วันนี้เป็นวันที่ 56 หรือวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ 8 ที่ผมได้รับคำบอกจากบุคคลที่สัมภาษณ์ผมจากองค์การสหประชาชาติ นิวยอร์ก เมื่อ สามทุ่มวันที่ 4 มิถุนายน 2544 ที่ผ่านมาว่าหลังจากการให้สัมภาษณ์แล้ว เขาจะใช้เวลาในการดำเนินกรรมวิธีต่ออีกประมาณ 6 - 8 สัปดาห์ หรือที่ผมคิดให้เต็มที่ก็คือ 56 วัน โดยผมเองก็เริ่มทำใจไปบางส่วนแล้วว่าอาจจะแห้ว แม้ว่ายังคงมีส่วนลึก ๆ ที่ยังหวังอยู่บ้าง และเพื่อไม่ให้เป็นการสูญเปล่าผมก็เลยถือโอกาสนำเอาบรรยากาศและคำสัมภาษณ์โต้ตอบกันระหว่างเจ้าหน้าที่สหประชาชาติกับผม มาเล่าสู่ให้ฟังกันเพื่อที่บางท่านอาจจะนำเอาไปเป็นข้อมูลเพื่อทำอย่างอื่นหรือเอาไปคิดคำตอบเผื่อจะสมัครงานกับสหประชาชาติในโอกาสอื่นบ้าง ในการสัมภาษณ์นั้นเป็นภาษาอังกฤษนะครับซึ่งผมสรุปใจความเป็นภาษาไทยมาให้ท่านได้อ่านกัน
จากตอนที่แล้วที่ผมเขียนทิ้งไว้ก็คือ นายทหารของสหประชาชาติได้ติดต่อผ่านโทรศัพท์มาหาผมซึ่งก็มีความพร้อมที่จะตอบคำถามแล้ว ซึ่งมีคำถามในระหว่างการสัมภาษณ์ซึ่งผมจะแยกออกเป็นข้อ ๆ โดยเขาถามที่ผมฟังออกบ้างไม่ออกบ้างและผมตอบได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้างดังนี้ครับ
ข้อแรกหลังจากที่เขาแนะนำตัวว่าเป็นใครมาจากไหนแล้วก็มีคนมานั่งฟังการให้สัมภาษณ์ของผมอยู่หลายคน เขาก็ถามว่าผมพร้อมที่จะตอบคำถามหรือยัง ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องตอบว่าพร้อม เหมือนกับคำถามที่สองที่เขาบอกให้ผมยืนยันว่าผมเป็น พันโทเบญจพล รังษีภาณุรัตน์ ตัวจริง ผมก็ตอบยืนยันว่าผมเป็นพันโทเบญจพล รังษีภาณุรัตน์ ตัวจริงไม่ใช่คนอื่น สำหรับอีกข้อหนึ่งก็คือเขาถามว่าผมติดยศพันโทเมื่อไร ซึ่งผมก็ตอบวันที่ผมมีสิทธิในยศพันโท คือประมาณวันที่ 17 มกราคม 2543 ซึ่งจริง ๆ คำสั่งที่ออกให้ผมติดยศนั้นประมาณ พฤษภาคม เพียงแต่ย้อนหลังให้ประมาณสามสี่เดือน ซึ่งในช่วงนั้นผมยังทำงานที่ติมอร์แล้วก็ติดยศพันตรีต่อเนื่องมาจากหน่วยเดิม แล้วก็ไม่ได้ประดับยศพันโทจนจบภารกิจกลับมามั่นใจว่ามีคำสั่งเป็นพันโทแน่นอนแล้วประมาณเดือนสิงหาคม 2543 ซึ่งขั้นตอนตรงนี้อาจจะทำให้เจ้าหน้าที่สหประชาชาติสับสนระบบได้เหมือนกันเนื่องจากในใบประกาศที่ติมอร์นั้นยังเป็นยศพันตรีอยู่
หลังจากที่ตอบคำถามเริ่มต้นแล้วคราวนี้ก็ถามคำถามหลัก โดยเริ่มจากเขาให้ผมเล่าตำแหน่งหน้าที่ย้อนหลังไปสามตำแหน่ง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมเก็งถูกว่าเขาจะถามก็เลยเขียนคำตอบคอยไว้ก่อน โดยเริ่มจากตำแหน่งในปัจจุบันของผม คือหัวหน้าแผนกในกรมยุทธการทหารบก โดยเน้นให้เห็นว่าผมมีหน้าที่การงานตรงกับตำแหน่งที่ผมสมัครไปคือ นายทหารฝ่ายแผน โดยหน้าที่ของผมก็คือการวางแผนการใช้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก การจัดกำลังในการป้องกันประเทศ และการมีส่วนร่วมในการดำเนินการเกี่ยวกับการดำเนินการของทหารไทยในติมอร์ตะวันออก สำหรับตำแหน่งที่สองก็คือการเป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวของกองกำลังทหารบกไทยในติมอร์ตะวันออก โดยเป็นหน่วยนำหน่วยแรกในการเดินทางเข้ามารวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการวางแผนตั้งแต่เริ่มต้น การเป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวสารทางทหารของกองพลน้อยตะวันออก ของกองกำลังรักษาสันติภาพ ในติมอร์ตะวันออกรุ่นแรก การได้รับหน้าที่ในการประสานงานกับเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของสหประชาชาติที่ทำงานในติมอร์ตะวันออก แล้วก็เป็นตัวกลางในการประสานงานทำความเข้าใจที่ดีระหว่างกลุ่มประชาชนและกองกำลังติดอาวุธในติมอร์ตะวันออก ตลอดช่วงเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยการทำร้ายกันของประชาชนชาวติมอร์ในพื้นที่รับผิดชอบด้วย สำหรับตำแหน่งลำดับที่สามก่อนตำแหน่งอื่น ๆ ก็คือตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันทหารราบ ที่มีหน้าที่ในเป็นหัวหน้าฝ่ายอำนวยการของหน่วยระดับยุทธวิธี ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล ควบคุมเพื่อให้การปฏิบัติของหน่วยเป็นไปตามตำสั่งยุทธการในแต่ละครั้ง และได้เพิ่มเติมอีกว่าในช่วงนี้ ได้มีโอกาสดีในการทำหน้าที่เป็นผู้วางและบริหารระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายของหน่วยในระดับกองพัน จนสามารถที่จะใช้เป็นต้นแบบของหน่วยขนาดเดียวกันได้
คำถามต่อมาก็คือ เขาถามว่าทำไมจึงคิดว่าตนเองมีความเหมาะสมและคุณภาพในการทำงานอย่างไร ในตำแหน่งที่สมัครเข้ามา คำตอบของผมก็คือ ผมคิดว่ามีความเหมาะสมที่จะทำหน้าที่นี้เนื่องจาก ผมมีประสบการณ์ในด้านการวางแผนมาทุกระดับไม่ว่าจะเป็นในระดับยุทธศาสตร์คือระดับกองทัพบก ระดับยุทธการด้วยการเป็นหน่วยนำในการร่วมในการวางแผนการปฏิบัติการในติมอร์ตะวันออก และการทำงานระดับยุทธวิธีในตำแหน่งนายทหารยุทธการของกรมทหารราบ ประสบการณ์ในการฝึกศึกษาก็มี ไม่ว่า การจบการศึกษาทางด้านการวางแผนระดับกองพล และกองทัพน้อยจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ซึ่งแผนในระหว่างที่เรียนก็ได้รับการนำออกมานำเสนอให้แก่ทั้งชั้นเรียนถึงสองครั้ง การได้เรียนการวางแผนระดับกองพันและกองพลน้อย จากโรงเรียนทหารราบสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหลักสูตรการวางแผนระดับยุทธวิธีที่หินมากแห่งหนึ่ง ซึ่งผลการศึกษาก็อยู่ในระดับที่ดีของชั้นจนในการวางแผนสุดก่อนจบการศึกษาได้รับมอบให้ทำหน้าที่นายทหารฝ่ายยุทธการของกลุ่ม แล้วก็ในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ทำหน้าที่ที่สำคัญในกองบัญชาการร่วมผสมไทย/สหรัฐ รหัสการฝึกคอบร้าโกลด์ ในปี 1998 และ 1999 โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายทหารปฏิบัติการ และผู้ช่วยหัวหน้านายทหารศูนย์ข่าวกรองร่วม ของฝ่ายข่าวกรองในกองบัญชาการร่วมผสม และสุดท้ายก็คือ ประสบการณ์ในการปฏิบัติการร่วมกับสหประชาชาติก็พึ่งผ่านมาก็คือการเป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวสารทหารของกองพลน้อยภาคตระวันออก แล้วก็เป็นตัวแทนของกองทัพบกในการเข้าร่วมสัมมนาการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพที่จัดโดยองค์การสหประชาชาติและกองกำลังสหรัฐภาคพื้นแปซิฟิก ที่บังคลาเทศเมื่อกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งจากประสบการณ์ในการปฏิบัติงานและความรู้ที่ผ่านมาจึงทำให้มีความมั่นใจว่าสามารถทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี
คำถามต่อมาคือ ประสบการณ์ในการทำงานระดับนานาชาติที่นอกเหนือสหรัฐและสหประชาชาติว่าเคยมีมาอย่างไรบ้าง คำถามนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากนักเพราะผมก็เตรียมไว้แล้วเหมือนกัน เมื่อปี 1992 ได้เป็นตัวแทนของกองทัพบกในการเดินทางร่วมคณะของการเจรจาวางแผนการฝึกร่วมระหว่างกองทัพบกและทหารกุรข่า ที่อยู่ในการกำกับดูแลของกองทัพอังกฤษที่ฮ่องกง และในปีถัดมาก็เข้าร่วมในการสัมมนาผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นดินในภาคพื้นแปซิฟิก ที่ออสเตรเลีย นอกจากนั้นก็ได้เดินทางไปดูงานกิจการทหารในประเทศ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ เมื่อปี 1995
คำถามต่อมาคือ ท่านมีขีดความสามรถในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรบ้าง ข้อนี้ก็ง่ายเลย สำหรับผม ผมก็สาธยายเลยว่า ผมมีความรู้ในการใช้โปรแกรมพื้นฐานต่าง เช่น วินโดว์ อ๊อฟฟิต โฟโต้ชอบ วิซิโอ การใช้โปรแกรมมัลติมิเดีย ระบบเครือข่ายโดยผ่านการอบรมระบบวินโดว์เอ็นทีจากสถาบันที่ไมโครซอฟท์รับรอง การรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ การใช้อีเมล อินเทอร์เน็ต การเขียนโฮมเพจ การใช้แอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต โดยผมมีโฮมเพจของตัวเอง ความรู้ในด้านฮาดแวร์สามารถประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์และติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ได้ สามารถวางระบบเครือข่ายขนาดเล็กได้ แล้วก็ที่สำคัญคือเคยปฏิบัติงานในระบบ C4I ซึ่งเป็นระบบควบคุมบังคับชาระดับสูงของทหารจากการฝึกร่วมกับสหรัฐและการปฏิบัติงานที่ติมอร์ตะวันออก แล้วก็เป็นผู้บริหารระบบของหน่วยระดับกองพันมาแล้ว
คำถามชุดต่อมาเป็นชุดที่เกี่ยวกับองค์การสหประชาชาติ โดยถามว่า ท่านคิดว่าจากการทำงานกับองค์การสหประชาชาติมานั้น สิ่งใดที่ท่านคิดว่าท่านได้รับประโยชน์มากที่สุด ข้อนี้ผมคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าจะตอบอย่างไรดี โดยหยุดคิดนิดหนึ่งก็ตอบไปว่าการได้เปิดวิสัยทัศน์และสร้างเสริมประสบการณ์ในการทำงานระดับนานาชาติที่ไม่สามารถจะหาได้จากการทำงานที่ไหน ๆ
คำถามต่อมาก็คือ ท่านคิดว่าสิ่งใดที่ท่านคิดว่าเป็นจุดอ่อนของการทำงานของสหประชาชาติที่ท่านได้ประสบมาระหว่างการทำงาน สำหรับข้อนี้เป็นคำตอบที่ผมคิดว่าตอบได้ดีกว่าข้ออื่น ๆ โดยผมตอบว่า เท่าที่ทำงานมาเกือบหนึ่งปีที่ติมอร์ตะวันออก สิ่งที่ผมได้รับทุกวันก็คือความสุขที่ได้รับจากการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของสหประชาชาติ ซึ่งนึกไม่ออกมามีขั้นตอนไหนบ้างที่ทำให้ผมคิดว่าการทำงานของสหประชาชาติมีจุดอ่อน ยกเว้นจากการที่ได้ไปทำงานสัมผัสกับประชาชนติมอร์ตะวันออก มักจะได้ยินคำบ่นจากประชาชนว่าสหประชาชาติทำงานช้าไม่ทันใจ ซึ่งผมก็มักจะให้คำอธิบายว่าการทำงานของสหประชาชาติมีขั้นตอนมากเนื่องจากต้องระวัดระวังไม่ให้เกิดความลำเอียงหรือวางตัวไม่เป็นกลางจึงทำให้เสียเวลามากกว่าการตัดสินใจโดยทั่วไปของประชาชน
คำถามสุดท้ายของชุดนี้เป็นคำถามที่ผมคิดว่าตอบยากซึ่งผมเองตอบได้ไม่ดีในเวลานั้น เขาถามว่า สมมุติว่าท่านได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงานกับสหประชาชาติแล้ว ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่นั้นมีเหตุการณ์ขัดแย้งเกิดขึ้นที่ประเทศของท่าน ที่ทำให้สหประชาชาติต้องออกนโยบายและการปฏิบัติที่ขัดต่อผลประโยชน์และนโยบายของประเทศของท่าน ท่านจะทำอย่างไร ข้อนี้ผมหลุดปากออกไปก่อนเลยว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่ตอบยาก ผมยังคงรักประเทศของผมแต่อย่างไรก็ตามผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในห้วงเวลานั้น ซึ่งหลังจากจบการให้สัมภาษณ์แล้วผมมาทบทวนคำตอบข้อนี้ของผมโดยผมมาคิดว่าถ้ามีโอกาสถูกถามอีกผมจะตอบว่า ผมเชื่อว่าสหประชาชาติจะออกนโยบายที่ถือเอาสันติภาพและความสงบสุขของประชาชนของโลกเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ ซึ่งผมคิดว่าผมพร้อมจะให้การสนับสนุนนโยบายนั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้านโยบายดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนของไทยโดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศหรือกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คน ผมจะบอกให้ทางองค์การสหประชาชาติทราบว่าผมขอลาออกเพื่อกลับไปปกป้องแผ่นดินและพี่น้องประชาชนของผม
สำหรับคำถามชุดสุดท้ายนั้นเป็นคำถามเบา ๆ โดยสมมุติว่าผมได้รับเลือกให้ทำงานในสหประชาชาติแล้ว โดยถามว่า ผมมีข้อจำกัดในการเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกบ้างหรือไม่ คำตอบของผมก็คือ ผมสามารถไปได้ทุกแห่งไม่ว่าร้อนหรือหนาว เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วไม่ว่าการไปนอนในป่าที่อุณหภูมิเท่าจุดเยือกแข็งหรือร้อนและแห้งแล้งเหมือนับป่าเมืองกาญจน์ยามหน้าร้อน โดยขอให้ทางสหประชาชาติสั่งและให้การสนับสนุนให้ผมมีความพร้อมในการปฏิบัติงานเป็นใช้ได้ คำถามต่อมาก็คือ ผมจะสามารถเดินทางไปทำงานได้เดือนไหน ผมตอบไปว่าหลังจากที่ผมทราบว่าผมได้รับการคัดเลือก ผมขอเวลาหนึ่งเดือนในการเตรียมตัว ซึ่งคำตอบนี้ผมมีเหตุผลว่าจริง ๆ แล้วสั่งผมวันนี้ให้ผมเดินทางวันพรุ่งนี้ก็ทำได้ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องหนังสือเดินทางเพราะตอนที่ไปติมอร์ครั้งแรกนั้น รู้ตัวตอนบ่ายโมง ให้เดินทางตีสี่ของอีกวันเรียกว่าให้เวลา 14 ชั่วโมงเท่านั้นก็เดินทางไปทำงานได้เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรมีเวลาในการดำเนินการทางด้านเอกสาร การส่งมอบงานประจำ การจัดการเรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัวไม่ว่าเสื้อผ้า ล่ำลาคนเคารพให้เรียบร้อย ซึ่งเวลาที่เหมาะสมก็ควรจะประมาณหนึ่งเดือน
สำหรับคำถามสุดท้ายเป็นคำถามแถมเนื่องจากคนที่ฟังอยู่ด้วยเขาอยากทราบเพิ่มเติมหลังจากฟังมาครึ่งชั่วโมง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นคนประเทศอะไรแต่คิดว่าไม่ใช่คนฝรั่งเพราะฟังสำเนียงแล้วไม่คุ้น โดยผมต้องมาฟังต่ออีกทอดหนึ่งจากหัวหน้าทีมที่สัมภาษณ์ เขาถามว่าจากการฟังแล้วเชื่อว่าผมสามารถพูดและฟังภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีแต่สงสัยว่าจะเขียนได้หรือไม่ ผมก็รีบตอบกลับไปเลยว่า เรื่องการเขียนของผมนั้นไม่ต้องเป็นห่วงผมเขียนได้แน่นอน เพราะการรายงานประจำวันตอนที่ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวที่ติมอร์ตะวันออก ผมก็รายงานเป็นภาษาอังกฤษทุกวันอยู่แล้ว แล้วก็สรุปประจำเดือนของผมทางกองบัญชาการใหญ่ ก็สำเนาแจกจ่ายให้แก่กองพลน้อยอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นตัวอย่างอีกด้วยแล้วก็ตอนเรียนหลักสูตรชั้นนายพันทหารราบที่สหรัฐอเมริกาก็เขียนคำสั่งยุทธการเองน่าจะได้สิบคำสั่งซึ่งครูผู้สอนก็ให้คะแนนดีแทบทุกครั้ง
หลังจากนั้นก็จบการสัมภาษณ์ หัวหน้าเขาก็ให้อีเมลแอดเดรสแก่ผมแล้วก็ตอบคำถามผมที่ถามไปบ้าง ว่าขบวนการคัดเลือกจะใช้เวลาประมาณ 6 -8 สัปดาห์แบบที่ผมเล่าแต่ต้น โดยที่ชื่อของผมนั้นอยู่ในบัญชีที่คัดเลือกมาแล้วโดยมีจำนวนที่เรียกว่าน้อยมาก ซึ่งสองสามวันต่อมาทราบข่าวเพิ่มเติมจากน้อง ๆ ว่า ผมเป็น 1 ใน 12 คน ที่เข้ารอบสัมภาษณ์ โดยจะคัดให้เหลือ 7 คน เพื่อบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งนายทหารฝ่ายแผน ของกรมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ สหประชาชาติ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งผลจะออกมาอย่างไรก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าไม่รู้ไปเรื่อย คงหมายความว่าไปหาอย่างอื่นทำไปก่อนน่าจะดีกว่านอนฝันกลางวันไปเรื่อย ๆ นะครับ
--------------------------------
Links ที่เกี่ยวข้อง
2. ทหารไทยกับสหประชาชาติ ตอนที่ 2 การสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานในตำแหน่งนายทหารฝ่ายแผน กรมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ สหประชาชาติพ,ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น