02 กุมภาพันธ์ 2566

ทหารไทยกับสหประชาชาติ ตอนที่ 2 การสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานในตำแหน่งนายทหารฝ่ายแผน กรมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ สหประชาชาติ (ทหารดอทคอม 29 ก.ค.44)


        วันนี้เป็นวันที่ 56 หรือวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ 8 ที่ผมได้รับคำบอกจากบุคคลที่สัมภาษณ์ผมจากองค์การสหประชาชาติ นิวยอร์ก เมื่อ สามทุ่มวันที่ 4 มิถุนายน 2544 ที่ผ่านมาว่าหลังจากการให้สัมภาษณ์แล้ว เขาจะใช้เวลาในการดำเนินกรรมวิธีต่ออีกประมาณ 6 - 8 สัปดาห์ หรือที่ผมคิดให้เต็มที่ก็คือ 56 วัน โดยผมเองก็เริ่มทำใจไปบางส่วนแล้วว่าอาจจะแห้ว แม้ว่ายังคงมีส่วนลึก ๆ ที่ยังหวังอยู่บ้าง และเพื่อไม่ให้เป็นการสูญเปล่าผมก็เลยถือโอกาสนำเอาบรรยากาศและคำสัมภาษณ์โต้ตอบกันระหว่างเจ้าหน้าที่สหประชาชาติกับผม มาเล่าสู่ให้ฟังกันเพื่อที่บางท่านอาจจะนำเอาไปเป็นข้อมูลเพื่อทำอย่างอื่นหรือเอาไปคิดคำตอบเผื่อจะสมัครงานกับสหประชาชาติในโอกาสอื่นบ้าง ในการสัมภาษณ์นั้นเป็นภาษาอังกฤษนะครับซึ่งผมสรุปใจความเป็นภาษาไทยมาให้ท่านได้อ่านกัน

        จากตอนที่แล้วที่ผมเขียนทิ้งไว้ก็คือ นายทหารของสหประชาชาติได้ติดต่อผ่านโทรศัพท์มาหาผมซึ่งก็มีความพร้อมที่จะตอบคำถามแล้ว ซึ่งมีคำถามในระหว่างการสัมภาษณ์ซึ่งผมจะแยกออกเป็นข้อ ๆ โดยเขาถามที่ผมฟังออกบ้างไม่ออกบ้างและผมตอบได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้างดังนี้ครับ

        ข้อแรกหลังจากที่เขาแนะนำตัวว่าเป็นใครมาจากไหนแล้วก็มีคนมานั่งฟังการให้สัมภาษณ์ของผมอยู่หลายคน เขาก็ถามว่าผมพร้อมที่จะตอบคำถามหรือยัง ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องตอบว่าพร้อม เหมือนกับคำถามที่สองที่เขาบอกให้ผมยืนยันว่าผมเป็น พันโทเบญจพล รังษีภาณุรัตน์ ตัวจริง ผมก็ตอบยืนยันว่าผมเป็นพันโทเบญจพล รังษีภาณุรัตน์ ตัวจริงไม่ใช่คนอื่น สำหรับอีกข้อหนึ่งก็คือเขาถามว่าผมติดยศพันโทเมื่อไร ซึ่งผมก็ตอบวันที่ผมมีสิทธิในยศพันโท คือประมาณวันที่ 17 มกราคม 2543 ซึ่งจริง ๆ คำสั่งที่ออกให้ผมติดยศนั้นประมาณ พฤษภาคม เพียงแต่ย้อนหลังให้ประมาณสามสี่เดือน ซึ่งในช่วงนั้นผมยังทำงานที่ติมอร์แล้วก็ติดยศพันตรีต่อเนื่องมาจากหน่วยเดิม แล้วก็ไม่ได้ประดับยศพันโทจนจบภารกิจกลับมามั่นใจว่ามีคำสั่งเป็นพันโทแน่นอนแล้วประมาณเดือนสิงหาคม 2543 ซึ่งขั้นตอนตรงนี้อาจจะทำให้เจ้าหน้าที่สหประชาชาติสับสนระบบได้เหมือนกันเนื่องจากในใบประกาศที่ติมอร์นั้นยังเป็นยศพันตรีอยู่

            หลังจากที่ตอบคำถามเริ่มต้นแล้วคราวนี้ก็ถามคำถามหลัก โดยเริ่มจากเขาให้ผมเล่าตำแหน่งหน้าที่ย้อนหลังไปสามตำแหน่ง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมเก็งถูกว่าเขาจะถามก็เลยเขียนคำตอบคอยไว้ก่อน โดยเริ่มจากตำแหน่งในปัจจุบันของผม คือหัวหน้าแผนกในกรมยุทธการทหารบก โดยเน้นให้เห็นว่าผมมีหน้าที่การงานตรงกับตำแหน่งที่ผมสมัครไปคือ นายทหารฝ่ายแผน โดยหน้าที่ของผมก็คือการวางแผนการใช้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก การจัดกำลังในการป้องกันประเทศ และการมีส่วนร่วมในการดำเนินการเกี่ยวกับการดำเนินการของทหารไทยในติมอร์ตะวันออก สำหรับตำแหน่งที่สองก็คือการเป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวของกองกำลังทหารบกไทยในติมอร์ตะวันออก โดยเป็นหน่วยนำหน่วยแรกในการเดินทางเข้ามารวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการวางแผนตั้งแต่เริ่มต้น การเป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวสารทางทหารของกองพลน้อยตะวันออก ของกองกำลังรักษาสันติภาพ ในติมอร์ตะวันออกรุ่นแรก การได้รับหน้าที่ในการประสานงานกับเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของสหประชาชาติที่ทำงานในติมอร์ตะวันออก แล้วก็เป็นตัวกลางในการประสานงานทำความเข้าใจที่ดีระหว่างกลุ่มประชาชนและกองกำลังติดอาวุธในติมอร์ตะวันออก ตลอดช่วงเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยการทำร้ายกันของประชาชนชาวติมอร์ในพื้นที่รับผิดชอบด้วย สำหรับตำแหน่งลำดับที่สามก่อนตำแหน่งอื่น ๆ ก็คือตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันทหารราบ ที่มีหน้าที่ในเป็นหัวหน้าฝ่ายอำนวยการของหน่วยระดับยุทธวิธี ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล ควบคุมเพื่อให้การปฏิบัติของหน่วยเป็นไปตามตำสั่งยุทธการในแต่ละครั้ง และได้เพิ่มเติมอีกว่าในช่วงนี้ ได้มีโอกาสดีในการทำหน้าที่เป็นผู้วางและบริหารระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายของหน่วยในระดับกองพัน จนสามารถที่จะใช้เป็นต้นแบบของหน่วยขนาดเดียวกันได้

            คำถามต่อมาก็คือ เขาถามว่าทำไมจึงคิดว่าตนเองมีความเหมาะสมและคุณภาพในการทำงานอย่างไร ในตำแหน่งที่สมัครเข้ามา คำตอบของผมก็คือ ผมคิดว่ามีความเหมาะสมที่จะทำหน้าที่นี้เนื่องจาก ผมมีประสบการณ์ในด้านการวางแผนมาทุกระดับไม่ว่าจะเป็นในระดับยุทธศาสตร์คือระดับกองทัพบก ระดับยุทธการด้วยการเป็นหน่วยนำในการร่วมในการวางแผนการปฏิบัติการในติมอร์ตะวันออก และการทำงานระดับยุทธวิธีในตำแหน่งนายทหารยุทธการของกรมทหารราบ ประสบการณ์ในการฝึกศึกษาก็มี ไม่ว่า การจบการศึกษาทางด้านการวางแผนระดับกองพล และกองทัพน้อยจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ซึ่งแผนในระหว่างที่เรียนก็ได้รับการนำออกมานำเสนอให้แก่ทั้งชั้นเรียนถึงสองครั้ง การได้เรียนการวางแผนระดับกองพันและกองพลน้อย จากโรงเรียนทหารราบสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหลักสูตรการวางแผนระดับยุทธวิธีที่หินมากแห่งหนึ่ง ซึ่งผลการศึกษาก็อยู่ในระดับที่ดีของชั้นจนในการวางแผนสุดก่อนจบการศึกษาได้รับมอบให้ทำหน้าที่นายทหารฝ่ายยุทธการของกลุ่ม แล้วก็ในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ทำหน้าที่ที่สำคัญในกองบัญชาการร่วมผสมไทย/สหรัฐ รหัสการฝึกคอบร้าโกลด์ ในปี 1998 และ 1999 โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายทหารปฏิบัติการ และผู้ช่วยหัวหน้านายทหารศูนย์ข่าวกรองร่วม ของฝ่ายข่าวกรองในกองบัญชาการร่วมผสม และสุดท้ายก็คือ ประสบการณ์ในการปฏิบัติการร่วมกับสหประชาชาติก็พึ่งผ่านมาก็คือการเป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวสารทหารของกองพลน้อยภาคตระวันออก แล้วก็เป็นตัวแทนของกองทัพบกในการเข้าร่วมสัมมนาการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพที่จัดโดยองค์การสหประชาชาติและกองกำลังสหรัฐภาคพื้นแปซิฟิก ที่บังคลาเทศเมื่อกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งจากประสบการณ์ในการปฏิบัติงานและความรู้ที่ผ่านมาจึงทำให้มีความมั่นใจว่าสามารถทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี

            คำถามต่อมาคือ ประสบการณ์ในการทำงานระดับนานาชาติที่นอกเหนือสหรัฐและสหประชาชาติว่าเคยมีมาอย่างไรบ้าง คำถามนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากนักเพราะผมก็เตรียมไว้แล้วเหมือนกัน เมื่อปี 1992 ได้เป็นตัวแทนของกองทัพบกในการเดินทางร่วมคณะของการเจรจาวางแผนการฝึกร่วมระหว่างกองทัพบกและทหารกุรข่า ที่อยู่ในการกำกับดูแลของกองทัพอังกฤษที่ฮ่องกง และในปีถัดมาก็เข้าร่วมในการสัมมนาผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นดินในภาคพื้นแปซิฟิก ที่ออสเตรเลีย นอกจากนั้นก็ได้เดินทางไปดูงานกิจการทหารในประเทศ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ เมื่อปี 1995

            คำถามต่อมาคือ ท่านมีขีดความสามรถในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรบ้าง ข้อนี้ก็ง่ายเลย สำหรับผม ผมก็สาธยายเลยว่า ผมมีความรู้ในการใช้โปรแกรมพื้นฐานต่าง เช่น วินโดว์ อ๊อฟฟิต โฟโต้ชอบ วิซิโอ การใช้โปรแกรมมัลติมิเดีย ระบบเครือข่ายโดยผ่านการอบรมระบบวินโดว์เอ็นทีจากสถาบันที่ไมโครซอฟท์รับรอง การรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ การใช้อีเมล อินเทอร์เน็ต การเขียนโฮมเพจ การใช้แอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต โดยผมมีโฮมเพจของตัวเอง ความรู้ในด้านฮาดแวร์สามารถประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์และติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ได้ สามารถวางระบบเครือข่ายขนาดเล็กได้ แล้วก็ที่สำคัญคือเคยปฏิบัติงานในระบบ C4I ซึ่งเป็นระบบควบคุมบังคับชาระดับสูงของทหารจากการฝึกร่วมกับสหรัฐและการปฏิบัติงานที่ติมอร์ตะวันออก แล้วก็เป็นผู้บริหารระบบของหน่วยระดับกองพันมาแล้ว

            คำถามชุดต่อมาเป็นชุดที่เกี่ยวกับองค์การสหประชาชาติ โดยถามว่า ท่านคิดว่าจากการทำงานกับองค์การสหประชาชาติมานั้น สิ่งใดที่ท่านคิดว่าท่านได้รับประโยชน์มากที่สุด ข้อนี้ผมคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าจะตอบอย่างไรดี โดยหยุดคิดนิดหนึ่งก็ตอบไปว่าการได้เปิดวิสัยทัศน์และสร้างเสริมประสบการณ์ในการทำงานระดับนานาชาติที่ไม่สามารถจะหาได้จากการทำงานที่ไหน ๆ

            คำถามต่อมาก็คือ ท่านคิดว่าสิ่งใดที่ท่านคิดว่าเป็นจุดอ่อนของการทำงานของสหประชาชาติที่ท่านได้ประสบมาระหว่างการทำงาน สำหรับข้อนี้เป็นคำตอบที่ผมคิดว่าตอบได้ดีกว่าข้ออื่น ๆ โดยผมตอบว่า เท่าที่ทำงานมาเกือบหนึ่งปีที่ติมอร์ตะวันออก สิ่งที่ผมได้รับทุกวันก็คือความสุขที่ได้รับจากการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของสหประชาชาติ ซึ่งนึกไม่ออกมามีขั้นตอนไหนบ้างที่ทำให้ผมคิดว่าการทำงานของสหประชาชาติมีจุดอ่อน ยกเว้นจากการที่ได้ไปทำงานสัมผัสกับประชาชนติมอร์ตะวันออก มักจะได้ยินคำบ่นจากประชาชนว่าสหประชาชาติทำงานช้าไม่ทันใจ ซึ่งผมก็มักจะให้คำอธิบายว่าการทำงานของสหประชาชาติมีขั้นตอนมากเนื่องจากต้องระวัดระวังไม่ให้เกิดความลำเอียงหรือวางตัวไม่เป็นกลางจึงทำให้เสียเวลามากกว่าการตัดสินใจโดยทั่วไปของประชาชน

            คำถามสุดท้ายของชุดนี้เป็นคำถามที่ผมคิดว่าตอบยากซึ่งผมเองตอบได้ไม่ดีในเวลานั้น เขาถามว่า สมมุติว่าท่านได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงานกับสหประชาชาติแล้ว ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่นั้นมีเหตุการณ์ขัดแย้งเกิดขึ้นที่ประเทศของท่าน ที่ทำให้สหประชาชาติต้องออกนโยบายและการปฏิบัติที่ขัดต่อผลประโยชน์และนโยบายของประเทศของท่าน ท่านจะทำอย่างไร ข้อนี้ผมหลุดปากออกไปก่อนเลยว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่ตอบยาก ผมยังคงรักประเทศของผมแต่อย่างไรก็ตามผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในห้วงเวลานั้น ซึ่งหลังจากจบการให้สัมภาษณ์แล้วผมมาทบทวนคำตอบข้อนี้ของผมโดยผมมาคิดว่าถ้ามีโอกาสถูกถามอีกผมจะตอบว่า ผมเชื่อว่าสหประชาชาติจะออกนโยบายที่ถือเอาสันติภาพและความสงบสุขของประชาชนของโลกเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ ซึ่งผมคิดว่าผมพร้อมจะให้การสนับสนุนนโยบายนั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้านโยบายดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนของไทยโดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศหรือกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คน ผมจะบอกให้ทางองค์การสหประชาชาติทราบว่าผมขอลาออกเพื่อกลับไปปกป้องแผ่นดินและพี่น้องประชาชนของผม

                สำหรับคำถามชุดสุดท้ายนั้นเป็นคำถามเบา ๆ โดยสมมุติว่าผมได้รับเลือกให้ทำงานในสหประชาชาติแล้ว โดยถามว่า ผมมีข้อจำกัดในการเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกบ้างหรือไม่ คำตอบของผมก็คือ ผมสามารถไปได้ทุกแห่งไม่ว่าร้อนหรือหนาว เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วไม่ว่าการไปนอนในป่าที่อุณหภูมิเท่าจุดเยือกแข็งหรือร้อนและแห้งแล้งเหมือนับป่าเมืองกาญจน์ยามหน้าร้อน โดยขอให้ทางสหประชาชาติสั่งและให้การสนับสนุนให้ผมมีความพร้อมในการปฏิบัติงานเป็นใช้ได้ คำถามต่อมาก็คือ ผมจะสามารถเดินทางไปทำงานได้เดือนไหน ผมตอบไปว่าหลังจากที่ผมทราบว่าผมได้รับการคัดเลือก ผมขอเวลาหนึ่งเดือนในการเตรียมตัว ซึ่งคำตอบนี้ผมมีเหตุผลว่าจริง ๆ แล้วสั่งผมวันนี้ให้ผมเดินทางวันพรุ่งนี้ก็ทำได้ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องหนังสือเดินทางเพราะตอนที่ไปติมอร์ครั้งแรกนั้น รู้ตัวตอนบ่ายโมง ให้เดินทางตีสี่ของอีกวันเรียกว่าให้เวลา 14 ชั่วโมงเท่านั้นก็เดินทางไปทำงานได้เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรมีเวลาในการดำเนินการทางด้านเอกสาร การส่งมอบงานประจำ การจัดการเรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัวไม่ว่าเสื้อผ้า ล่ำลาคนเคารพให้เรียบร้อย ซึ่งเวลาที่เหมาะสมก็ควรจะประมาณหนึ่งเดือน

            สำหรับคำถามสุดท้ายเป็นคำถามแถมเนื่องจากคนที่ฟังอยู่ด้วยเขาอยากทราบเพิ่มเติมหลังจากฟังมาครึ่งชั่วโมง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นคนประเทศอะไรแต่คิดว่าไม่ใช่คนฝรั่งเพราะฟังสำเนียงแล้วไม่คุ้น โดยผมต้องมาฟังต่ออีกทอดหนึ่งจากหัวหน้าทีมที่สัมภาษณ์ เขาถามว่าจากการฟังแล้วเชื่อว่าผมสามารถพูดและฟังภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีแต่สงสัยว่าจะเขียนได้หรือไม่ ผมก็รีบตอบกลับไปเลยว่า เรื่องการเขียนของผมนั้นไม่ต้องเป็นห่วงผมเขียนได้แน่นอน เพราะการรายงานประจำวันตอนที่ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวที่ติมอร์ตะวันออก ผมก็รายงานเป็นภาษาอังกฤษทุกวันอยู่แล้ว แล้วก็สรุปประจำเดือนของผมทางกองบัญชาการใหญ่ ก็สำเนาแจกจ่ายให้แก่กองพลน้อยอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นตัวอย่างอีกด้วยแล้วก็ตอนเรียนหลักสูตรชั้นนายพันทหารราบที่สหรัฐอเมริกาก็เขียนคำสั่งยุทธการเองน่าจะได้สิบคำสั่งซึ่งครูผู้สอนก็ให้คะแนนดีแทบทุกครั้ง

            หลังจากนั้นก็จบการสัมภาษณ์ หัวหน้าเขาก็ให้อีเมลแอดเดรสแก่ผมแล้วก็ตอบคำถามผมที่ถามไปบ้าง ว่าขบวนการคัดเลือกจะใช้เวลาประมาณ 6 -8 สัปดาห์แบบที่ผมเล่าแต่ต้น โดยที่ชื่อของผมนั้นอยู่ในบัญชีที่คัดเลือกมาแล้วโดยมีจำนวนที่เรียกว่าน้อยมาก ซึ่งสองสามวันต่อมาทราบข่าวเพิ่มเติมจากน้อง ๆ ว่า ผมเป็น 1 ใน 12 คน ที่เข้ารอบสัมภาษณ์ โดยจะคัดให้เหลือ 7 คน เพื่อบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งนายทหารฝ่ายแผน ของกรมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ สหประชาชาติ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งผลจะออกมาอย่างไรก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าไม่รู้ไปเรื่อย คงหมายความว่าไปหาอย่างอื่นทำไปก่อนน่าจะดีกว่านอนฝันกลางวันไปเรื่อย ๆ นะครับ
-------------------------------- 

พ,ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

ทหารไทยกับสหประชาชาติ ตอนที่ 1 แค่คิดว่าจะสมัครก็เป็นไปไม่ได้แล้ว (ทหารดอทคอม 10 มิ.ย.44)


        ในช่วงตั้งแต่ ต้นเดือนที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นช่วงที่ผมมีความรู้สึกที่บอกได้ยากว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากเป็นความรู้สึกที่มีความสุขลึก ๆ แล้วก็มีความเครียดอย่างสูงพอสมควร เนื่องจากผมได้รับการติดต่อสัมภาษณ์ข้ามทวีปจาก กรมปฏิบัติการสันติภาพ สหประชาชาติ ซึ่งที่ผ่านมานั้นผมได้ทำใจไปเรียบร้อยแล้วว่าคงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานที่หน่วยปัจจุบันให้ดีที่สุดหลังจากที่ได้สมัครแล้วก็ผ่านการสอบภาษาอังกฤษไปตั้งแต่เดือน มีนาคม ที่ผ่านมา เพราะว่าในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น แม้ว่าผมเองจะยังคงมีความหวังลึก ๆ ว่าจะมีโอกาสไปทำงานที่สหประชาชาติ นิวยอร์ก แต่ข่าวคราวที่เงียบหายไปโดยงานในหน้าที่ที่เข้ามาได้ตลอดเวลาทำให้ผมเองก็ลืมการสมัครไปทำงานไปได้เหมือนกัน แล้วก็ยังมีข่าวที่ทำให้ต้องทำใจก็คือ ข่าวการสมัครของคนที่มีเส้นมีสายในสหประชาชาติ หรือการที่เพื่อนบอกว่าสหประชาชาติเขามีอัตราส่วนของภูมิภาคต่าง ๆ ในการทำงานแล้วก็ตราบใดที่ยังมีคนไทยทำงานอยู่นั้นโอกาสที่คนใหม่จะเข้าไปคงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามผมเองก็ยังมีความหวังเล็ก ๆ อยู่ในใจเสมอ วิธีการที่ผมทำก็คือ การ ที่ผมนำเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ผมให้เบอร์กับสหประชาชาติในตอนสมัคร เพราะเคยทราบมาว่าถ้าเขาจะคัดเลือกใครเขาจะโทรศัพท์มาสัมภาษณ์แทนการเชิญไปสัมภาษณ์เพราะไม่คุ้มกับการเดินทาง ดังนั้นไม่ว่าจะไปไหนผมก็จะพยายามเอาโทรศัพท์ติดตัวไว้เกือบตลอดเวลาไม่ว่าจะเข้านอนหรือเวลาทำงาน แล้วก็เวลาที่จำเป็นต้องทิ้งโทรศัพท์ไว้ เมื่อไรที่ผมกลับมาที่โทรศัพท์ ผมก็จะดูที่หน้าจอโทรศัพท์ก่อนทำอย่างอื่นว่ามีเบอร์แปลก ๆ โทรมาหรือไม่

            เวลาผ่านไปสองเดือนเต็ม ๆ ที่ผมเฝ้าคอย และแล้ววันนั้นวันที่ผมคงต้องจดจำอีกวันหนึ่งของชีวิตก็มาถึง วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2544 ตอนเย็นหลังจากเลิกงานประจำผมก็ขับรถไปรับลูกและภรรยาตามปกติ โดยอาทิตย์นั้นผมเดินทางกลับไปบ้านแม่ที่ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ถึงที่บ้านประมาณ สามทุ่มอาบน้ำอาบท่ากินข้าวมื้อมืดเสร็จก็เข้านอนโดยผมเองก็นอนอยู่ปลายเท้าของแม่เหมือนกับตอนที่ผมเล็ก ๆ แต่แตกต่างกันตรงที่ว่าตอนนี้มีคนมานอนเพิ่มในห้องนอนแม่ผมด้วยคือ ภรรยาและลูกผมอีกสองคน ปกติแล้วเวลากลับมาบ้านผมจะนอนเร็วกว่าปกติคือประมาณสามสี่ทุ่ม ซึ่งก่อนจะนอนก็มีน้องที่เคยคุยกันทาง ไอซีคิวโทรมาหาซึ่งผมเองก็บอกว่าเอาไว้คุยกันวันหลังก็แล้วกันเพราะไม่สะดวกคุย หลังจากนั้นก็เข้านอนจนหลับไป แล้วก็มาสะดุ้งตื่นอีกครั้งหนึ่งตอนประมาณ เที่ยงคืนเกือบครึ่ง เนื่องจากมีเสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังเรียกขึ้นมาข้างหู ผมเอื้อมมือหยิบขึ้นดูด้วยความงัวเงีย แล้วก็เห็นเบอร์ของน้องที่โทรมาตอนสามทุ่มโชว์ที่หน้าจอโทรศัพท์ ผมก็เลยกดปุ่มไม่รับโทรศัพท์ แล้วก็นอนต่อ ก็ไม่ทันได้หลับก็มีเสียงโทรเข้ามาอีกผมหยิบมาดูด้วยความรู้สึกที่เริ่มหงุดหงิดแต่ก็ไม่อยากเสียมารยาทบ่อยก็เลยกดรับ แล้วก็ต้องลุกพรวดขึ้นมาจากท่าที่นอนอยู่ หลังจากเสียงที่โทรมาพูดภาษาฝรั่งแล้วก็จับใจความได้ว่า เขาโทรมาจากสหประชาชาติที่ สหรัฐอเมริกา


            ความรู้สึกของผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ผมเดินออกมาจากห้องมาที่กลางบ้านเสียงของผมเริ่มดังขึ้นด้วยอารามดีใจ พร้อมกับรู้สึกว่ากล้ามเนื้อตามร่างกายเริ่มสั่นแต่ก็ยังควบคุมเอาไว้ได้ ผู้หญิงที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่โทรมาก็ขอโทษยกใหญ่หลังจากที่ทราบว่าปลุกผมขึ้นมา ซึ่งผมก็บอกว่าอย่าได้คิดแบบนั้นการโทรมาครั้งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขเป็นอย่างมากดังนั้นจึงอย่าได้เกรงใจ จากนั้นเขาก็ได้นัดแนะวันเวลาในการให้สัมภาษณ์ในวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน ที่จะถึง เวลา สิบโมงเช้า ซึ่งผมเองก็สอบถามเขาให้มั่นใจว่าเวลาของเขานั้นตรงกับเวลา สามทุ่มของประเทศไทย เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด การคุยใช้เวลาประมาณห้านาทีก็เรียบร้อย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนั้นก็คือการนึกถึงคำทำนายของรุ่นพี่ที่เป็นนายทหารฝ่ายการข่าวที่ติมอร์ เมื่อปีที่แล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม แล้วก็เดือน กรกฎาคม แวบเข้ามาในสมอง เพราะพี่เขาเคยเอาวันเดือนปีเกิดที่ผมแทบจะไม่เคยเอาไปให้ใครดูมาก่อน มาคำนวณดูดวงชะตาของผมซึ่งพี่เขาเคยทำนายเอาไว้ว่า ในปีหน้า (ก็คือปีนี้นั่นแหละ) ดวงชะตาจะดีขึ้นมาก แต่ไม่รู้ว่าดียังไงเพราะตัวเลขที่เอาไปคำนวณนั้นพี่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากคนอื่น เนื่องจากของคนอื่นนั้นตัวเลขจะกระจายลงในช่องต่าง ๆ ที่แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ในวงกลมที่ท่านอาจจะเคยเห็นเป็นรูปวงกลมแล้วแบ่งออกเป็นช่อง ๆ เขาทายต่อไปอีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปีหน้านั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันข้องกับบางสิ่งบางอย่างที่มีเครือข่ายโยงใยซับซ้อนเป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือการเกี่ยวข้องดังกล่าวจะทำให้ได้เงินมาเป็นจำนวนมากจนเรียกได้ว่ารวยทีเดียว ซึ่งผมเองนั้นพื้นฐานเดิมไม่เชื่ออยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้ขัดคออะไร แล้วก็บอกว่าเรื่องที่จะเกี่ยวข้องกับเครือข่ายโยงใยซับซ้อนนั้น ที่นึกได้คงมีเพียงการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต หรือที่ผมทำโฮมเพจอยู่ แต่ไอ้เรื่องที่จะทำให้รวยนั้นยังมองไม่ออกเพราะที่ผ่านมามีแต่เสียเงินทั้งนั้น ไม่มีได้เงินเลย แถมยังมีคนหมั่นไส้ในบางครั้งอีกด้วย ส่วนเรื่องที่กลับมาประเทศไทยแล้วจะมีคนเชิญไปเป็นผู้พันนั้นก็ไม่มีวี่แววเลยว่าจะเป็นไปได้แล้วผมก็ลืมเรื่องดังกล่าวไปอย่างสนิท

            จนคืนที่ผมได้รับโทรศัพท์นี่แหละทำให้ผมนึกถึงพี่คนนี้มาเป็นอย่างแรกว่าเอ มันเข้าไปใกล้มากที่เดียวนะกับคำทำนายเมื่อปีที่แล้วหัวใจผมเริ่มพองโตและอิ่มเอิบแม้ว่ายังไม่ได้มีอะไรทำให้มั่นใจได้ว่าคำทำนายจะเป็นจริงหรือผมจะได้รับการคัดเลือกไปทำงานที่สหประชาชาติ ผมเองตกอยู่ในห้วงของการตื่นตัวอีกครั้งแม้ว่าจะใกล้ตีหนึ่งแล้วแต่ตาผมมิได้แสดงอาการง่วงอีกเลย ตาผมยังลืมอยู่ในความมืด สมองคิดถึงเรื่องการให้สัมภาษณ์และการทำงานกับสหประชาชาติที่ผมอาจจะได้มีโอกาสในอนาคต ภรรยาผมตื่นขึ้นมาเดินผ่านผมไปด้วยความงง ๆ ผสมกับความหงุดหงิดที่คงนึกว่าผมโทรศัพท์หาใครดึก ๆ แล้วไม่ยอมเข้านอน ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้นอนได้สักพักก็ลุกขึ้นมาหาปากกากับกระดาษ ผมต้องจดเอาไว้ก่อนเพื่อเอาไว้ดูในวันพรุ่งนี้เพื่อเป็นการยืนยันว่าผมเองไม่ได้ฝันไป เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ที่ผมมักจะฝันอยู่เรื่อย ๆ โดยที่ตอนฝันผมมันจะแยกไม่ได้ว่าเป็นความฝัน ผมจดเอาไว้ว่า ผมไม่ได้ฝันไปจริง ๆ วันที่นัดการให้สัมภาษณ์คือวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน เวลาสามทุ่ม ในช่วงนี้ผมเองก็มีความลังเลขึ้นมาว่า เอจะมีใครแกล้งอำเราหรือเปล่าหนอ เพราะหมายเลขโทรศัพท์ก็เป็นหมายเลขของโทรศัพท์มือถือของไทยเอง แต่ก็ช่างมันเถอะถ้าจะมีคนมาอำก็ไม่รู้จะทำยังไง หลังจากนั้นผมก็นึกถึงเรื่องการให้สัมภาษณ์ การเตรียมตัวต่าง ๆ ว่าจะทำยังไง เพราะมีเวลาอีกสามวันเต็ม ๆ ทำอย่างไรจะให้การให้สัมภาษณ์ตอบได้ดีที่สุด จนเกือบตีสองผมจึงได้เข้านอนอีกครั้ง


            สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนหลับก็คือการที่ผมเองฝันว่าผมได้ให้เขาสัมภาษณ์แล้ว และผลที่ออกมาไม่ผ่าน ในความฝันก็รู้สึกใจหาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ประมาณตีห้าผมก็รู้สึกตัวแต่ก็ดีใจที่รู้ว่าฝันไปในการให้สัมภาษณ์ แต่ที่รู้สึกระทึกก็คือผมฝันว่ามีคนโทรศัพท์มาเมื่อคืนหรือว่าเป็นเรื่องจริง ผมรีบไปค้นแฟ้มที่ผมจำได้ว่าจดข้อความไว้เมื่อตอนรับโทรศัพท์ผมค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยตรงที่ผมเจอเอกสารที่ผมเขียนไว้ ผมไม่ได้ฝันไปจริง ๆ จากนั้นผมก็ออกไปวิ่ง วันนั้นทั้งวันผมก็มานั่งคิดถึงคราวที่ผมให้สัมภาษณ์เรื่องการทำงานที่ติมอร์ออกทีวีและวิทยุ ว่าเราจะต้องคิดว่าเขาน่าจะถามอะไรและเตรียมคำตอบเอาไว้ก่อนเพราะถ้าเขาถามตอนนั้นแล้วตอบ คำตอบจะออกมาไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรเหมือนกับการที่เราจะเป็นครูสอนหนังสือแล้วไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไรแบบนั้น แต่ผมเองก็คิดไม่ออกเท่าไรนัก วันอาทิตย์ผมเลยบอกแม่ว่าขอกลับเร็วกว่าปกติหน่อยเพราะมีงานสำคัญรออยู่ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็แปลกดีที่อยู่ดีก็ถามว่าเรื่องที่สมัครไปทำงานกับฝรั่งที่เคยเล่าให้ฟังนานแล้วเป็นยังไงบ้าง ผมก็เลยเล่าให้ฟังเรื่องที่เขาโทรมานัดสัมภาษณ์ ซึ่งแม่ก็เห็นดีด้วยที่จะให้ผมไปถ้าเขาเรียกตัว ทำให้ผมรักแม่เพิ่มขึ้นมาอีก แม่ผมอายุ 74 ปีเท่ากับพ่อ แล้วก็อยู่กันสองคน ซึ่งยังคงทำงานเหมือนกับตอนที่ผมเป็นเด็ก ๆ แม่มักจะส่งเสริมให้ลูก ๆ ได้เจริญก้าวหน้าโดยที่ไม่เคยห่วงตนเอง พ่อกับแม่มักจะพูดเสมอว่าคนเราเมื่อถึงคราว ก็แสดงว่าเป็นกรรมที่ทำมา ลูก ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมเองได้ไปติมอร์มาเมื่อปีก่อนแล้วก็เคยคิดว่าไม่อยากอยู่ห่างพ่อแม่นาน ๆ แบบนั้นอีก แต่ถ้าครั้งนี้ได้ไปล่ะ เวลาและระยะทางมากกว่าที่เคยห่างทุกครั้งแน่ แต่ผมก็กลับมาคิดว่าเอาไว้ก่อนแล้วกันเพราะยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเอาหรือเปล่าแล้วก็ภรรยาพร้อมลูกอีกสองคน ในท้องอีกหนึ่งคนจะทำยังไงก็ไม่รู้

        วันอาทิตย์หลังจากที่ผมกลับมาที่บ้านที่บางเขน สิ่งที่ต้องรีบทำก็คือการค้นหาข้อมูลของกรมปฏิบัติการสันติภาพแล้วก็สหประชาชาติเผื่อในวันสัมภาษณ์เขาอาจจะถาม ก็ได้ข้อมูลมาสี่สิบกว่าหน้า จากนั้นก็มาติดต่อเพื่อน ๆ ที่มีความคุ้นเคยกับฝรั่งเพื่อสอบถามคำแนะนำต่าง ๆ แต่ก็เหมือนแกล้งติดต่อใครไม่ได้เลยสักคนเดียว ทำอะไรไม่ได้ก็เลยกลับมานั่งเขียนว่าจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ในเมื่อไม่สามารถติดต่อใครได้ คืนนี้ก็นอนดึกหน่อยแล้วก็ตื่นเช้า วันจันทร์นี้เป็นวันที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำงานในหน้าที่เลยถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ซึ่งก็คือหน้าที่ในการเข้าเวรซึ่งตอนแรกคิดว่าจะเปลี่ยนแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนเวร ซึ่งปรากฏว่าเป็นผลดีเพราะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาทางธุรการอย่างอื่นในการเดินทางกลับบ้าน เพราะเมื่อถึงเวลาเย็นก็เลิกงานตามเวลา สี่โมงครึ่งแล้วก็ขึ้นมาที่ห้องเวรเลย อ้อตอนเช้าที่มาถึงที่ทำงานเจอน้องที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกด้วยกันก็ถามเขาว่าได้รับโทรศัพท์นัดสัมภาษณ์หรือยัง ซึ่งเขาบอกว่ายังผมก็เลยบอกว่าเขาโทรมาหาแล้วนะ ให้คอยเฝ้าโทรศัพท์ที่ให้เขาไปด้วย สำหรับคนอื่น ๆ ก็ยังไม่ได้บอกเพราะใจก็ยังกลัวหน้าแตกจากการไม่ผ่านการสัมภาษณ์ ช่วงเวลากลางวันก็เกือบไม่ได้ทำงานเลย เพราะเตรียมคำตอบที่เก็งว่าเขาจะถามแล้วก็อ่านข้อมูลที่ส่งให้เขาและข้อมูลที่เอามาจากอินเทอร์เน็ต พอตอนเย็นก็มาซ้อมพูดภาษาอังกฤษตามที่เพื่อนที่พึ่งติดต่อได้แนะนำอยู่คนเดียวในห้องเวรเกือบสองชั่วโมง พอเวลาประมาณหนึ่งทุ่มก็รีบทำงานของหน้าที่เวรคือการสรุปข่าวประจำวัน ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่ไม่มีอะไรยุ่งยากมากนักประมาณ สองทุ่มก็สรุปเสร็จ แล้วก็อาบน้ำเข้าส้วม ทำตัวให้สบาย จัดโต๊ะเตรียมเอกสารที่จะตอบ เตรียมโทรศัพท์มือถือพร้อมแฮนด์ฟรี เพื่อให้สะดวกในการโทรเพราะมือจะได้ว่างในการจดบันทึก


                ที่สำคัญก็คือ การวานให้นายสิบช่วยรับโทรศัพท์แล้วก็รับหน้าเวลามีใครมาหา โดยห้ามเข้าโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นใคร เสร็จธุระเมื่อไรจะออกมาเอง ซึ่งเขาก็งง ๆ ว่าจะทำอะไรปานนั้น เมื่อเวลาสามทุ่มมาถึง เสียงโทรศัพท์เรียกก็ดังขึ้น เบอร์โทรที่โชว์ยังคงเป็นเบอร์ในประเทศไทย เพียงแต่ว่าเหมือนเบอร์สุดท้ายที่โทรเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก รีบรับก็ได้ยันเสียงของผู้หญิงฝรั่งคนเดิมที่โทรมานัด เมื่อทราบว่าเป็นผมเขาก็ส่งต่อให้กับคณะผู้สัมภาษณ์ ซึ่งหัวหน้าคณะเป็นพันเอก ของส่วนแผน ของกรมปฏิบัติการสันติภาพ สหประชาชาติ ชื่อ ฟิลิปป์ ซึ่งเขาได้แนะนำตัวพร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าคนที่มาฟังการสัมภาษณ์มีอยู่หลายคน จากนั้นก็เริ่มให้สัมภาษณ์ด้วยการถามคำถาม ซึ่งเท่าที่ผมจำได้ ผมก็เอามาลงไว้เผื่อจะมีประโยชน์บ้าง กับบางคนในอนาคต ซึ่งผมบันทึกการตอบของผมไปด้วยนะครับ แต่ก็ขอยกเอาไว้เขียนให้อ่านกันตอนหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ขอลุ้นการประกาศผลประมาณเดือนสิงหาคมก่อนนะครับ ว่าผมจะสมหวังหรือต้องกินแห้วเหมือนกับที่เคยกินบ่อย ๆ คอยติดตามตอนต่อไปนะครับ
-------------------------------- 

พ,ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

01 กุมภาพันธ์ 2566

ทหารไทยกับการฝึกพื้นฐานที่โรงเรียนทหารราบ Fort Benning (ทหารดอทคอม)


        “พ่อครับ แม่ครับ อ้วนสอบได้ไปอเมริกาแล้ว” ประโยคนี้เป็นคำพูดของผม คนที่พ่อแม่และผู้คนแถวบ้านเกิดเรียกว่าอ้วนซึ่งได้บอกกับบุคคลที่ผมรักมากที่สุดในโลก และต้องการให้เป็นคนแรกที่รับรู้จากปากผมเมื่อต้นเดือน ตุลาคม 2529 หลังจาก ศูนย์การทหารราบ ประกาศผลสอบผ่านวิชาเหล่า ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายในการคัดเลือกบุคคลไปเข้ารับการฝึกศึกษาที่ โรงเรียนทหารราบสหรัฐ ในหลักสูตรนายทหารราบเบื้องต้น ตามโครงการ IMET ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ หลังจากที่ผมได้ทุ่มเทเวลาในการอ่านและฟังภาษาอังกฤษมาเป็นเวลาแรมเดือนแม้แต่ขณะเข้าห้องน้ำ เพื่อให้ผ่านในรอบแรก และใช้เวลาอีก 7 วัน 7 คืน ในการอ่านวิชาเหล่าที่ผมไม่เคยเรียนมาก่อน โดยเฉพาะคืนสุดท้ายที่ผมอ่านหนังสือจนถึงเช้าก่อนที่จะทำการสอบ การประกาศผลในตอนบ่ายวันนั้นมิได้ทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเท่านั้นแต่ยังทำให้ผมอิ่มเอิบดีใจจนสุดที่จะบรรยาย ถึงความภาคภูมิใจที่สามารถชิงทุนเพื่อไปฝึกศึกษาที่สหรัฐ ประเทศที่ผมใฝ่ฝันมานานแล้ว

            การไปเรียนต่อต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐหรือประเทศแถบยุโรปนั้น ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คน หากโอกาสอำนวยก็อยากไปมีประสบการณ์ที่ต่างประเทศในลักษณะนี้สักครั้ง หรือถ้าวันเวลาและวัยล่วงเลยมามากแล้ว ก็อาจจะอยากให้บุตรหลานได้มีโอกาสไปสัมผัสเพื่ออย่างน้อยก็เป็นการเรียนรู้และเปิดมุมมองโลกทัศน์ให้กว้างและลึกมากกว่าการไปทัศนศึกษาทั่วไป

         สำหรับผมเองในสมัยเป็นนักเรียนนายร้อยปี 1 โรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนที่เรียนดีในปีแรกรับทุนไปเรียนต่อเป็นนักเรียนนายร้อยต่างประเทศประมาณปีละ 6-7 ทุน ซึ่งผมเองในตอนนั้นก็แอบฝันอยู่เงียบ ๆ ที่จะได้เป็น 1 ในกลุ่มนั้นเหมือนกัน แต่ทำไม่สำเร็จเนื่องจากตอนสอบในแต่ละครั้งมักมีภารกิจเร่งด่วนในการเข้าเวรโทษ และหากมีเวลาก่อนและหลังออกจากยืนเวรโทษแล้วก็ต้องไปเดินสายทัวร์ตามกองร้อยต่าง ๆ เพื่อฝึกความอดทนทางร่างกายและจิตใจเป็นพิเศษ เลยไม่มีเวลามากนักสำหรับการอ่านหนังสือ แล้วก็ลืมไปเลยจนจบการศึกษาติดยศร้อยตรีมาทำงาน

    อย่างไรก็ตาม หลังจากจบมาเป็นผู้หมวดทหารราบได้สักปีหนึ่ง ก็มีนายทหารรุ่นพี่ที่ไปเรียนหลักสูตรนายทหารราบเบื้องต้น (Infantry Officer Basic Course: IOBC - กองทัพบกเรียกว่าชั้นนายร้อย) จากโรงเรียนทหารราบ ฟอร์ทเบนนิ่ง โคลัมบัส มลรัฐจอร์เจียร์ ประเทศสหรัฐ จบกลับมาทำงานที่กองร้อยเดียวกันและทำหน้าที่เป็นนายทหารพี่เลี้ยงของผมไปด้วย ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ ประกอบกับนายทหารพี่เลี้ยงส่งเสริมแนะแนวทาง ทำให้เกิดความมุมานะจนสอบได้หลักสูตรเดียวกันกับนายทหารพี่เลี้ยง และเดินทางไปเรียนเป็นรุ่น IOBC 4-88 ระหว่าง 1 กุมภาพันธ์ - 27 พฤษภาคม 2531
    การเข้ารับการศึกษาหรือที่ถูกน่าจะเรียกว่าการฝึกหลักสูตรชั้นนายทหารราบเบื้องต้นของสหรัฐนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอกับสิ่งที่แตกต่างออกไปจากจินตนาการที่ผมเคยวาดจากการบอกเล่าของนายทหารพี่เลี้ยงมาก่อนเป็นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ผมเดินทางไปถึงฟอร์ทเบนนิ่ง สิ่งแรกที่สร้างความประหลาดใจหรือจะเรียกว่าช็อกให้กับผมก็ว่าได้ คือ พูดกับคนและเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐไม่รู้เรื่อง แม้ว่าตอนเป็นนักเรียนตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาตรีจะได้เกรดเอ ภาษาอังกฤษแทบทุกครั้ง เมื่อถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับ แต่มาสัปหงกตอนกลางวัน อาหารการกินก็ไม่อร่อย อากาศก็หนาวมากแบบไม่เคยเจอมาก่อน เสื้อผ้าที่เตรียมมาใช้ป้องกันความหนาวไม่ได้ เสื้อกันหนาวที่เหมาะสมต้องซื้อใหม่ในพีเอ็กซ์ของค่ายก็ราคาแสนแพงจนรับไม่ได้ ดังนั้น เวลาออกฝึกภาคสนามไปนอนในป่าเขาห้ามจุดไฟ ต้องขุดหลุมเอาผ้ากันฝนปิดปากหลุมยังเอาไม่อยู่เลยต้องหาถุงพลาสติกใหญ่ ๆ มาตัดช่องหัวและแขนเป็นเสื้อใส่ไว้รองในชุดฝึก

    เพื่อนที่เรียนด้วยกันเป็นนายทหารเหล่าทหารราบของสหรัฐพึ่งประดับยศร้อยตรี ทั้งรุ่นหรือกองร้อยมีประมาณ 150 นาย มาจากทหารประจำการที่ทำงานทหารเต็มเวลาและเนชันแนลการ์ดที่ทำงานทหารอาทิตย์ละ 2 วัน รวมทั้ง รด.และกองหนุนจำนวนหนึ่ง ในส่วนเป็นนายทหารต่างชาติหรือเรียกว่านักเรียนชาติพันธมิตรแบบผม ส่วนใหญ่มาจากประเทศในแถบเอเซียและอัฟริกาอีกประมาณ 8-9 นาย

    การเรียนจะแบ่งออกเป็นภาควิชาการและภาคสนามสลับกันที่ละอาทิตย์ โดยภาควิชาการจะเรียนที่อาคารหมายเลข 4 หรือ Building 4 ซึ่งเป็นอาคารใหญ่ที่สุดในค่าย อาคารดังกล่าวใช้ชื่อเป็นตัวเลขแทนการนำเอาชื่อคนมาตั้ง และมีสิ่งน่าแปลกใจก็คือ สัญลักษณ์ทหารราบที่เป็นรูปปั้นหน้าอาคารขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "Follow Me" นั้น ปั้นมาจากต้นแบบที่เป็นนายทหารประทวนยศจ่าสิบเอก และผู้ปั้นก็เป็นพลทหารสองคน ส่วนอาคารที่พักของนายทหารโสดที่มีการจัดการแบบโรงแรมเป็นอาคารโบราณรูปตัวยูสูงสามชั้นมีประมาณร้อยกว่าห้องซึ่งผมและพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ไปเรียนหลักสูตรอื่นพักกัน มีชื่อว่า Olson Hall โดยนำชื่อมาจากพลทหาร Olson ที่เสียชีวิตจากการสู้รบอย่างกล้าหาญในสงครามโลกมาตั้งเป็นชื่ออาคาร

        การเรียนหลักสูตรนี้ทุกเช้าต้องออกกำลังกายหรือที่เรียกว่าเล่น PT ตั้งแต่ตีห้า ผมตื่นมาประมาณตีสี่ครึ่ง เสียบหม้อหุงข้าวไฟฟ้าทิ้งไว้ แล้วลงไปออกกำลังกายจนเจ็ดโมงเช้าก่อนกลับมารีบกินข้าว แต่งตัว แบกรักแซ็กวิ่งจากอาคารที่พักไปเรียนที่อาคาร 4 ที่ห่างประมาณ 1 กม. ทำแบบนี้แทบทุกวัน แม้ว่าฝนจะตกหรือจะออกไปฝึกภาคสนามในป่าก็ยังปลุกมาออกกำลังกายเหมือนกับปกติ

    ระบบการออกกำลังกายไม่เสียสตังค์แบบนี้ทำให้ก่อนจบการศึกษาซึ่งจะมีการทดสอบร่างกายและการวิ่ง ทำให้ผมในตอนนั้นนับได้ว่าเป็นช่วงที่ร่างกายมีความแข็งแรงสูงสุดในชีวิต โดยยึดพื้น(ท่ามาตรฐาน)ได้ 80 ครั้ง ใน 2 นาที ซิทอัพหรือลุกนั่งได้ 70 กว่าครั้งใน 2 นาที และวิ่ง 2 ไมล์ (3.2 กม.) ใช้เวลา 11 นาที วิ่ง 5 ไมล์ (8 กม.) ในเวลา 34 นาที ซึ่งหลังจากนั้นมาในชีวิตที่เหลือก็ไม่เคยทำได้แบบนั้นอีกเลย 
        
        การเรียนการสอนภาคทฤษฏีมีบ้างพอสมควรโดยเรียนกันในอาคารหมายเลข 4 การสอบข้อเขียนของนายทหารนักเรียนมีไม่มากนัก แต่เวลาสอบการจัดห้องสอบไม่แตกต่างจากนั่งตอนเรียน ใครทำไม่ได้คือทำไม่ได้ ไม่มีการลอกหรือให้ความช่วยเหลือระหว่างการสอบ ตกก็สอบใหม่ หากสอบไม่ผ่านรอบสองก็อาจต้องออกจากการเป็นทหารไป

    การฝึกภาคสนามมีความจริงจังมาก การฝึกภาคเดินเท้านายทหารนักเรียนทุกคนนอกเหนือจากการนำอาวุธ หมวกเหล็ก สายเก่ง กระติกน้ำสองใบ ติดตัวตลอดเวลาแล้ว ก็ต้องแบกรักแซกที่มีสิ่งอุปกรณ์และอาหารติดตัวไปแต่ละครั้งน้ำหนักที่อยู่บนหลังประมาณ 15 - 20 กิโลกรัม (แบบในรูปทางซ้าย) โดยจะมีอาหารสำเร็จอยู่ได้ 3 วัน กล้องส่องเวลากลางคืน ชุดป้องกันเคมี ชีวะ ผ้าปานโจ เสื้อผ้าสำรอง พลั่วสนาม ชุดยิงจรวดต่อสู้รถถัง รวมทั้งสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ โดยสิ่งอุปกรณ์นี้สร้างมาให้ฝรั่งแบกโดยเฉพาะโดยไม่มีขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ให้เลือก ซึ่งทหารไทยตัวเล็ก ๆ แบบผมก็ต้องพลอยแบกแบบเดียวกันไปด้วยโดยได้แต่ทำตาปริบ ๆ

    เมื่อฝึกพื้นฐานของทหารราบเดินเท้าหรือทหารราบยานเกราะในแต่ละห้วงจบแล้ว นายทหารควบคุมการฝึกจะแบ่งนักเรียนออกเป็นสองฝ่ายเพื่อจำลองการรบกัน ในบางการฝึกย่อย เช่น ฝึกการรบในเมือง โรงเรียนจะสร้างเมืองจำลองที่เป็นอาคารจำลองมาจากเมืองในเยอรมันนับสิบอาคารให้นายทหารนักเรียนฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายตั้งรับป้องกันเมืองไว้ และอีกฝ่ายหนึ่งวางแผนเข้าตีเพื่อยึดเมือง โดยเป็นการรบแบบการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศ ฝ่ายบุกโดยมีผมเป็นทีมอยู่ด้วยจะขึ้น เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอล์คมาส่งลงใกล้ ๆ เมือง แล้วเคลื่อนที่เข้าตียึดเมืองจากเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง รูปแบบเดียวกับที่หน่วยรบพิเศษสหรัฐบุกข้ามประเทศเข้าไปสังหารบิน ลาเดนเมื่อปีที่ผ่านมายังไงยังงั้นเลย

    สำหรับอาวุธที่ใช้ในการฝึกจะเป็น ปืนเล็กยาวเอ็ม 16 ติดตั้งเครื่องมือเลเซอร์ เมื่อยิงแล้วจะเป็นแสงเลเซอร์ที่มองไม่เห็นไปยังเป้าหมาย หากยิงไปยังเพื่อนที่เป็นข้าศึกสมมุติและที่ตัวเพื่อนมีเครื่องรับแสงเลเซอร์ ก็จะมีเสียงร้องออกมา ตามระดับการบาดเจ็บหรือยิงถูกอย่างจังหรือยิงถูกแบบเฉียด ๆ การฝึกในทำนองนี้เป็นการฝึกที่เรียกว่า "รบอย่างไร ฝึกแบบนั้น" ซึ่งเป็นการลงทุนที่สูงมากเอาการ แต่เมื่อมาเปรียบกับการสูญเสียชีวิตทหารจากการฝึกมาน้อย/ประหยัดงบประมาณหรือฝึกไม่ถูกกับสถานการณ์ตามความเป็นจริงแล้ว การลงทุนแบบนี้น่าจะคุ้มเกินคุ้มต่อการลงทุน

    ในส่วนของสังคมกับเพื่อนนายทหารอเมริกัน ทางนายทหารปกครองจะให้เพื่อนในรุ่นสมัครเป็น Sponsor ให้กับนักเรียนชาติพันธมิตร โดยเป็นอาสาสมัครหรือทำด้วยใจไม่มีอะไรตอบแทน โดยผมมีสปอนเซอร์ชื่อ ร้อยตรีFisher คนนี้เคยมาอยู่กับพ่อที่ประเทศไทยตอนเด็ก ๆ กับ ร้อยตรีKuntz ซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักประเทศไทยเลยแต่เป็นผู้ที่มีน้ำใจมากจริง ๆ ซึ่งทำให้ผมได้เข้าไปสัมผัสชีวิตครอบครัวของคนอเมริกันเพิ่มเติมอยู่บ้าง

        สำหรับการจัดงานสังสรรค์หรือปาร์ตี้ในวันหยุดนอกเหนือจากการมายืนถอดเสื้อตากแดดปิ้งบาร์บีคิวแกล้มเบียร์หน้าตึกออลสันฮอลก็มีอยู่บ้าง โดยจะมีเพื่อนที่ชอบเฮฮาริเริ่ม ส่วนใหญ่จะเป็นนายทหารที่เช่าบ้านพักอยู่นอกค่าย แล้วก็แจ้งให้เพื่อนทราบกำหนดการ คนไหนสนใจไปก็สอบถามรายละเอียด แล้วหิ้วของกินของใช้ไปสมทบ เช่น เบียร์ ขนมขบเคี้ยว แก้ว กระดาษ เป็นต้น ส่วนคนที่ไม่รู้จะซื้ออะไรเช่นผมที่มักจะไปกับสปอนเซอร์ เมื่อไปถึงก็เอาเงินประมาณ 3 - 5 เหรียญใส่ลงไปในขันรับบริจาคหน้างาน ก็ทำให้เข้าสังคมกับพวกเขาหรือยืนซดเบียร์กระป๋องได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

        ส่วนชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านสังคมกับพลเรือนที่ไม่อาจข้ามไปได้ ก็คือ Mr. Valentine (เคยเป็นนายทหารสหรัฐมารบเวียดนามและคุ้นเคยกับคนไทยเป็นอย่างดี ในปี 2531 น่าจะอายุอย่างน้อย 70 ปีแล้ว) และครอบครัว รวมทั้งป้า ๆ ชาวสหรัฐ แล้วก็พี่ ๆ ชาวไทย เท่าที่จำได้คือ พี่โสภีที่อยู่ในค่ายเบนนิ่งและเมืองโคลัมบัสจนเป็นชาวสหรัฐไปแล้ว ซึ่งมีน้ำใจและแสนจะใจดี มักมาเชิญพวกเรานายทหารที่พลัดถิ่นไปเที่ยวชมสังคมของคนสหรัฐอยู่เป็นประจำ และทำอาหารไทยให้พวกเรากิน หลังจากที่พวกเรามักเดินผ่านร้านอาหารไทยในเมืองโคลัมบัสโดยที่ยอมอดไม่ยอมกินกันจนกลับประเทศไทย 
        การติดต่อกลับมาประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นการเขียนจดหมาย เพราะค่าโทรศัพท์แพงมาก โทรแบบหยอดเหรียญอย่างต่ำต้อง 3 นาที ๆ ละ 3 เหรียญ แต่เสียงชัดมาก ผมโทรกลับมาบ้านบอกแม่ว่าเดินทางถึงแล้ว แม่ผมยังทำเสียงแบบงง ๆ ว่าจริงหรือเปล่า ทำไมเสียงมันชัดจัง ในส่วนของจดหมายนั้นเขียนกับเป็นเล่ม ๆ บรรยายเรื่องราวที่ได้เจอแบบด้านบนที่ท่านอ่านมานี้แหละให้แฟนที่ไทยได้อ่านฉบับหนึ่งหลายหน้า เวลาผ่านไปยี่สิบปีทราบว่าเขายังเก็บไว้อยู่
            
        อ้อ เกือบลืมไป การเรียนในหลักสูตรทำนองนี้ ผู้เข้าเรียนไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น โดยทางกองทัพบกไทยจะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินและเบี้ยเลี้ยงอีกวันละประมาณ 275 บาท พร้อมเงินเดือนร้อยโท ปี 31 ประมาณเดือนละ 3,600 บาท ส่วนกองทัพสหรัฐออกค่าเล่าเรียนทั้งหมดและเบี้ยเลี้ยงวันละ 10 เหรียญ (เหรียญละ 26 บาท) หักค่าที่พักแล้วเหลือวันละ 3 เหรียญ ก่อนกลับผมซื้อของใช้ของฝากมาจำนวนหนึ่งก็ยังมีเงินเหลือสามสี่หมื่นบาทเลยทีเดียว
            การเรียนและฝึกหลักสูตรนี้ นายทหารจากประเทศไทยที่สอบคัดเลือกได้ ส่วนใหญ่แม้ว่าจะพูดกับเขาไม่ค่อยจะรู้เรื่องแต่ก็จะมีความพร้อมและเตรียมตัวกันมาดีมากกว่านายทหารชาติอื่น ๆ จึงทำให้ได้คะแนนรวมในภาคทฤษฏี การปฏิบัติ การทดสอบร่างกาย สูงกว่านักเรียนพันธมิตรชาติอื่น ดังนั้น เมื่อจบการศึกษาแล้วมักจะได้รับรางวัล Allied Distinguished Leadership Graduate ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในกลุ่มของนักเรียนชาติพันธมิตรกันอยู่เสมอ โดยเป็นใบประกาศพิเศษที่เขียนชมเชยได้อย่างซาบซึ้งและตุ๊กตาสัมฤทธิ์ Follow Me จำลองมาเป็นที่ระลึก 1 ตัว ซึ่งผมเองก็ได้รับรางวัลนี้มาประดับบ้านกับเขาด้วยเหมือนกัน
-------------------------------- 
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ