01 กุมภาพันธ์ 2566

ทหารไทยกับการฝึกพื้นฐานที่โรงเรียนทหารราบ Fort Benning (ทหารดอทคอม)


        “พ่อครับ แม่ครับ อ้วนสอบได้ไปอเมริกาแล้ว” ประโยคนี้เป็นคำพูดของผม คนที่พ่อแม่และผู้คนแถวบ้านเกิดเรียกว่าอ้วนซึ่งได้บอกกับบุคคลที่ผมรักมากที่สุดในโลก และต้องการให้เป็นคนแรกที่รับรู้จากปากผมเมื่อต้นเดือน ตุลาคม 2529 หลังจาก ศูนย์การทหารราบ ประกาศผลสอบผ่านวิชาเหล่า ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายในการคัดเลือกบุคคลไปเข้ารับการฝึกศึกษาที่ โรงเรียนทหารราบสหรัฐ ในหลักสูตรนายทหารราบเบื้องต้น ตามโครงการ IMET ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ หลังจากที่ผมได้ทุ่มเทเวลาในการอ่านและฟังภาษาอังกฤษมาเป็นเวลาแรมเดือนแม้แต่ขณะเข้าห้องน้ำ เพื่อให้ผ่านในรอบแรก และใช้เวลาอีก 7 วัน 7 คืน ในการอ่านวิชาเหล่าที่ผมไม่เคยเรียนมาก่อน โดยเฉพาะคืนสุดท้ายที่ผมอ่านหนังสือจนถึงเช้าก่อนที่จะทำการสอบ การประกาศผลในตอนบ่ายวันนั้นมิได้ทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเท่านั้นแต่ยังทำให้ผมอิ่มเอิบดีใจจนสุดที่จะบรรยาย ถึงความภาคภูมิใจที่สามารถชิงทุนเพื่อไปฝึกศึกษาที่สหรัฐ ประเทศที่ผมใฝ่ฝันมานานแล้ว

            การไปเรียนต่อต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐหรือประเทศแถบยุโรปนั้น ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คน หากโอกาสอำนวยก็อยากไปมีประสบการณ์ที่ต่างประเทศในลักษณะนี้สักครั้ง หรือถ้าวันเวลาและวัยล่วงเลยมามากแล้ว ก็อาจจะอยากให้บุตรหลานได้มีโอกาสไปสัมผัสเพื่ออย่างน้อยก็เป็นการเรียนรู้และเปิดมุมมองโลกทัศน์ให้กว้างและลึกมากกว่าการไปทัศนศึกษาทั่วไป

         สำหรับผมเองในสมัยเป็นนักเรียนนายร้อยปี 1 โรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนที่เรียนดีในปีแรกรับทุนไปเรียนต่อเป็นนักเรียนนายร้อยต่างประเทศประมาณปีละ 6-7 ทุน ซึ่งผมเองในตอนนั้นก็แอบฝันอยู่เงียบ ๆ ที่จะได้เป็น 1 ในกลุ่มนั้นเหมือนกัน แต่ทำไม่สำเร็จเนื่องจากตอนสอบในแต่ละครั้งมักมีภารกิจเร่งด่วนในการเข้าเวรโทษ และหากมีเวลาก่อนและหลังออกจากยืนเวรโทษแล้วก็ต้องไปเดินสายทัวร์ตามกองร้อยต่าง ๆ เพื่อฝึกความอดทนทางร่างกายและจิตใจเป็นพิเศษ เลยไม่มีเวลามากนักสำหรับการอ่านหนังสือ แล้วก็ลืมไปเลยจนจบการศึกษาติดยศร้อยตรีมาทำงาน

    อย่างไรก็ตาม หลังจากจบมาเป็นผู้หมวดทหารราบได้สักปีหนึ่ง ก็มีนายทหารรุ่นพี่ที่ไปเรียนหลักสูตรนายทหารราบเบื้องต้น (Infantry Officer Basic Course: IOBC - กองทัพบกเรียกว่าชั้นนายร้อย) จากโรงเรียนทหารราบ ฟอร์ทเบนนิ่ง โคลัมบัส มลรัฐจอร์เจียร์ ประเทศสหรัฐ จบกลับมาทำงานที่กองร้อยเดียวกันและทำหน้าที่เป็นนายทหารพี่เลี้ยงของผมไปด้วย ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ ประกอบกับนายทหารพี่เลี้ยงส่งเสริมแนะแนวทาง ทำให้เกิดความมุมานะจนสอบได้หลักสูตรเดียวกันกับนายทหารพี่เลี้ยง และเดินทางไปเรียนเป็นรุ่น IOBC 4-88 ระหว่าง 1 กุมภาพันธ์ - 27 พฤษภาคม 2531
    การเข้ารับการศึกษาหรือที่ถูกน่าจะเรียกว่าการฝึกหลักสูตรชั้นนายทหารราบเบื้องต้นของสหรัฐนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอกับสิ่งที่แตกต่างออกไปจากจินตนาการที่ผมเคยวาดจากการบอกเล่าของนายทหารพี่เลี้ยงมาก่อนเป็นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ผมเดินทางไปถึงฟอร์ทเบนนิ่ง สิ่งแรกที่สร้างความประหลาดใจหรือจะเรียกว่าช็อกให้กับผมก็ว่าได้ คือ พูดกับคนและเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐไม่รู้เรื่อง แม้ว่าตอนเป็นนักเรียนตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาตรีจะได้เกรดเอ ภาษาอังกฤษแทบทุกครั้ง เมื่อถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับ แต่มาสัปหงกตอนกลางวัน อาหารการกินก็ไม่อร่อย อากาศก็หนาวมากแบบไม่เคยเจอมาก่อน เสื้อผ้าที่เตรียมมาใช้ป้องกันความหนาวไม่ได้ เสื้อกันหนาวที่เหมาะสมต้องซื้อใหม่ในพีเอ็กซ์ของค่ายก็ราคาแสนแพงจนรับไม่ได้ ดังนั้น เวลาออกฝึกภาคสนามไปนอนในป่าเขาห้ามจุดไฟ ต้องขุดหลุมเอาผ้ากันฝนปิดปากหลุมยังเอาไม่อยู่เลยต้องหาถุงพลาสติกใหญ่ ๆ มาตัดช่องหัวและแขนเป็นเสื้อใส่ไว้รองในชุดฝึก

    เพื่อนที่เรียนด้วยกันเป็นนายทหารเหล่าทหารราบของสหรัฐพึ่งประดับยศร้อยตรี ทั้งรุ่นหรือกองร้อยมีประมาณ 150 นาย มาจากทหารประจำการที่ทำงานทหารเต็มเวลาและเนชันแนลการ์ดที่ทำงานทหารอาทิตย์ละ 2 วัน รวมทั้ง รด.และกองหนุนจำนวนหนึ่ง ในส่วนเป็นนายทหารต่างชาติหรือเรียกว่านักเรียนชาติพันธมิตรแบบผม ส่วนใหญ่มาจากประเทศในแถบเอเซียและอัฟริกาอีกประมาณ 8-9 นาย

    การเรียนจะแบ่งออกเป็นภาควิชาการและภาคสนามสลับกันที่ละอาทิตย์ โดยภาควิชาการจะเรียนที่อาคารหมายเลข 4 หรือ Building 4 ซึ่งเป็นอาคารใหญ่ที่สุดในค่าย อาคารดังกล่าวใช้ชื่อเป็นตัวเลขแทนการนำเอาชื่อคนมาตั้ง และมีสิ่งน่าแปลกใจก็คือ สัญลักษณ์ทหารราบที่เป็นรูปปั้นหน้าอาคารขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "Follow Me" นั้น ปั้นมาจากต้นแบบที่เป็นนายทหารประทวนยศจ่าสิบเอก และผู้ปั้นก็เป็นพลทหารสองคน ส่วนอาคารที่พักของนายทหารโสดที่มีการจัดการแบบโรงแรมเป็นอาคารโบราณรูปตัวยูสูงสามชั้นมีประมาณร้อยกว่าห้องซึ่งผมและพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ไปเรียนหลักสูตรอื่นพักกัน มีชื่อว่า Olson Hall โดยนำชื่อมาจากพลทหาร Olson ที่เสียชีวิตจากการสู้รบอย่างกล้าหาญในสงครามโลกมาตั้งเป็นชื่ออาคาร

        การเรียนหลักสูตรนี้ทุกเช้าต้องออกกำลังกายหรือที่เรียกว่าเล่น PT ตั้งแต่ตีห้า ผมตื่นมาประมาณตีสี่ครึ่ง เสียบหม้อหุงข้าวไฟฟ้าทิ้งไว้ แล้วลงไปออกกำลังกายจนเจ็ดโมงเช้าก่อนกลับมารีบกินข้าว แต่งตัว แบกรักแซ็กวิ่งจากอาคารที่พักไปเรียนที่อาคาร 4 ที่ห่างประมาณ 1 กม. ทำแบบนี้แทบทุกวัน แม้ว่าฝนจะตกหรือจะออกไปฝึกภาคสนามในป่าก็ยังปลุกมาออกกำลังกายเหมือนกับปกติ

    ระบบการออกกำลังกายไม่เสียสตังค์แบบนี้ทำให้ก่อนจบการศึกษาซึ่งจะมีการทดสอบร่างกายและการวิ่ง ทำให้ผมในตอนนั้นนับได้ว่าเป็นช่วงที่ร่างกายมีความแข็งแรงสูงสุดในชีวิต โดยยึดพื้น(ท่ามาตรฐาน)ได้ 80 ครั้ง ใน 2 นาที ซิทอัพหรือลุกนั่งได้ 70 กว่าครั้งใน 2 นาที และวิ่ง 2 ไมล์ (3.2 กม.) ใช้เวลา 11 นาที วิ่ง 5 ไมล์ (8 กม.) ในเวลา 34 นาที ซึ่งหลังจากนั้นมาในชีวิตที่เหลือก็ไม่เคยทำได้แบบนั้นอีกเลย 
        
        การเรียนการสอนภาคทฤษฏีมีบ้างพอสมควรโดยเรียนกันในอาคารหมายเลข 4 การสอบข้อเขียนของนายทหารนักเรียนมีไม่มากนัก แต่เวลาสอบการจัดห้องสอบไม่แตกต่างจากนั่งตอนเรียน ใครทำไม่ได้คือทำไม่ได้ ไม่มีการลอกหรือให้ความช่วยเหลือระหว่างการสอบ ตกก็สอบใหม่ หากสอบไม่ผ่านรอบสองก็อาจต้องออกจากการเป็นทหารไป

    การฝึกภาคสนามมีความจริงจังมาก การฝึกภาคเดินเท้านายทหารนักเรียนทุกคนนอกเหนือจากการนำอาวุธ หมวกเหล็ก สายเก่ง กระติกน้ำสองใบ ติดตัวตลอดเวลาแล้ว ก็ต้องแบกรักแซกที่มีสิ่งอุปกรณ์และอาหารติดตัวไปแต่ละครั้งน้ำหนักที่อยู่บนหลังประมาณ 15 - 20 กิโลกรัม (แบบในรูปทางซ้าย) โดยจะมีอาหารสำเร็จอยู่ได้ 3 วัน กล้องส่องเวลากลางคืน ชุดป้องกันเคมี ชีวะ ผ้าปานโจ เสื้อผ้าสำรอง พลั่วสนาม ชุดยิงจรวดต่อสู้รถถัง รวมทั้งสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ โดยสิ่งอุปกรณ์นี้สร้างมาให้ฝรั่งแบกโดยเฉพาะโดยไม่มีขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ให้เลือก ซึ่งทหารไทยตัวเล็ก ๆ แบบผมก็ต้องพลอยแบกแบบเดียวกันไปด้วยโดยได้แต่ทำตาปริบ ๆ

    เมื่อฝึกพื้นฐานของทหารราบเดินเท้าหรือทหารราบยานเกราะในแต่ละห้วงจบแล้ว นายทหารควบคุมการฝึกจะแบ่งนักเรียนออกเป็นสองฝ่ายเพื่อจำลองการรบกัน ในบางการฝึกย่อย เช่น ฝึกการรบในเมือง โรงเรียนจะสร้างเมืองจำลองที่เป็นอาคารจำลองมาจากเมืองในเยอรมันนับสิบอาคารให้นายทหารนักเรียนฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายตั้งรับป้องกันเมืองไว้ และอีกฝ่ายหนึ่งวางแผนเข้าตีเพื่อยึดเมือง โดยเป็นการรบแบบการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศ ฝ่ายบุกโดยมีผมเป็นทีมอยู่ด้วยจะขึ้น เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอล์คมาส่งลงใกล้ ๆ เมือง แล้วเคลื่อนที่เข้าตียึดเมืองจากเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง รูปแบบเดียวกับที่หน่วยรบพิเศษสหรัฐบุกข้ามประเทศเข้าไปสังหารบิน ลาเดนเมื่อปีที่ผ่านมายังไงยังงั้นเลย

    สำหรับอาวุธที่ใช้ในการฝึกจะเป็น ปืนเล็กยาวเอ็ม 16 ติดตั้งเครื่องมือเลเซอร์ เมื่อยิงแล้วจะเป็นแสงเลเซอร์ที่มองไม่เห็นไปยังเป้าหมาย หากยิงไปยังเพื่อนที่เป็นข้าศึกสมมุติและที่ตัวเพื่อนมีเครื่องรับแสงเลเซอร์ ก็จะมีเสียงร้องออกมา ตามระดับการบาดเจ็บหรือยิงถูกอย่างจังหรือยิงถูกแบบเฉียด ๆ การฝึกในทำนองนี้เป็นการฝึกที่เรียกว่า "รบอย่างไร ฝึกแบบนั้น" ซึ่งเป็นการลงทุนที่สูงมากเอาการ แต่เมื่อมาเปรียบกับการสูญเสียชีวิตทหารจากการฝึกมาน้อย/ประหยัดงบประมาณหรือฝึกไม่ถูกกับสถานการณ์ตามความเป็นจริงแล้ว การลงทุนแบบนี้น่าจะคุ้มเกินคุ้มต่อการลงทุน

    ในส่วนของสังคมกับเพื่อนนายทหารอเมริกัน ทางนายทหารปกครองจะให้เพื่อนในรุ่นสมัครเป็น Sponsor ให้กับนักเรียนชาติพันธมิตร โดยเป็นอาสาสมัครหรือทำด้วยใจไม่มีอะไรตอบแทน โดยผมมีสปอนเซอร์ชื่อ ร้อยตรีFisher คนนี้เคยมาอยู่กับพ่อที่ประเทศไทยตอนเด็ก ๆ กับ ร้อยตรีKuntz ซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักประเทศไทยเลยแต่เป็นผู้ที่มีน้ำใจมากจริง ๆ ซึ่งทำให้ผมได้เข้าไปสัมผัสชีวิตครอบครัวของคนอเมริกันเพิ่มเติมอยู่บ้าง

        สำหรับการจัดงานสังสรรค์หรือปาร์ตี้ในวันหยุดนอกเหนือจากการมายืนถอดเสื้อตากแดดปิ้งบาร์บีคิวแกล้มเบียร์หน้าตึกออลสันฮอลก็มีอยู่บ้าง โดยจะมีเพื่อนที่ชอบเฮฮาริเริ่ม ส่วนใหญ่จะเป็นนายทหารที่เช่าบ้านพักอยู่นอกค่าย แล้วก็แจ้งให้เพื่อนทราบกำหนดการ คนไหนสนใจไปก็สอบถามรายละเอียด แล้วหิ้วของกินของใช้ไปสมทบ เช่น เบียร์ ขนมขบเคี้ยว แก้ว กระดาษ เป็นต้น ส่วนคนที่ไม่รู้จะซื้ออะไรเช่นผมที่มักจะไปกับสปอนเซอร์ เมื่อไปถึงก็เอาเงินประมาณ 3 - 5 เหรียญใส่ลงไปในขันรับบริจาคหน้างาน ก็ทำให้เข้าสังคมกับพวกเขาหรือยืนซดเบียร์กระป๋องได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

        ส่วนชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านสังคมกับพลเรือนที่ไม่อาจข้ามไปได้ ก็คือ Mr. Valentine (เคยเป็นนายทหารสหรัฐมารบเวียดนามและคุ้นเคยกับคนไทยเป็นอย่างดี ในปี 2531 น่าจะอายุอย่างน้อย 70 ปีแล้ว) และครอบครัว รวมทั้งป้า ๆ ชาวสหรัฐ แล้วก็พี่ ๆ ชาวไทย เท่าที่จำได้คือ พี่โสภีที่อยู่ในค่ายเบนนิ่งและเมืองโคลัมบัสจนเป็นชาวสหรัฐไปแล้ว ซึ่งมีน้ำใจและแสนจะใจดี มักมาเชิญพวกเรานายทหารที่พลัดถิ่นไปเที่ยวชมสังคมของคนสหรัฐอยู่เป็นประจำ และทำอาหารไทยให้พวกเรากิน หลังจากที่พวกเรามักเดินผ่านร้านอาหารไทยในเมืองโคลัมบัสโดยที่ยอมอดไม่ยอมกินกันจนกลับประเทศไทย 
        การติดต่อกลับมาประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นการเขียนจดหมาย เพราะค่าโทรศัพท์แพงมาก โทรแบบหยอดเหรียญอย่างต่ำต้อง 3 นาที ๆ ละ 3 เหรียญ แต่เสียงชัดมาก ผมโทรกลับมาบ้านบอกแม่ว่าเดินทางถึงแล้ว แม่ผมยังทำเสียงแบบงง ๆ ว่าจริงหรือเปล่า ทำไมเสียงมันชัดจัง ในส่วนของจดหมายนั้นเขียนกับเป็นเล่ม ๆ บรรยายเรื่องราวที่ได้เจอแบบด้านบนที่ท่านอ่านมานี้แหละให้แฟนที่ไทยได้อ่านฉบับหนึ่งหลายหน้า เวลาผ่านไปยี่สิบปีทราบว่าเขายังเก็บไว้อยู่
            
        อ้อ เกือบลืมไป การเรียนในหลักสูตรทำนองนี้ ผู้เข้าเรียนไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น โดยทางกองทัพบกไทยจะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินและเบี้ยเลี้ยงอีกวันละประมาณ 275 บาท พร้อมเงินเดือนร้อยโท ปี 31 ประมาณเดือนละ 3,600 บาท ส่วนกองทัพสหรัฐออกค่าเล่าเรียนทั้งหมดและเบี้ยเลี้ยงวันละ 10 เหรียญ (เหรียญละ 26 บาท) หักค่าที่พักแล้วเหลือวันละ 3 เหรียญ ก่อนกลับผมซื้อของใช้ของฝากมาจำนวนหนึ่งก็ยังมีเงินเหลือสามสี่หมื่นบาทเลยทีเดียว
            การเรียนและฝึกหลักสูตรนี้ นายทหารจากประเทศไทยที่สอบคัดเลือกได้ ส่วนใหญ่แม้ว่าจะพูดกับเขาไม่ค่อยจะรู้เรื่องแต่ก็จะมีความพร้อมและเตรียมตัวกันมาดีมากกว่านายทหารชาติอื่น ๆ จึงทำให้ได้คะแนนรวมในภาคทฤษฏี การปฏิบัติ การทดสอบร่างกาย สูงกว่านักเรียนพันธมิตรชาติอื่น ดังนั้น เมื่อจบการศึกษาแล้วมักจะได้รับรางวัล Allied Distinguished Leadership Graduate ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในกลุ่มของนักเรียนชาติพันธมิตรกันอยู่เสมอ โดยเป็นใบประกาศพิเศษที่เขียนชมเชยได้อย่างซาบซึ้งและตุ๊กตาสัมฤทธิ์ Follow Me จำลองมาเป็นที่ระลึก 1 ตัว ซึ่งผมเองก็ได้รับรางวัลนี้มาประดับบ้านกับเขาด้วยเหมือนกัน
-------------------------------- 
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ