"ระวัง ระวัง นับ" "1...2....3....4... 1.2.3.4. ชาติ. เกียรติ. วินัย. กล้าหาญ" เสียงนับที่ดังพร้อมกับฝ่าเท้าเล็ก ๆ หลายสิบเท้ากระทบลงบนพื้นถนนลูกรัง ที่คดเคี้ยวไปตามสันเขาของเขาค้อ ที่เคยเป็นดินแดนของการสู้รบของคนที่มีอุดมการณ์ต่างกัน เมื่อประมาณปี 2519 ดังขึ้นแข่งกับเสียงนกที่บินออกหากินยามเช้ามืดในหุบเขาที่ห่างไกลความเจริญจุดหนึ่งของประเทศไทย
ผมและสมาชิกของชมรมพัฒนาสังคมประมาณ 20 คน ที่ใช้เวลาช่วงปิดเทอมปี 2526 หรือประมาณปลายปีการศึกษาตอนเป็นนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 4 เดินทางไปดูงานการพัฒนาเยาวชนของเขาค้อถูกปลุกขึ้นมาตอนใกล้ตีห้าท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ล้างหน้าล้างตาเสร็จแต่งตัวให้รัดกุมแล้วก็กระโดดขึ้นกระบะท้ายรถยีเอ็มซีของหน่วยที่ดูแลพื้นที่วิ่งออกจากที่พักไปยังหมู่บ้าน และค่อย ๆ วิ่งช้าลงเมื่อเห็นกลุ่มของคนประมาณ 30 - 40 คน ตะคุ่ม ๆ เคลื่อนที่อยู่ข้างหน้า เมื่อรถวิ่งเข้าไปใกล้ ก็ต้องแปลกใจที่คนกลุ่มนั้นวิ่งเหมือนกับกองร้อยทหารออกกำลังยามเช้า เพราะมีทหารแต่งชุดครึ่งท่อนวิ่งคุมอยู่ทางด้านข้างและหลัง แต่ที่ต้องประหลาดใจและจำภาพได้จนถึงที่ทุกวันนี้ เมื่อแสงไฟหน้ารถยีเอ็มซีสาดไปกระทบกับกลุ่มคนที่วิ่งและเปล่งเสียงนับจังหวะเท้าได้อย่างพร้อมเพรียงกันนั้นมิใช่ทหารอายุ 21 ปี แต่เป็นเด็กชายหญิงทีอายุประมาณ 11 - 12 ปี ที่เป็นลูกหลานของชาวบ้านในลุ่มน้ำเข็ก เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นเยาวชนที่หน่วยทหารที่ดูแลพื้นที่ฝึกอบรมให้
พวกเราที่สมัครใจเข้าชมรมพัฒนาสังคมมาจากหลายสถาบัน เช่น โรงเรียนนายร้อย วิทยาลัยแพทย์ทหารบก วิทยาลัยพยาบาล และวิทยาลัยครูสวนดุสิต วิทยาลัยครูสวนสุนันทา จึงมีความแตกต่างในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานความคิด ความเป็นมาของครอบครัว การได้รับการอบรมสั่งสอนจากสถาบัน แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีคล้าย ๆ กัน คือ ความเชื่อมั่นศรัทธาด้วยใจเต็มเปี่ยมว่าเราอยากเห็นคนไทยทีอยู่ในดินแดนด้อยโอกาสได้มีโอกาสที่ดีขึ้นเท่าเทียมกับเรา และเราคิดว่าหากเรามีโอกาสเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นเครื่องมือที่ขององค์กรใด ๆ ที่จะช่วยให้ความเชื่อและความฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมา
พวกเราที่สมัครใจเข้าชมรมพัฒนาสังคมมาจากหลายสถาบัน เช่น โรงเรียนนายร้อย วิทยาลัยแพทย์ทหารบก วิทยาลัยพยาบาล และวิทยาลัยครูสวนดุสิต วิทยาลัยครูสวนสุนันทา จึงมีความแตกต่างในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานความคิด ความเป็นมาของครอบครัว การได้รับการอบรมสั่งสอนจากสถาบัน แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีคล้าย ๆ กัน คือ ความเชื่อมั่นศรัทธาด้วยใจเต็มเปี่ยมว่าเราอยากเห็นคนไทยทีอยู่ในดินแดนด้อยโอกาสได้มีโอกาสที่ดีขึ้นเท่าเทียมกับเรา และเราคิดว่าหากเรามีโอกาสเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นเครื่องมือที่ขององค์กรใด ๆ ที่จะช่วยให้ความเชื่อและความฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมา
หลังจากเดินทางกลับมาจากเขาค้อ ที่เราได้ไปเห็นการพัฒนาเยาวชนที่แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและประทับใจแล้ว พวกเราก็กลับมาปรึกษาหารือกันด้วยการชี้แนะและการสนับสนุนของพี่ ๆ ทั้งที่จบไปแล้วและยังไม่จบการศึกษา ทั้งที่ให้กำลังใจและสนับสนุนทางกายภาพเช่น รถบัส น้ำมัน ฯลฯ ให้แก่พวกเราทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์ที่พวกเราอาสาไปเป็นวิทยากรร่วมกับชมรมพัฒนาสังคมจากสถาบันอื่น ๆ ให้แก่เยาชนตามชุมชนแออัดย่านดินแดง และห้วงขวาง และในห้วงวันหยุดยาวเราก็จะจัดการอบรมให้แก่เยาวชนในโรงเรียนนอกกรุงเทพ เช่น ราชบุรี นครปฐม นครนายก เป็นต้น ที่เรายังจำภาพได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยแต่สนุกสุขใจในเวลา 3 - 4 วัน ที่เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งมาเตรียมการฝึกอบรมเยาชนจนสามทุ่ม แล้วประชุมต่อเพื่อปรับแผนการปฏิบัติในวันรุ่งขึ้นเสร็จอาบน้ำเข้านอนก็เที่ยงคืนไปแล้วเพื่อตื่นขึ้นมาเข้าวงรอบใหม่
ความเหน็ดเหนื่อยและง่วงนอนหายเป็นเป็นปลิดทิ้ง โดยมีสิ่งที่ผมรู้สึกได้มาแทนที่ คือ ความรู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้เห็นเยาวชนตัวน้อย ๆ อายุประมาณ 11 - 12 ขวบ มีสีหน้าเบิกบาน หัวเราะ ร้องเพลง และร่วมมือร่วมใจสามัคคี ช่วยกันทำในสิ่งที่วิทยากรได้อบรมชี้แนะให้ด้วยความตั้งใจที่ล้นเหลือ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นผมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ตอบแทนที่เกินพอสำหรับพวกเราที่ทุ่มเทเสียสละทั้งเวลาส่วนตัวและแรงกาย แรงใจ กำลังสมอง ทำกันมาตลอด 2 ปี โดยมิได้เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย และมิได้รับการตอบแทนเป็นค่าจ้างเงินทอง
ความเชื่อว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นความดีที่สามารถทำให้แก่สังคมที่ด้อยโอกาสเป็นความภูมิใจที่ฝังลึกและตรึงตราฝังใจของพวกเราตลอดเวลาเกือบ 30 ปี จวบจนถึงทุกวันนี้ และจะเป็นความสุขใจแก่ทุกคนในชมรมพัฒนาสังคม ปี 26-27 ที่มีส่วนร่วม ในทุกครั้งที่หวนรำลึกคิดถึงภาพเหล่านี้ขึ้นมาในมโนสำนึกในห้วงที่เหลือของชีวิตตลอดไป
--------------------------------
พ,อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น