี้ คือ การวางแผนการเคลื่อนย้ายกำลังพล และการปฏิบัติของหน่วยที่ติมอร์ตะวันออก ขณะที่รถได้เคลื่อนที่ไปบนทางด่วน ผมจึงได้เสนอความคิดเห็นต่อคณะนายทหารที่มาด้วยกันว่า ภารกิจที่เราจะไปนี้น่าจะไม่ใช่สิ่งที่เราตั้งใจสอบมาคือ การเป็นนายทหารสังเกตุการณ์สหประชาชาติ แต่น่าจะเป็นการปฏิบัติงานของฝ่ายเสนาธิการ และเราจะต้องกำหนดตัวในตอนนี้ว่าใครจะรับผิดชอบส่วนใดบ้างและใครจะต้องทำหน้าที่อย่างอื่นอะไรบ้าง

ในเมื่อไม่มีเจ้าหน้าที่ในสายงานนั้นมาด้วย ผมเองนั้นสามารถเป็นได้ทั้งฝ่ายยุทธการเนื่องจากเคยไปเรียนการวางแผนของทหารราบมาจากสหรัฐ แต่พอดีมีพี่ที่เป็นพันโทและทำงานในตำแหน่งฝ่ายยุทธการกองทัพมาก่อน ผมจึงเสนอตัวทำงานในด้านสายงานข่าว เนื่องจากเคยทำหน้าที่เป็นนายทหารปฏิบัติการของฝ่ายข่าวกรอง กองกำลังเฉพาะกิจร่วม/ผสม ไทยและสหรัฐมาเมื่อปี 2541 (Cobra Gold 98) และทำหน้าที่หัวหน้าศูนย์ข่าวกรองร่วม ของฝ่ายข่าวกรองของการฝึกในปีต่อมาอีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้ผมปฏิบัติงานด้านการข่าวได้ดีกว่าหน้าที่อื่น และอีกหน้าที่หนึ่งที่ทุกคนยกให้ผมคือ นายทหารฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายและคอมพิวเตอร์ สำหรับสายงานอื่นนั้นก็ได้กำหนดให้แต่ละบุคคลเพื่อเป็นการแบ่งมอบความรับผิดชอบกันตามเหมาะสม ซึ่งนับว่าเป็นการแต่งตั้งตำแหน่งกันเองแบบที่ไม่มีใครเหมือน โดยเฉพาะคนที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น มารู้ตัวกันตอนที่จะขึ้นเครื่องบินเดินทางกันอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า จึงไม่มีใครเตรียมเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องมาทั้งสิ้น โดยงานที่ผมเสนอก็มีเรื่อง การกำลังพลมอบให้ช้าง งานด้านการข่าวผมรับ งานด้านยุทธการพี่ชาติ งานการส่งกำลังสาละวิน งานด้านกิจการพลเรือนพิทักษ์ งานคอมพิวเตอร์และสื่อสารผมรับ และงานอย่างอื่นอีกสี่ห้าอย่าง ได้แบ่งเฉลี่ยคนละสองอย่าง

การเดินทางด้วยรถยนต์ที่วิ่งไปหบนทางด่วนในเวลาเที่ยงคืนนั้นไม่เสียเวลามากนักประมาณ 30 นาทีก็ถึงท่าอากาศยานทหารดอนเมือง แต่สิ่งที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกที่เรียกได้ว่าตกใจคือ จำนวนคนและบุคคลที่มาส่งในการปฏิบัติการครั้งนี้ ตอนแรกไม่คิดว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้เพราะทุกคนที่เดินทางไปนั้นไม่มีญาติมาส่งด้วย เนื่องจากเครื่องบินกำหนดออกเวลา 4 นาฬิกา แต่ที่คิดไว้นั้นผิดถนัดเพราะอาคารท่าอากาศยานทหารนั้นกลายเป็นที่คับแคบลงอย่างถนัดใจ เพราะตอนที่ผมก้าวลงจากรถตู้นั้น ที่อาคารผู้โดยสารมีคนที่ไปร่วมพิธี นักข่าวและผู้ที่เกี่ยวข้องดูแล้วไม่ต่ำ 500 คน และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะประมาณเวลาตีหนึ่งคณะผู้บัญชาการทหารบกก็เดินทางมาถึง และขอพบเฉพาะตัวแทนของกองทัพบกเพื่อบรรยายสรุปเกี่ยวกับติมอร์ตะวันออกและสถานการณ์ด้วยตนเองเป็นเวลาเกือบ 20 นาที

ต่อจากนั้นก็มีรัฐมนตรีต่างประเทศเดินทางมาพร้อมกับเจ้าที่ของกระทรวงเพื่ออ่านสถานการณ์ของติมอร์ตะวันออกและแถลงการณ์การตกลงใจของรัฐบาลที่เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจที่ติมอร์ตะวันออกในครั้งนี้ต่อหน้าสักขีพยายนนับร้อยคน จนถึงเวลาตีสองนายกรัฐมนตรีก็เดินทางมาถึงและมีการแนะนำตัวกำลังพลที่สำคัญให้แก่นายกรัฐมนตรีทราบ ในตอนนี้ผมจึงรับทราบว่าได้กำหนดตัวบุคคลจากกองบัญชากการทหารสูงสุดเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิบัติการในครั้งนี้ และมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายอำนวยการของกองบัญชาการทหารสูงสุด และผู้แทนจากกองทัพเรือ กองทัพอากาศอีกจำนวนหนึ่งร่วมเดินทางไปด้วย

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อคณะของเราทั้งหมด การให้โอวาทต่อกำลังพลที่จะเดินทางไปในครั้งนี้ค่อนข้างจะแน่นขนัดมากเพราะในห้องจริง ๆ แล้วผมว่าน่าจะจุคนได้สัก 30 คน แต่มีคนเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ในห้องน่าจะเป็น 100 คน หลังจากที่นายกรัฐนตรีให้โอวาทเสร็จ ก็เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนถ่ายภาพกันอย่างเต็มที่ โดยย้ายห้องไปยังห้องโถงใหญ่ ในการนี้ได้ให้พวกเราทั้งสามเหล่าทัพและกองบัญชากการทหารสูงสุดมายืนเข้าแถวหน้ากระดานสามแถวเพื่อทำพิธีส่งแบบเป็นทางการอีกครั้ง

พิธีอันมีเกียรติครั้งนี้ได้สร้างความตื้นตันใจให้แก่ผมเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าลืมตายไปเลยทีเดียว การได้รับมอบมาลัยคล้องคอในพิธีต่อหน้าบุคคลสำคัญต่าง ๆ ของเหล่าทัพ และหน้าสื่อมวลชนทุกแขนงเป็นเสมือนการประกาศการรับมอบภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเกียรติและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผมเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าผมต้องมีอันต้องตายลงไปผมคงจะนอนตายตาหลับอย่างเป็นสุขแล้วที่เกิดมากับเขาชาติหนึ่งได้ตอบแทนบุญคุณและปฏิบัติหน้าที่ตามความต้องของแผ่นดินบิดามารดรในครั้งนี้

ภาพประทับใจในวันนั้นอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อพิธีการจบแล้วแถวทหารอาสาศึกทั้งหมดทำขวาหันแล้วเดินออกนอกอาคารเป็นแถวตอนเรียงสองตรงไปยังประตูท้ายเครื่องบินลำเลียง C-130 ของ ทอ. โดยตลอดทั้งสองฝั่งทางเดินและที่ยืนอยู่ที่อาคารเบื้องหลังคือ บุคคลต่าง ๆ ที่ได้มอบภาระมหึมาอันมีเกียรติสูงสุดนี้ให้แก่พวกเราและหวังว่าพวกเราจะกลับมาพร้อมกับความสำเร็จในภารกิจนี้อย่างสมบูรณ์เป็นของขวัญให้แก่ประเทศชาติและประชาชนไทย

ผมเองมีความอิ่มเอิบใจจนหัวใจพองโตที่ต่อไปนี้คงไม่ต้องอิจฉาเหล่าทหารรุ่นพี่ ๆ ที่เคยเล่าเรื่องราวที่เขาออกไปปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมิต่าง ๆ อีกแล้ว เพราะผมกำลังจะเป็นทหารคนนั้นในอีกไม่นานแล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งของความคิดก็ยังนึกอยู่ตลอดเวลาว่า การปฏิบัติการทางทหารในครั้งนี้ เราจะทำได้ดีหรือสมบูรณ์เพียงใด ใครบ้างจะได้กลับมาอย่างสง่าผ่าเผย ครอบครัวของเราจะอยู่กันอย่างไร ใครบ้างที่จะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ ณ ดินแดนอันไกลโพ้น เราจะเป็นผู้ชนะหรือผู้ปราชัย ซึ่งก็คงจะมีแต่เพียงประวัติศาสตร์ในอนาคตเท่านั้นที่จะตัดสินให้เราได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเราจะอยู่ในตำแหน่งใดของประวัติศาสตร์ชาติไทย
—————————————————————
พ.ต. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์  




อ่านเรื่องราวอื่น ๆ