02 กุมภาพันธ์ 2566

ทหารไทยกับสหประชาชาติ ตอนที่ 3 ทหารไทยในสำนักงานใหญ่ สหประชาชาติ นิวยอร์ก


                คุณจะคิดเหมือนผมไหมว่า เสน่ห์ของการมีชีวิตอยู่ในโลกของเราอย่างหนึ่งก็คือ การที่เราไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากเป็น แต่ได้เป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากเป็นแต่ไม่ได้เป็น ผมเองได้ผ่านการมีชีวิตแบบนั้นมาหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่ผมเป็นเด็กจำความได้ และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เป็นแบบนั้น ผมจำได้ดีว่าตี 4 ของวันที่ 5 มิถุนายน 2544 ผมตื่นขึ้นจากที่นอนนายทหารเวรยุทธการ ของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และไม่สามารถจะหลับตานอนต่อได้เหมือนเช่นทุกครั้ง เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมาผมได้รับการสอบสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์จากกรมปฏิบัติการสันติภาพ สหประชาชาติ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งความรู้สึกของผมหลังจากจบการให้สัมภาษณ์ผมมีความมั่นใจว่าผมจะต้องได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานที่นิวยอร์กแน่ ๆ เพราะผมรู้ดีว่าการตอบคำให้สัมภาษณ์ของผมเป็นคำตอบที่ผมเองคิดว่าเป็นคำตอบทำได้ดีมาก ด้วยความรู้สึกที่มั่นใจและไม่มีความง่วงผมจึงแต่งตัวแล้วคว้ารองเท้าวิ่งมาสวม จากนั้นก็ลงไปวิ่งรอบที่ตั้งของตึกกองบัญชาการกองทัพบกอยู่หลายรอบจนเกือบตีห้าจึงได้กลับขึ้นมา เพื่อเตรียมการบรรยายสรุปอย่างอิ่มเอิบใจ

                ตอนที่ผมให้สัมภาษณ์นั้น ก่อนจะวางหูผมถามว่า ผมจะทราบได้อย่างไรว่าผมจะได้รับการคัดเลือกหรือไม่เมื่อไร ซึ่งเขาก็ตอบว่า 6 - 8 สัปดาห์ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการติดต่อมาในช่วงนั้นก็หมายถึงว่าไม่ผ่านการคัดเลือก ซึ่งผมคำนวณแล้วก็ตกประมาณปลายกรกฎาคม หรือไม่เกินต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งผมก็เฝ้ารอการติดต่อด้วยการถือโทรศัพท์มือถือที่ผมให้เบอร์เขาไว้แนบกายตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืนแม้แต่เวลาเข้าห้องน้ำ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แวว ซึ่งก็ทำให้ความมั่นใจว่าผมจะต้องได้รับการคัดเลือกแน่ ๆ เริ่มลดความหวังดังกล่าวลงไปเรื่อย ๆ

            จนกลางเดือนสิงหาคม ก็มีการเสนอทุนปริญญาโทจากออสเตรเลียเสนอมา ซึ่งผมก็คิดว่าเพื่อเป็นการเพิ่มความรู้แล้วก็ถือโอกาสที่เคยตั้งใจว่าจะเรียนปริญญาโทตั้งแต่รับราชการใหม่ ๆ เมื่อปี 2528 แต่ไม่ได้เรียนเสียทีมาเรียนตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่ตอนไปสอนก็ไม่ได้หวังอะไรมากนักเพราะคิดว่าทำได้ไม่ดีเท่าไร แต่บังเอิญผู้ที่เข้าสอบพร้อมกันสอบได้ไม่ดีกว่าผมก็เลยได้รับการคัดเลือกให้ได้ทุน ซึ่งกำหนดการเดินทางในวันที่ 22 กันยายน 2544 คือประมาณ 1 เดือน แต่หลังจากที่ได้รับการคัดเลือกในขั้นต้นแล้วเขาก็ให้ไปที่สถานทูตออสเตรเลีย เพื่อรับการสัมภาษณ์ ซึ่งมีการถามถึงครอบครัวผมเองก็ตอบว่าตอนนี้ภรรยากำลังท้องและจะคลอดในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลังจากนั้นก็ดำเนินกรรมวิธีไปเรื่อย ๆ

            จนถึงประมาณต้นเดือน กันยายน ก็มีโทรศัพท์จากสถานทูตออสเตรเลียมาถึงผมแล้วก็ถามว่าผมคือคนที่ให้สัมภาษณ์ว่าภรรยาจะคลอดลูกในอีกสามเดือนข้างหน้าใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ เขาก็เลยบอกว่าทางสถานทูตมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าผมจะได้รับโอกาสให้เลื่อนการเดินทางไปอีก 5 เดือนเพื่อให้มีเวลาดูแลภรรยาและลูกที่เกิดใหม่ให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งผมก็ถามสวนกลับไปแทบจะทันทีว่า มันเรื่องอะไรกันเหรอถึงจะมาเลื่อนการเดินทางของผมเพราะการคลอดลูกของภรรยาผมไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะยอมรับได้ในการเลื่อนการเดินทาง ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ที่จริงแล้วมีปัญหาในเรื่องที่นั่งการศึกษาภาษาอังกฤษที่เมลเบิล์นก่อนการเรียนปริญญาโทที่แคนเบอร่า ที่ถูกลดลงจากนโยบายของประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนที่จะต้องถูกเลือกให้ไปที่หลังหรือไม่เรียนภาษา ซึ่งด้วยเหตุผมว่าภาษาของผมดีพอสมควรกับการที่จะได้อยู่ดำเนินการเรื่องลูกผมจึงถูกเลือกให้เดินทางไปทีหลัง และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ซึ่งผมก็ได้แต่บอกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับผมเลยแต่ก็ถือว่าโอเคสำหรับการที่ได้อยู่ดูแลวันที่ลูกเกิด


            แต่ในช่วงเวลาที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ นั้นผมเองก็ยังไม่หมดความหวังที่จะทำงานกับองค์การสหประชาชาติ ผมยังหวังว่าจะได้รับโทรศัพท์กลางดึกที่คนโทรมาจะพูดเป็นภาษาอังกฤษอยู่เสมอ และยังแวะเวียนไปถามที่ทำงานเก่าว่ามีจดหมายภาษาอังกฤษส่งมาหาผมหรือไม่แล้วในที่สุดกลางเดือนตุลาคม ผมก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากสหประชาชาติ ที่มาวางทิ้งไว้ที่หิ้งหน้าบ้านของผมที่บางเขน หลังจากที่ผมเห็นหลังจากการจอดรถผมรีบฉีกอ่านอย่างใจร้อน ด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเป็นข่าวดี แต่ก็มิได้สมหวังอย่างใจคิด จดหมายดังกล่าวเป็นจดหมายที่ส่งมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม แต่ไม่รู้ว่าไปตกค้างที่ใดอยู่สองเดือน ซึ่งในจดหมายเป็นการเขียนบอกว่าผมได้ผ่านการคัดเลือกในขั้นต้น ซึ่งถ้าผมได้รับเลือกจะมีการติดต่อมาทางเอกสารอีกครั้งและถ้าไม่มีการติดต่อมาก็ไม่ต้องพยายามติดต่อไปหาเขา ซึ่งผมก็ได้แต่นำเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อน ๆ ที่ทำงานฟังตอนกินข้าวกลางวัน ซึ่งเพื่อนผมคนหนึ่งก็บอกว่ายังดีที่เขาเขียนแบบนั้นถ้าเขาเขียนมาว่าให้รับเข้าทำงานโดยให้รายงานตัวเมื่อเดือนที่ผ่านมาจะช้ำใจหนัก ซึ่งผมก็ได้แต่หัวเราะตอบ แต่ก็ทำให้ผมคอยชำเรืองหิ้งหน้าบ้านและบริเวณรอบ ๆ อยู่เสมอเพราะเกรงว่าจะมีจดหมายจากสหประชาชาติมาแบบที่คุยกับเพื่อนแต่เลยเวลาไปแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววอะไร ผมเองก็เลยก้มหน้าก้มตาทำงานและทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวไปตามปกติ

            จนบ่ายวันที่ 21 พฤศจิกายน 2545 ขณะที่ผมยังคงสาละวนกับงานบนโต๊ะที่กองสุมบนโต๊ะตามปกติของหน่วย เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของผมก็ดังขึ้น แต่ในการดังครั้งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับทุกครั้ง ตั้งแต่ผมมานั่งทำงานที่โต๊ะตัวนี้มากว่าหนึ่งปี แม้ว่าการโทรครั้งนี้จะมาหน่วยงานที่ผมติดต่องานมาก่อนแล้ว นั่นคือกระทรวงกลาโหม เพราะครั้งนี้เป็นการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับตัวผมเองโดยตรง หลังจากที่ผมตอบยืนยันว่าผมคือ พันโทเบญจพล รังษีภาณุรัตน์ ตัวจริงเสียงจริงแล้ว อีกฝั่งหนึ่งของปลายสายก็บอกว่าขอแสดงความยินดีด้วย ที่ตอนนี้ผมได้รับการคัดเลือกจากสหประชาชาติให้ไปทำงานที่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งนายทหารฝ่ายแผน กรมปฏิบัติการสันติภาพ ตั้งแต่ 20 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นไป ณ วินาทีนั้นเป็นอีกครั้งหนึ่งที่โลกรอบตัวของผมหยุดนิ่งอีกครั้งหนึ่ง มันเหมือนกับมีพลังงานหรือดินระเบิดจำนวนมหาศาล อัดอยู่ในร่างกายของผม ที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกขณะ หัวใจผมอิ่มเอิบอย่างเหลือหลาย ผมเองได้ถามย้ำกลับไปว่าไม่ได้พูดเล่นนะครับ ซึ่งเขาก็บอกว่าเรื่องจริงแท้แน่นอน ซึ่งจะส่งโทรสารให้ผมได้ดำเนินกรรมวิธีในการกรอกข้อมูล ทำหนังสือให้กระทรวงกลาโหมอนุมัติตัวบุคคล และตรวจโรคตามที่กำหนดให้แล้วเสร็จ ภายใน วันที่ 30 พฤศจิกายน คืออีก 9 วัน และบอกให้ผมติดต่อกับเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศเพื่อประสานรายละเอียดเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด

                หลังจากที่ผมวางหูโทรศัพท์จากนายทหารจากกระทรวงกลาโหมแล้ว งานบนโต๊ะที่ผมสาละวนอยู่นั้นก็พลันหยุดลง ผมนั่งกอดอกแล้วก็พิงเก้าอี้สมองผมเริ่มปั่นติ้วและพลุ่งพล่าน ชีวิตของผมกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง บัดนี้ลูกผู้ชายจากบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีเส้น ไม่มีสาย มีแต่ความรู้ ความตั้งใจในการทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเสมอมา และมีพ่อที่เป็นชาวไร่กับแม่ที่แม่ค้าที่ได้พยายามส่งเสริมให้เรียนเท่าที่ความสามารถมีอยู่ ซึ่งได้รับเลือกให้ทำงานในตำแหน่งที่มีความสำคัญระดับโลก การทำงานที่เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ มันเป็นความภาคภูมิใจที่สุดจะกล่าวออกมาเป็นตัวอักษรใด ๆ ได้ จิตวิญญาณและความคิดของผมดำดิ่งกลับลงไปในอดีตในห้วงใกล้ ๆ ที่ผ่านมาและลึกลงไปในอดีตวัยเด็ก ผมนึกถึงคำของพ่อที่พูดกับผมบ่อยครั้งว่า "เกิดเป็นคนต้องซื่อสัตย์ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น การได้มาซึ่งทรัพย์สินจากการประพฤติไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเป็นสิ่งชั่วร้ายและห้ามทำเด็ดขาด" ซึ่งผมก็คิดอยู่ในใจว่า ถ้าไม่โกงแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างบ้านอยู่กับเขาได้เพราะทำงานมาจะ 20 ปีแล้วยังมีทรัพย์สินไม่ถึงห้าแสนบาท บ้านก็ยังอาศัยอยู่ของหลวง ผมคิดถึงสมัยเด็ก ๆ ตอนที่อยู่บ้านที่ท่ายาง เพชรบุรี ที่ร้องไห้กับแม่ในวันหยุดสำคัญ ๆ เพื่อขอพ่อแม่ให้พาไปเที่ยวทะเลที่ชะอำซึ่งห่างจากบ้านผมไป 25 กิโลเมตรเหมือนกับเพื่อน ๆ ข้างบ้านที่เขามีรถยนต์กัน ซึ่งแม่มักจะบอกว่า "บ้านเราไม่มีรถยนต์ที่จะพาไปเที่ยวหรอกแล้วก็ไม่มีเวลาเหลือพอที่จะพาไปได้ วันหยุดถ้าไม่ช่วยพ่อแม่ทำงานก็ให้อ่านหนังสือให้มากๆ ไว้ เรื่องไปเที่ยวถ้าเรียนเก่ง ๆ เวลาโตขึ้นก็ได้ไปเองแล้วก็ไปไกลมากกว่า ทะเลที่ชะอำเสียอีก" ซึ่งตอนนั้นผมเองก็คิดไม่ออกว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร

            ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวทะเลครั้งแรกในชีวิตผมดื่มด่ำไปกับความยิ่งใหญ่ของมัน ผมยืนอยู่ที่ชายหาดมองออกไปทางทะเลแล้วก็คิดว่าอีกฝั่งหนึ่งของทะเลมันจะเป็นอะไรซึ่งผมมีความตั้งใจว่าวันหนึ่งผมจะต้องเดินทางด้วยความสามารถของเด็กบ้านนอกของผมไปถึงให้ได้ ผมคิดถึงครูชะม้อย ครูคนแรกที่สอนให้ผมรู้จักภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ์ เพชรบุรี เมื่อปี 2515 ครูที่ทุกคนในห้องให้ความเคารพและยำเกรงเพราะท่านจะพยายามเคี่ยวเข็ญให้ทุกลูกศิษย์ทุกคนท่องจำคำศัพท์ให้ได้ ผมนึกถึงวันคืนและเงินทองจำนวนมากที่ผมได้ทุ่มเทให้การเรียนรู้และศึกษาคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในห้วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ผมจำภาพที่ผมเดินออกจากบ้านผู้บังคับบัญชาหลังจากที่ผมขอย้ายตัวเองออกจากตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันเพื่อจะเดินทางขึ้นเครื่องบินกองทัพอากาศไปติมอร์ตะวันออกเพื่อเตรียมปฏิบัติการทางทหารในอีก 6 ชั่วโมงข้างหน้าเมื่อ กันยายน 2542 ซึ่งหมายถึงผมได้ตัดสินใจที่จะละทิ้งสิ่งที่ผมมีความตั้งใจมากที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตไปนั่นคือการเป็นผู้บังคับกองพันทหารราบเพื่อเดินทางไปสู่สิ่งที่ไม่มีอนาคตใด ๆ นอกจากสิ่งที่เขาเรียกว่าอันตราย ซึ่งคนที่รู้จักกันได้ห้ามปรามและว่าผมเสียสติไปแล้วที่ทำแบบนั้น ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย เพราะในขณะนั้นลูกผมคนโตอายุ 2 ขวบ คนที่สองยังไม่ครบ 6 เดือนดี ผมนึกห้วงเวลาที่ผ่านมาในชีวิตการทำงานอย่างหนักตลอดช่วงชีวิตรับราชการและการเรียนตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยจนถึงการเรียนหลังจากจบทำงานแล้วที่ผมได้ทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งคนทั่วไปไม่เข้าใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร ผมนึกถึงรุ่นพี่ 2 คน ที่เป็นหมอดูให้ผมเมื่อ ปีสองปีที่ผ่านมาว่าผมจะดวงดี ได้ทำงานที่มีความโยงใยซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก แล้วก็คิดถึงครอบครัวของผมที่ผมได้ทิ้งให้ดูแลกันเองเมื่อช่วงที่ผมไปติมอร์ตะวันออกเกือบหนึ่งปี

                พลันห้วงความคิดผมก็พุ่งออกจากอดีตกลับมาคิดถึงเรื่องปัจจุบัน สิ่งแรกที่ผมทำคือ การโทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่ ภรรยา เพื่อให้ได้รับทราบเป็นคนแรก แล้วก็คิดถึงเรื่องที่จะต้องทำ เรื่องแรกที่สำคัญคือ ลูกคนที่สามที่จะเกิดในอีกห้าวันข้างหน้า ลูกที่มีผลทำให้ผมต้องเลื่อนการเดินทางไปเรียนปริญญาโทที่ออสเตรเลียเมื่อกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งผมจะต้องถือว่าเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมได้ไปทำงานที่สหประชาชาติในครั้งนี้ การยกเลิกการเรียนปริญญาโทที่ออสเตรเลีย ติดต่อกับกระทรวงต่างประเทศ ตรวจโรคเพื่อให้ได้ใบรับรองแพทย์ ทำหนังสืออนุมัติตัวบุคคลจากกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีเวลาทั้งหมดประมาณ 7 วันราชการ การติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติที่นิวยอร์ก แล้วก็ทำงานที่ผมรับผิดชอบตามปกติไม่ให้บกพร่อง ผมต้องกลับมาสู่ปัจจุบันที่เป็นจริงอีกครั้ง ผมต้องจัดการเรื่องทุกเรื่องให้ห้วงเวลาที่จำกัดอีกแล้ว ซึ่งผมใช้เวลาทั้งบ่ายและคืนนั้นอีกหนึ่งคืนในการกำหนดตารางการปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อดำเนินการในเวลาที่เหลือให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างลงตัว ซึ่งก็สามารถดำเนินการได้ครบทุกอย่างตามเวลาที่กำหนดโดยเสร็จสิ้นในบ่ายวันที่ 28 พฤศจิกายน ก่อนกำหนด 2 วัน หลังจากนั้นก็ไล่โทรขอบคุณคนที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ทำหน้าที่ในการตอบรับการแสดงความยินดีจากเพื่อน ๆ และคนที่รู้จัก จากนั้นก็เป็นการเตรียมการในเรื่องของอนาคตที่มีเวลาอีก เกือบแปดเดือนในการเพิ่มพูนความสามารถของผมให้สามารถทำงานได้คุ้มกับเงินเดือนที่เขาจะจ่ายรวมทั้งชื่อเสียงของประเทศชาติที่จะต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด


            ณ วันนี้ผมคงมีคำตอบที่ไม่มีเหตุผลแต่ดีที่สุดที่จะนำมาตอบตัวเองและทุกคนว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของผมในห้วงชีวิตที่ผ่านมา คำตอบนั้นก็คือ ฟ้าได้ลิขิตและดลใจให้ผมทำในสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่คนทั่วไปและตัวผมไม่เห็นด้วยเพราะไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงรออยู่ในอนาคต สิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจแม้ว่าตัวผมว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมานั้นมันคือ จิ๊กซอว์ตัวเล็ก ๆ แต่ละตัวที่ได้ถูกนำมารวมกันเป็นภาพที่สมบูรณ์แล้วในวันนี้ วันที่ทุกคนได้รับทราบว่าผมได้รับเลือกจากองค์การสหประชาชาติให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญและมีเกียรติมิใช่เพียงต่อตัวผม แต่ยังเป็นเกียรติต่อครอบครัวและวงศ์ตระกูลของผมที่ยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
-------------------------------- 

พ,ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ