01 กุมภาพันธ์ 2566

ชมรมพัฒนาสังคมโรงเรียนนายร้อย ปี 26-27 (ทหารดอทคอม 22 พ.ย.55)


        "ระวัง ระวัง นับ" "1...2....3....4... 1.2.3.4. ชาติ. เกียรติ. วินัย. กล้าหาญ" เสียงนับที่ดังพร้อมกับฝ่าเท้าเล็ก ๆ หลายสิบเท้ากระทบลงบนพื้นถนนลูกรัง ที่คดเคี้ยวไปตามสันเขาของเขาค้อ ที่เคยเป็นดินแดนของการสู้รบของคนที่มีอุดมการณ์ต่างกัน เมื่อประมาณปี 2519 ดังขึ้นแข่งกับเสียงนกที่บินออกหากินยามเช้ามืดในหุบเขาที่ห่างไกลความเจริญจุดหนึ่งของประเทศไทย

        ผมและสมาชิกของชมรมพัฒนาสังคมประมาณ 20 คน ที่ใช้เวลาช่วงปิดเทอมปี 2526 หรือประมาณปลายปีการศึกษาตอนเป็นนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 4 เดินทางไปดูงานการพัฒนาเยาวชนของเขาค้อถูกปลุกขึ้นมาตอนใกล้ตีห้าท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ล้างหน้าล้างตาเสร็จแต่งตัวให้รัดกุมแล้วก็กระโดดขึ้นกระบะท้ายรถยีเอ็มซีของหน่วยที่ดูแลพื้นที่วิ่งออกจากที่พักไปยังหมู่บ้าน และค่อย ๆ วิ่งช้าลงเมื่อเห็นกลุ่มของคนประมาณ 30 - 40 คน ตะคุ่ม ๆ เคลื่อนที่อยู่ข้างหน้า เมื่อรถวิ่งเข้าไปใกล้ ก็ต้องแปลกใจที่คนกลุ่มนั้นวิ่งเหมือนกับกองร้อยทหารออกกำลังยามเช้า เพราะมีทหารแต่งชุดครึ่งท่อนวิ่งคุมอยู่ทางด้านข้างและหลัง แต่ที่ต้องประหลาดใจและจำภาพได้จนถึงที่ทุกวันนี้ เมื่อแสงไฟหน้ารถยีเอ็มซีสาดไปกระทบกับกลุ่มคนที่วิ่งและเปล่งเสียงนับจังหวะเท้าได้อย่างพร้อมเพรียงกันนั้นมิใช่ทหารอายุ 21 ปี แต่เป็นเด็กชายหญิงทีอายุประมาณ 11 - 12 ปี ที่เป็นลูกหลานของชาวบ้านในลุ่มน้ำเข็ก เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นเยาวชนที่หน่วยทหารที่ดูแลพื้นที่ฝึกอบรมให้


            พวกเราที่สมัครใจเข้าชมรมพัฒนาสังคมมาจากหลายสถาบัน เช่น โรงเรียนนายร้อย วิทยาลัยแพทย์ทหารบก วิทยาลัยพยาบาล และวิทยาลัยครูสวนดุสิต วิทยาลัยครูสวนสุนันทา จึงมีความแตกต่างในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานความคิด ความเป็นมาของครอบครัว การได้รับการอบรมสั่งสอนจากสถาบัน แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีคล้าย ๆ กัน คือ ความเชื่อมั่นศรัทธาด้วยใจเต็มเปี่ยมว่าเราอยากเห็นคนไทยทีอยู่ในดินแดนด้อยโอกาสได้มีโอกาสที่ดีขึ้นเท่าเทียมกับเรา และเราคิดว่าหากเรามีโอกาสเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นเครื่องมือที่ขององค์กรใด ๆ ที่จะช่วยให้ความเชื่อและความฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมา 

            หลังจากเดินทางกลับมาจากเขาค้อ ที่เราได้ไปเห็นการพัฒนาเยาวชนที่แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและประทับใจแล้ว พวกเราก็กลับมาปรึกษาหารือกันด้วยการชี้แนะและการสนับสนุนของพี่ ๆ ทั้งที่จบไปแล้วและยังไม่จบการศึกษา ทั้งที่ให้กำลังใจและสนับสนุนทางกายภาพเช่น รถบัส น้ำมัน ฯลฯ ให้แก่พวกเราทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์ที่พวกเราอาสาไปเป็นวิทยากรร่วมกับชมรมพัฒนาสังคมจากสถาบันอื่น ๆ ให้แก่เยาชนตามชุมชนแออัดย่านดินแดง และห้วงขวาง และในห้วงวันหยุดยาวเราก็จะจัดการอบรมให้แก่เยาวชนในโรงเรียนนอกกรุงเทพ เช่น ราชบุรี นครปฐม นครนายก เป็นต้น ที่เรายังจำภาพได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยแต่สนุกสุขใจในเวลา 3 - 4 วัน ที่เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งมาเตรียมการฝึกอบรมเยาชนจนสามทุ่ม แล้วประชุมต่อเพื่อปรับแผนการปฏิบัติในวันรุ่งขึ้นเสร็จอาบน้ำเข้านอนก็เที่ยงคืนไปแล้วเพื่อตื่นขึ้นมาเข้าวงรอบใหม่ 
        ความเหน็ดเหนื่อยและง่วงนอนหายเป็นเป็นปลิดทิ้ง โดยมีสิ่งที่ผมรู้สึกได้มาแทนที่ คือ ความรู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้เห็นเยาวชนตัวน้อย ๆ อายุประมาณ 11 - 12 ขวบ มีสีหน้าเบิกบาน หัวเราะ ร้องเพลง และร่วมมือร่วมใจสามัคคี ช่วยกันทำในสิ่งที่วิทยากรได้อบรมชี้แนะให้ด้วยความตั้งใจที่ล้นเหลือ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นผมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ตอบแทนที่เกินพอสำหรับพวกเราที่ทุ่มเทเสียสละทั้งเวลาส่วนตัวและแรงกาย แรงใจ กำลังสมอง ทำกันมาตลอด 2 ปี โดยมิได้เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย และมิได้รับการตอบแทนเป็นค่าจ้างเงินทอง

            ความเชื่อว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นความดีที่สามารถทำให้แก่สังคมที่ด้อยโอกาสเป็นความภูมิใจที่ฝังลึกและตรึงตราฝังใจของพวกเราตลอดเวลาเกือบ 30 ปี จวบจนถึงทุกวันนี้ และจะเป็นความสุขใจแก่ทุกคนในชมรมพัฒนาสังคม ปี 26-27 ที่มีส่วนร่วม ในทุกครั้งที่หวนรำลึกคิดถึงภาพเหล่านี้ขึ้นมาในมโนสำนึกในห้วงที่เหลือของชีวิตตลอดไป
-------------------------------- 
พ,อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

เจ้าป่าอินวะษา (ทหารดอทคอม 14 เม.ย.55)


        เมษายน  2527 หลังจากจบการฝึกจู่โจมเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2527 ได้ไม่กี่วัน ผมก็กลับมาทำหน้าที่ใหม่ล่าสุดคือ การเป็นครูฝึกนักเรียนใหม่ ที่เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นหลังผมไปอีก 3 ปี โดยเป็นการฝึกในลักษณะหน่วยทหารขนาดเล็ก หรือการรบในสภาวะพิเศษ (ป่าเขา) ซึ่งมาทำการฝึกกันที่ค่ายฝึกอินวะษา กาญจนบุรี

            การฝึกในครั้งนี้เรียกว่าสนุกมากครั้งหนึ่งในชีวิตทีเดียว เพราะเพื่อน ๆ หัวหน้ากองพัน กองร้อย และหัวหน้าหมวด ของกองพันนักเรียนที่ 1 ที่มาเป็นครูฝึกด้วยกันประมาณ 16 คน เท่าที่จำได้ ได้แก่ เจษ, เษม, เนศ, แหลม, ป๋อม, ก้อย, แขก, วิทย์, เสริม, หน่อง, มาศ, ทศพร, เบี้ยว และผม ที่พึ่งจบจู่โจมมาได้ไม่กี่วัน กำลังร้อนวิชากัน ก็เอาวิชาที่ได้มาดัดแปลงใส่ให้น้อง ๆ ที่ไม่เคยกันอย่างเต็มที่แบบไม่เหน็ดเหนื่อย

            อันที่จริง เมื่อ มีนาคม 2523 ผมและเพื่อน ๆ เคยมาฝึกที่ค่ายอินวะษาครั้งหนึ่งแล้ว แต่มาในฐานะผู้ถูกฝึก ซึ่งครูฝึกที่เป็นนายทหาร ก็มี เสือดำเป็นหัวหน้า ส่วนนายทหารท่านอื่น ๆ ก็มีเสือเขียว หมีขาว ทองคำ เป็นต้น ที่เป็นนักเรียนชั้น 4 เตรียมขึ้นชั้น 5 ก็มี สักสิบคน เช่น ทะเล กางเขนไฟ โดยพี่ ๆ ที่มาฝึกให้ มีฉายารวม ๆ เรียกว่า กะเหรี่ยง คงจะเป็นชื่อที่เรียกตาม ๆ กันมา ในฐานะที่เรียนไม่ผ่านหลักสูตรจู่โจม เพื่อไม่ให้ว่างก็เลยมาเป็นผู้ช่วยครูฝึก พวกเราที่มาจาก นักเรียนเตรียมทหาร ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนตอนถูกฝึกก็เรียกว่ายากลำบากมาก ๆ แต่พอผ่านไปแล้วก็รู้ว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ประทับใจมากที่เดียว


            การฝึกอินวะษาในปีต่อมาต้องหยุดชะงักลงจากผลกระทบของเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อ 1-3 เมษายน 2524 เนื่องจากผู้บังคับการกรมหรือเสือดำมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์และเป็นฝ่ายที่ต้องร่นถอยไป เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปมีความปรองดองกันแล้ว การฝึกอินวะษาจึงกลับมาอีกครั้งในยุคที่ผมเป็นชั้น 4 จะขึ้นชั้น 5 พอดี

        ช่วงแรกที่น้อง ๆ นักเรียนใหม่มารายงานตัว ประมาณ มีนาคม 2527 ที่ที่ตั้งของโรงเรียนเดิม ถนนราชดำเนินนอก ได้ระยะหนึ่ง พวกเรานักเรียนปกครองจะปล่อยข่าวว่าเราเป็นพวกกะเหรี่ยงที่ไม่ผ่านการฝึกจู่โจม มาทำหน้าที่เพียงผู้ช่วยนายทหารปกครองชั่วคราวเท่านั้นเพื่ออยากจะดูว่าน้อง ๆ จะรู้สึกกับเราอย่างไร อีกความคิดหนึ่งก็ต้องการสร้างสิ่งที่คาดไม่ถึงอันเป็นการฝึกอย่างหนึ่งให้กับน้อง ๆ

        ตอนนั้น หัวหน้าหมวดบางคน (น่าจะเป็นธเนศ ที่น้อง ๆ เรียกว่า เวตาล ปัจจุบัน เป็น ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 6) ได้ปลอมตัวเป็นนักเรียนใหม่เข้าไปกินไปนอนกับน้อง ๆ นักเรียนใหม่ ยอมให้เพื่อน ๆ ด้วยก้นแดกไปด้วยอยู่หลายวันเพื่อหาข่าววงในโดยที่น้อง ๆ ไม่รู้ตัว เพราะ นักเรียนเตรียมทหารรุ่นนี้ เป็น นักเรียนเตรียมทหารที่ โรงเรียนเตรียมทหาร เพียงปีเดียวก็ถูกส่งขึ้นเหล่า เนื่องจากมีการเปลี่ยนระบบการศึกษาของ โรงเรียนเตรียมทหารใหม่
            การฝึกที่ค่ายอินวะษานั้น เป็นการฝึกภาคป่าภูเขาที่เทียบระดับแล้วน้อง ๆ การฝึกจู่โจมเลยทีเดียว การใช้กระสุนวัตถุระเบิดส่วนใหญ่เป็นของจริง และใช้กันเป็นจำนวนมากให้สมกับการฝึกคนเพื่อไปผู้นำกองทัพเลยทีเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งก่อนการถ่ายรูปนี้ เป็นการฝึกการเล็ดลอดหลีกหนี คือการนำน้อง ๆ นักเรียนใหม่ขึ้นรถไปปล่อยในพื้นที่ห่างไกลจากค่ายประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร แล้วสมมุติว่าทุกคนเป็นเชลยศึกที่กำลังแหกค่ายข้าศึกเพื่อหนีกลับมายังพื้นที่ฝ่ายเราคือค่ายอินวะษา แบบในหนังเรื่อง สะพานข้ามแม่น้ำแคว

            นักเรียนใหม่ทั้งเนื้อทั้งตัว จะมีให้แต่กระติกน้ำ ชุดเสื้อผ้า และ ปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 88 แล้วทำการเล็ดลอดออกมาตอนทุ่มตรง พวกเราที่เรียกตัวเองว่าเจ้าป่า แทนคำว่ากะเหรี่ยงก็จะมาดักตามเส้นทาง คอยจับน้อง ๆ ที่ไม่ยอมมุดป่า ใครถูกจับได้ ก็จะโดนยึดเสื้อผ้า ให้เหลือแต่กางเกงในและรองเท้าคอมแบ็ท แล้วปล่อยให้เล็ดลอดต่อ ซึ่งถ้าโดนจับอีกครั้ง คราวนี้ต้องถูกจับไปปล่อย ณ จุดเริ่มต้นใหม่ เท่าที่จำได้ก็มีน้อง ๆ ที่พวกเราตั้งฉายากัน เช่น ไอ้แม้น ไอ้มั่น(คนนี้เป็นนายพลไปหลายปีแล้ว) ไอ้ไปล่ ไอ้เปลื่อง โดนจับแก้ผ้ากันหลายคน
            สำหรับผมตอนนั้น หนังเรื่อง แรมโบ้ กำลังดัง ก็เลยแต่งกายและใช้ยุทธวิธีแบบแรมโบ้ ไปซุ่มอยู่คนเดียวเพื่อจับน้อง ๆ อยู่แถวป่าไผ่ก่อนที่จะถึงทางเข้าค่ายเพราะคิดว่าน้อง ๆ คงประมาทและถูกจับได้ง่ายแน่ สักประมาณสี่ทุ่มกว่า ๆ ก็เริ่มมีนักเรียนใหม่กลุ่มแรกเล็ดลอดกลับมาถึงทางเข้าค่ายที่ผมซ่อนตัวอยู่ในความมืด ผมรออย่างเงียบ ๆ แบบแรมโบซ่อนตัวอยู่ในขี้โคลน จนน้องกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้ จนพอได้ระยะคว้ามือได้ผมก็กระโจนออกมาจากกอไผ่ คว้าตัวน้องคนที่ใกล้ที่สุด ด้วยความตกใจน้องคนนั้นสะพัดตัวเต็มที่และทั้งกลุ่มก็วิ่งกระจัดกระจายกันไป
            ผมเองมือยังจับตัวน้องได้หลวม ๆ แต่ยังไม่ยอมปล่อยวิ่งตามไปด้วย วิ่งเกี่ยวกันได้ระยะหนึ่งผมเองก็ไปสะดุดกิ่งไม้ล้มฟาดหน้าลงไปกับพื้นอย่างแรง ผมเองลุกขึ้นรู้สึกเปียก ๆ แสบ ๆ ที่ต้นแขนซ้าย เลยเอามือมาคลำดูที่แขนปรากฏว่ามีเลือดออกเนื่องจากถูกตอไม้ลวกที่มีคนตัดไปแล้วแต่เสี้ยมแหลมยังคงอยู่ทิ่มที่ต้นแขน และต้องใจหายวาบเมื่อมองดูรอบ ๆ แม้ในความมืด ก็เห็นว่ามีตอไม้รวกที่ถูกตัดเป็นปากฉลามอยู่เต็มไปหมดเหมือนเป็นกับดักของพวกเวียดกง แล้วก็คิดอยู่ในใจว่านี่นับว่าโชคยังดีนะที่ไม่ล้มเอาตัวหรือคอไปทับกับคมไม้รวกตรง ๆ คงดูไม่จืดแน่
            ซึ่งถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นผมเองก็คงไม่มีโอกาสได้มาถ่ายรูปนี้แล้วแชร์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ระลึกถึงค่ายอินวะษากันเป็นแน่แท้ที่เดียว
--------------------------------
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

นักเรียนใหม่ใจทะนง (ทหารดอทคอม 22 มิ.ย.55)


        ชีวิตการเป็นนักเรียนนายร้อยตอนที่สนุกประทับใจลืมไม่ลงฉากหนึ่งคงตอนเป็นนักเรียนใหม่ปี 1 เพราะช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงที่ชีวิตถูกกดดันอย่างหนักจากบรรดานายทหารปกครอง นักเรียนบังคับบัญชาครูอาจารย์ ตลอดจนบรรดาพี่ ๆ ที่ไม่ได้รับเชิญทั้งหลาย ที่แวะเวียนเข้ามาตามวงรอบตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนและบางครั้งก็หลังเข้านอน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นถ้ามองในแง่ดีหรือมองผ่านประวัติศาสตร์การทำสงครามแล้วสิ่งนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีทีเดียวที่ฝึกพวกเรานักเรียนใหม่ให้มีความอดทนต่อสภาวะความกดดันในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความเหนื่อย ความง่วง ความโมโห ความผิดหวัง ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ความรักที่มีต่อเพื่อน ซึ่งนั่นคือ พื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการทำนำพาชีวิตของตนเอง ของหน่วยและอาจจะต่อไปถึงประเทศชาติให้หลุดรอดปลอดภัยได้ในอนาคต

            ในเดือนพฤษภาคม 2523 เป็นการเปิดภาคเรียนเทอมแรกของนักเรียนนายร้อยรุ่นที่ 32 ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เข้ามารายงานตัวเป็นนักเรียนใหม่ของ หมวดที่ 4 กองร้อยที่ 1 กองพันที่ 2 ของกรมนักเรียน โรงเรียนนายร้อย โดยพักนอนอยู่ชั้น 2 ของอาคารกองพัน โดยอยู่รวมกับเพื่อน ๆ อีกเก้าคนในซอยที่เคยเป็นห้องแต่ต้องมาทุบฝาห้องออกเป็นโรงใหญ่เพราะมีนักเรียนจำนวนมากกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา พื้นที่ซอยก็ประมาณ กว้างสัก 4 เมตร ยาว 4 เมตร มีเตียงแบบสองชั้นวางไว้สามแถว แถวซ้ายและขวามีข้างละสองเตียงรวมแปดคน ตรงกลางหนึ่งเตียงสองคน รวมแล้วสิบคนพอดี เท่านั้นยังไม่พอเพราะมีตู้เหล็กใบสูงกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร สูงเกือบสองเมตรอีก 5 ตู้วางอยู่ปากซอย เฉลี่ยแล้วสำหรับให้นักเรียนเก็บของและสมบัติตนเองคนละครึ่งตู้ และถ้าหากสังเกตประตูให้ดีจะเห็นว่าลูกบิดติดกุญแจหน้าตู้ส่วนใหญ่จะพังไปเป็นจำนวนมากแล้วมีโซ่มาคล้องรูที่เคยเป็นที่จับแทนเพราะนักเรียนมักทำกุญแจหายและด้วยสถานการณ์ที่ไม่คอยท่าใคร เจ้าของตู้ก็มักทำลายโดยไม่ต้องรีรอมากเวลารีบเร่ง

            การเป็นนักเรียนใหม่ในเดือนแรกของผมนั้นเริ่มมีแววโดดเด่นมากกว่าเพื่อน ๆ ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2523 ในคืนวันหนึ่งก่อนที่เข้าห้องฝึกฝนเพื่อทำการบ้าน หัวหน้าหมวดได้มาอ่านรายชื่อผู้ต้องได้รับโทษประจำวันหน้ากองร้อยที่พวกเรามาเข้าแถวรวมกัน ดาวเด่นของกองร้อยก็จะไล่มาตั้งแต่ชื่ออักษร ก ไก่ หมวด 1 มาเรื่อยจนถึงจนถึงหมวด 4 แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงจากท่าตามระเบียบพักเมื่อได้ยินสิ่งที่คิดว่าหูผมฝาดไปคือ "เบญจพล เข้า เวรโทษ 7 คืน" อะไรวะ ผมคิดในใจผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากเข้าห้องฝึกฝนจนสามทุ่มก่อนเข้านอนด้วยความคาใจผมจึงขออนุญาตเข้าพบหัวหน้าหมวดที่ห้องหัวโรงนอน เพื่อขอชี้แจงโดยคิดว่าหัวหน้าหมวดอาจจะเข้าใจอะไรผิด หัวหน้าหมวดอนุญาตให้เข้ามาแล้วเปิดรายการที่บันทึกไว้ แล้วเงยหน้ามาบอกกับผมว่า "เวรโทษ 7 วันนั้น เกิดจากเมื่อเช้านี้ตอนเดินแถวจากฝั่งกรมนักเรียนไปฝั่งกองการศึกษานั้น ตรงสะพานมัฆวานที่หัวหน้าหมวดยืนซุ่มอยู่หลังต้นไม้เห็นผมยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อและขยับหมวก"

        ขณะที่ผมยังคงตกใจกับความผิดและโทษที่ผมได้รับซึ่งยังคิดอะไรไม่ออก หัวหน้าหมวดก็บอกต่อว่า "ในเมื่อมีปัญหามากนัก ก็เพิ่มเวรโทษเป็น 1 เดือนแล้วกัน" ผมยิ่งงงหนักเข้าไปอีกและคิดว่าถ้าขืนยังอยู่ต่อไปคงมีแถมมาอีก ก็เลยถอยออมมาตั้งหลักที่เตียงนอนในซอย แล้วก้มหน้าก้มตาเข้าเวรโทษที่เลือกสรรให้กับผมแล้วคือผลัดสาม ตีหนึ่งครึ่งถึงตีสามครึ่ง

        ผมเข้าเวรโทษแบบน็อนสต็อปมาได้สักระยะหนึ่ง ในคืนหนึ่งระหว่างกำลังหลับเอาแรงก่อนเที่ยงคืนเพื่อที่จะเตรียมตื่นไปเข้าเวร ก็ได้ยินเสียงนกหวีดปลุกให้ไปรวมหน้ากองร้อย รวมเสร็จหัวหน้าหมวดก็ถามว่าเมื่อสักครึ่งชั่วโมงมีพวกเราคนหนึ่งลงมาเข้าห้องน้ำแต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ต้องออกทางอุโมงค์กลางอาคาร เตะฉากเลี้ยวอ้อมมาเข้าห้องน้ำหลังกองพัน แต่ดันแอบลงทางบันไดด้านหลัง ซึ่งหัวหน้าหมวดแอบซุ่มอยู่แต่จับไม่ทัน ดังนั้น ใครรู้ตัวว่าตนเองทำแล้วไม่อยากให้เพื่อนต้องอดนอนให้ยอมรับออกมา" เงียบคือคำตอบสุดท้าย "ในเมื่อเพื่อนเราไม่ยอมรับผิด และไม่มีใครชี้ตัว ก็ถือว่าทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน" หัวหน้าหมวดที่แสนดีว่ามาอย่างนั้น

        หลังจากประกาศิตได้ประกาศออกมาแล้วก็ถึงคราวหน่วยรองนำมาแปลงเป็นการปฏิบัติ โดยเริ่มจากการงอเข่า ยึดพื้น กลิ้งซ้ายขวา คลานศอก คลานเข่า ปั่นจิ้งหรีด วิ่งไปเก็บใบสนสนามหน้า เวลาผ่านไปได้สักชั่วโมง หลายคนหายง่วงเป็นปลิดทิ้งแล้ว การหาวกลายเป็นเสียงหอบ หัวหน้าหมวดก็สั่งให้กอดคอกันแล้วนั่งลง "หัวหน้าหมวดจะให้โอกาสอีกครั้ง ใครลงบันไดหลังให้ลุกขึ้นมายอมรับอย่างลูกผู้ชาย เพื่อน ๆ ที่ไม่ผิดจะได้ขึ้นไปนอน"

        ณ วินาทีนั้น เหงื่อของผมเปียกชุ่มชุดนอนสีขาวที่เลอะดินและหญ้าไปหมดแล้ว ผมคำนวณดูแล้วว่ายังถูกรับประทานแบบนี้ไปเรื่อย ๆ กว่าจะเลิกผมคงต้องไปเข้าเวรต่ออีก พอดีไม่ต้องนอนกัน พอพรุ่งนี้ไปเรียนคงหลับ อาจารย์จดชื่อมาส่งหัวหน้าหมวด และถ้าความผิดและบทลงโทษอยู่ในอัตราเช่นที่ผ่านมา ผมคงได้เพิ่มเวรโทษไปอีกพอดีครบปีใช้หนี้ไม่หมด และใจหนึ่งก็คิดในแง่ดีว่าถ้ามีใครที่ไม่ได้ทำผิดแต่มารับโทษแทน คนทำผิดอาจจะปรากฏตัวขึ้นมาด้วยความละอายใจก็ได้

            "ถ้าไม่มีใครยอมรับอีก งอเข่าครึ่งนั่ง 100 ...." หัวหน้าหมวดยังไม่ทันที่จะพูดจบ แม้ว่าเพื่อนที่กอดคออยู่กับผมรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ และพยายามกดคอผมไว้ แต่ผมก็สลัดหลุด ยกมือที่กอดคอเพื่อนไว้ชูขึ้นมาแล้วลุกขึ้นพูดท่ามกลางความเงียบสงบ "ผมเองครับ ที่ลงบันไดหลัง" เพียงไม่กี่วินาทีเสียงพึมพัมจากกลุ่มเพื่อน ๆ ที่กอดคอกันอยู่ก็ดังกระหึ่ม เสียงที่เล็ดลอดมามีทั้งด่าทอว่าผมทำให้เพื่อนเดือดร้อน และมีบางเสียงกระซิบมาว่ามึงไม่ได้ทำมึงไปรับแทนคนอื่นทำไม

        เพื่อนทั้งกองร้อยกว่าร้อยคนจะมีคนที่รู้ความจริงว่าผมไม่ใช่คนที่ลงบันไดหลังในคืนนั้น คงมีเพียงสองคนเท่านั้นคือ ผม และคนที่หัวหน้าหมวดคว้าข้อมือที่หลังเสาหน้าห้องน้ำไม่ทัน ยังไม่ทันที่จะมีการโต้แย้งอะไรเกิดขึ้น หัวหน้าหมวดก็สั่งว่า "นอกจากเบญจพล ทุกคนเลิกแถวและให้เวลาสามสิบวินาทีเข้านอนให้เรียบร้อย" เพื่อน ๆ ที่กอดคอกันแตกฮือ และด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่ากามนิต ไม่ทันจะครบสามสิบวินาทีทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบ

        หน้าอุโมงค์ใต้ตึกกองบัญชาการเวลาเที่ยงคืนกว่า ๆ คงมีผมกับหัวหน้าหมวดยืนประจัญหน้ากันอยู่ "หัวหน้าหมวดรู้ว่าเอ็งไม่ใช่คนลงบันไดหลัง คนที่หัวหน้าหมวดคว้ามือไม่ทันตัวมันใหญ่กว่านี้มาก แต่เอ็งต้องถูกลงโทษอยู่ดีในข้อหาปกป้องคนกระทำผิด ดังนั้น ไปวิ่งรอบพระรูปสามรอบแล้วตะโกนว่า 'ต่อไปผมจะไม่โกหกอีก' แล้วไปนอนได้" ผมยืนงงอยู่พักหนึ่งเพราะคิดว่าฟังผิด จนหัวหน้าหมวดบอกซ้ำว่า "ไม่อยากวิ่งสามรอบ จะเอาเวรโทษสามคืนแทนหรือไง" ผมจึงระล่ำระลักกล่าวขอบคุณแล้วไปวิ่งตามที่หัวหน้าหมวดสั่งก่อนเข้านอนไปสักชั่วโมง เพื่อตื่นขึ้นมาเข้าเวรผลัดสามต่อไป

        การกระทำของผมในคืนนั้นไม่อาจบอกได้ว่าถูกหรือผิด แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ในอีกไม่กี่วันต่อมามีเพื่อนสนิทซอยใกล้เคียงกันมากระซิบให้ผมนอนระวังตัวด้วยเพราะมีคนพูดถึงมหกรรมการตีแมวจนผมเองต้องนอนสะดุ้งหลับๆ ตื่น ๆ อยู่หลายคืน และอีกอย่างก็คือ นักเรียนบังคับบัญชาได้ออกนโยบายแยกปลาออกจากน้ำคือ การคัดเลือกกำลังพลจากหมวดต่างๆ ที่มีดาวในการเข้าเวรโทษหรือถูกลงโทษบ่อย ๆ มารวมกันเป็นหมวดที่ 5 หรือเรียกว่า หมวดพิเศษ ซึ่งจะได้รับสิทธิ์เป็นพิเศษในการเข้าเวรแทนเพื่อน เฝ้าโรงเรียนวันหยุด ออกกำลังกายหลังเพื่อนนอน นอนน้อยเป็นพิเศษ กินน้อยเป็นพิเศษ ออกกำลังกายท่าพิเศษ ถูกกักบริเวณนานเป็นพิเศษ เป็นต้น

        ซึ่งเท่าที่จำได้สมาชิกของหมวดพิเศษมียี่สิบกว่าคนเห็นจะได้ เช่น นก หรัส แป๊ะ ลอย ด็วด โท เทา อ๋อย คร คม เจ็ก เจี๊ยบ นิต น้อง เล็ก รอด แดง และที่ขาดไม่ได้ก็คือ เบน นั่นเอง โดยมีหัวหน้าหมวดพิเศษชื่อ นักเรียนนายร้อยขันธเคธน์ เรือนก้อน ตำแหน่งจริงเป็นหัวหน้าหมวดที่ 2 ซึ่งเป็นคน ๆ เดียวกับที่ไปซุ่มจับนักเรียนใหม่แอบลงบันไดหลัง (เท่าที่ถามถึงพี่เขาจบแล้วไปทำงานอยู่ทางอีสาน หลังจากจบ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ประมาณปี 33 เลือกลงทางภาคใต้ และเสียชีวิตลงเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2552 ด้วยอาการป่วย ยศสุดท้ายพันเอก)

            จากวันนั้น อีกสี่ปีผ่านไป ก็มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคือ ในปี 2527 ผมเป็นนักเรียนนายร้อยชั้น 5 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักเรียนบังคับบัญชาปกครองนักเรียนใหม่ที่เข้ามา โดยผมได้รับตำแหน่งหัวหน้าหมวดที่ 2 กองร้อยที่ 1 ตำแหน่งเดียวกับพี่หัวหน้าหมวดตอนผมเป็นนักเรียนใหม่โดยบังเอิญ แต่ที่จะแตกต่างกันคือ ผมชักชวนให้หัวหน้ากองร้อยตั้งหมวดพิเศษไม่สำเร็จ ซึ่งหากตั้งได้น้องหลาย ๆ คงได้ลิ้มรสชาติของนักเรียนใหม่ที่สนุกสนานกว่าที่เป็นและมากกว่าที่คิดก็เป็นได้
-----------------------------------
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ