ในช่วงตั้งแต่ ต้นเดือนที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นช่วงที่ผมมีความรู้สึกที่บอกได้ยากว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากเป็นความรู้สึกที่มีความสุขลึก ๆ แล้วก็มีความเครียดอย่างสูงพอสมควร เนื่องจากผมได้รับการติดต่อสัมภาษณ์ข้ามทวีปจาก กรมปฏิบัติการสันติภาพ สหประชาชาติ ซึ่งที่ผ่านมานั้นผมได้ทำใจไปเรียบร้อยแล้วว่าคงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานที่หน่วยปัจจุบันให้ดีที่สุดหลังจากที่ได้สมัครแล้วก็ผ่านการสอบภาษาอังกฤษไปตั้งแต่เดือน มีนาคม ที่ผ่านมา เพราะว่าในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น แม้ว่าผมเองจะยังคงมีความหวังลึก ๆ ว่าจะมีโอกาสไปทำงานที่สหประชาชาติ นิวยอร์ก แต่ข่าวคราวที่เงียบหายไปโดยงานในหน้าที่ที่เข้ามาได้ตลอดเวลาทำให้ผมเองก็ลืมการสมัครไปทำงานไปได้เหมือนกัน แล้วก็ยังมีข่าวที่ทำให้ต้องทำใจก็คือ ข่าวการสมัครของคนที่มีเส้นมีสายในสหประชาชาติ หรือการที่เพื่อนบอกว่าสหประชาชาติเขามีอัตราส่วนของภูมิภาคต่าง ๆ ในการทำงานแล้วก็ตราบใดที่ยังมีคนไทยทำงานอยู่นั้นโอกาสที่คนใหม่จะเข้าไปคงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามผมเองก็ยังมีความหวังเล็ก ๆ อยู่ในใจเสมอ วิธีการที่ผมทำก็คือ การ ที่ผมนำเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ผมให้เบอร์กับสหประชาชาติในตอนสมัคร เพราะเคยทราบมาว่าถ้าเขาจะคัดเลือกใครเขาจะโทรศัพท์มาสัมภาษณ์แทนการเชิญไปสัมภาษณ์เพราะไม่คุ้มกับการเดินทาง ดังนั้นไม่ว่าจะไปไหนผมก็จะพยายามเอาโทรศัพท์ติดตัวไว้เกือบตลอดเวลาไม่ว่าจะเข้านอนหรือเวลาทำงาน แล้วก็เวลาที่จำเป็นต้องทิ้งโทรศัพท์ไว้ เมื่อไรที่ผมกลับมาที่โทรศัพท์ ผมก็จะดูที่หน้าจอโทรศัพท์ก่อนทำอย่างอื่นว่ามีเบอร์แปลก ๆ โทรมาหรือไม่
เวลาผ่านไปสองเดือนเต็ม ๆ ที่ผมเฝ้าคอย และแล้ววันนั้นวันที่ผมคงต้องจดจำอีกวันหนึ่งของชีวิตก็มาถึง วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2544 ตอนเย็นหลังจากเลิกงานประจำผมก็ขับรถไปรับลูกและภรรยาตามปกติ โดยอาทิตย์นั้นผมเดินทางกลับไปบ้านแม่ที่ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ถึงที่บ้านประมาณ สามทุ่มอาบน้ำอาบท่ากินข้าวมื้อมืดเสร็จก็เข้านอนโดยผมเองก็นอนอยู่ปลายเท้าของแม่เหมือนกับตอนที่ผมเล็ก ๆ แต่แตกต่างกันตรงที่ว่าตอนนี้มีคนมานอนเพิ่มในห้องนอนแม่ผมด้วยคือ ภรรยาและลูกผมอีกสองคน ปกติแล้วเวลากลับมาบ้านผมจะนอนเร็วกว่าปกติคือประมาณสามสี่ทุ่ม ซึ่งก่อนจะนอนก็มีน้องที่เคยคุยกันทาง ไอซีคิวโทรมาหาซึ่งผมเองก็บอกว่าเอาไว้คุยกันวันหลังก็แล้วกันเพราะไม่สะดวกคุย หลังจากนั้นก็เข้านอนจนหลับไป แล้วก็มาสะดุ้งตื่นอีกครั้งหนึ่งตอนประมาณ เที่ยงคืนเกือบครึ่ง เนื่องจากมีเสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังเรียกขึ้นมาข้างหู ผมเอื้อมมือหยิบขึ้นดูด้วยความงัวเงีย แล้วก็เห็นเบอร์ของน้องที่โทรมาตอนสามทุ่มโชว์ที่หน้าจอโทรศัพท์ ผมก็เลยกดปุ่มไม่รับโทรศัพท์ แล้วก็นอนต่อ ก็ไม่ทันได้หลับก็มีเสียงโทรเข้ามาอีกผมหยิบมาดูด้วยความรู้สึกที่เริ่มหงุดหงิดแต่ก็ไม่อยากเสียมารยาทบ่อยก็เลยกดรับ แล้วก็ต้องลุกพรวดขึ้นมาจากท่าที่นอนอยู่ หลังจากเสียงที่โทรมาพูดภาษาฝรั่งแล้วก็จับใจความได้ว่า เขาโทรมาจากสหประชาชาติที่ สหรัฐอเมริกา
ความรู้สึกของผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ผมเดินออกมาจากห้องมาที่กลางบ้านเสียงของผมเริ่มดังขึ้นด้วยอารามดีใจ พร้อมกับรู้สึกว่ากล้ามเนื้อตามร่างกายเริ่มสั่นแต่ก็ยังควบคุมเอาไว้ได้ ผู้หญิงที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่โทรมาก็ขอโทษยกใหญ่หลังจากที่ทราบว่าปลุกผมขึ้นมา ซึ่งผมก็บอกว่าอย่าได้คิดแบบนั้นการโทรมาครั้งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขเป็นอย่างมากดังนั้นจึงอย่าได้เกรงใจ จากนั้นเขาก็ได้นัดแนะวันเวลาในการให้สัมภาษณ์ในวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน ที่จะถึง เวลา สิบโมงเช้า ซึ่งผมเองก็สอบถามเขาให้มั่นใจว่าเวลาของเขานั้นตรงกับเวลา สามทุ่มของประเทศไทย เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด การคุยใช้เวลาประมาณห้านาทีก็เรียบร้อย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนั้นก็คือการนึกถึงคำทำนายของรุ่นพี่ที่เป็นนายทหารฝ่ายการข่าวที่ติมอร์ เมื่อปีที่แล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม แล้วก็เดือน กรกฎาคม แวบเข้ามาในสมอง เพราะพี่เขาเคยเอาวันเดือนปีเกิดที่ผมแทบจะไม่เคยเอาไปให้ใครดูมาก่อน มาคำนวณดูดวงชะตาของผมซึ่งพี่เขาเคยทำนายเอาไว้ว่า ในปีหน้า (ก็คือปีนี้นั่นแหละ) ดวงชะตาจะดีขึ้นมาก แต่ไม่รู้ว่าดียังไงเพราะตัวเลขที่เอาไปคำนวณนั้นพี่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากคนอื่น เนื่องจากของคนอื่นนั้นตัวเลขจะกระจายลงในช่องต่าง ๆ ที่แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ในวงกลมที่ท่านอาจจะเคยเห็นเป็นรูปวงกลมแล้วแบ่งออกเป็นช่อง ๆ เขาทายต่อไปอีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปีหน้านั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันข้องกับบางสิ่งบางอย่างที่มีเครือข่ายโยงใยซับซ้อนเป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือการเกี่ยวข้องดังกล่าวจะทำให้ได้เงินมาเป็นจำนวนมากจนเรียกได้ว่ารวยทีเดียว ซึ่งผมเองนั้นพื้นฐานเดิมไม่เชื่ออยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้ขัดคออะไร แล้วก็บอกว่าเรื่องที่จะเกี่ยวข้องกับเครือข่ายโยงใยซับซ้อนนั้น ที่นึกได้คงมีเพียงการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต หรือที่ผมทำโฮมเพจอยู่ แต่ไอ้เรื่องที่จะทำให้รวยนั้นยังมองไม่ออกเพราะที่ผ่านมามีแต่เสียเงินทั้งนั้น ไม่มีได้เงินเลย แถมยังมีคนหมั่นไส้ในบางครั้งอีกด้วย ส่วนเรื่องที่กลับมาประเทศไทยแล้วจะมีคนเชิญไปเป็นผู้พันนั้นก็ไม่มีวี่แววเลยว่าจะเป็นไปได้แล้วผมก็ลืมเรื่องดังกล่าวไปอย่างสนิท
จนคืนที่ผมได้รับโทรศัพท์นี่แหละทำให้ผมนึกถึงพี่คนนี้มาเป็นอย่างแรกว่าเอ มันเข้าไปใกล้มากที่เดียวนะกับคำทำนายเมื่อปีที่แล้วหัวใจผมเริ่มพองโตและอิ่มเอิบแม้ว่ายังไม่ได้มีอะไรทำให้มั่นใจได้ว่าคำทำนายจะเป็นจริงหรือผมจะได้รับการคัดเลือกไปทำงานที่สหประชาชาติ ผมเองตกอยู่ในห้วงของการตื่นตัวอีกครั้งแม้ว่าจะใกล้ตีหนึ่งแล้วแต่ตาผมมิได้แสดงอาการง่วงอีกเลย ตาผมยังลืมอยู่ในความมืด สมองคิดถึงเรื่องการให้สัมภาษณ์และการทำงานกับสหประชาชาติที่ผมอาจจะได้มีโอกาสในอนาคต ภรรยาผมตื่นขึ้นมาเดินผ่านผมไปด้วยความงง ๆ ผสมกับความหงุดหงิดที่คงนึกว่าผมโทรศัพท์หาใครดึก ๆ แล้วไม่ยอมเข้านอน ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้นอนได้สักพักก็ลุกขึ้นมาหาปากกากับกระดาษ ผมต้องจดเอาไว้ก่อนเพื่อเอาไว้ดูในวันพรุ่งนี้เพื่อเป็นการยืนยันว่าผมเองไม่ได้ฝันไป เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ที่ผมมักจะฝันอยู่เรื่อย ๆ โดยที่ตอนฝันผมมันจะแยกไม่ได้ว่าเป็นความฝัน ผมจดเอาไว้ว่า ผมไม่ได้ฝันไปจริง ๆ วันที่นัดการให้สัมภาษณ์คือวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน เวลาสามทุ่ม ในช่วงนี้ผมเองก็มีความลังเลขึ้นมาว่า เอจะมีใครแกล้งอำเราหรือเปล่าหนอ เพราะหมายเลขโทรศัพท์ก็เป็นหมายเลขของโทรศัพท์มือถือของไทยเอง แต่ก็ช่างมันเถอะถ้าจะมีคนมาอำก็ไม่รู้จะทำยังไง หลังจากนั้นผมก็นึกถึงเรื่องการให้สัมภาษณ์ การเตรียมตัวต่าง ๆ ว่าจะทำยังไง เพราะมีเวลาอีกสามวันเต็ม ๆ ทำอย่างไรจะให้การให้สัมภาษณ์ตอบได้ดีที่สุด จนเกือบตีสองผมจึงได้เข้านอนอีกครั้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนหลับก็คือการที่ผมเองฝันว่าผมได้ให้เขาสัมภาษณ์แล้ว และผลที่ออกมาไม่ผ่าน ในความฝันก็รู้สึกใจหาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ประมาณตีห้าผมก็รู้สึกตัวแต่ก็ดีใจที่รู้ว่าฝันไปในการให้สัมภาษณ์ แต่ที่รู้สึกระทึกก็คือผมฝันว่ามีคนโทรศัพท์มาเมื่อคืนหรือว่าเป็นเรื่องจริง ผมรีบไปค้นแฟ้มที่ผมจำได้ว่าจดข้อความไว้เมื่อตอนรับโทรศัพท์ผมค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยตรงที่ผมเจอเอกสารที่ผมเขียนไว้ ผมไม่ได้ฝันไปจริง ๆ จากนั้นผมก็ออกไปวิ่ง วันนั้นทั้งวันผมก็มานั่งคิดถึงคราวที่ผมให้สัมภาษณ์เรื่องการทำงานที่ติมอร์ออกทีวีและวิทยุ ว่าเราจะต้องคิดว่าเขาน่าจะถามอะไรและเตรียมคำตอบเอาไว้ก่อนเพราะถ้าเขาถามตอนนั้นแล้วตอบ คำตอบจะออกมาไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรเหมือนกับการที่เราจะเป็นครูสอนหนังสือแล้วไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไรแบบนั้น แต่ผมเองก็คิดไม่ออกเท่าไรนัก วันอาทิตย์ผมเลยบอกแม่ว่าขอกลับเร็วกว่าปกติหน่อยเพราะมีงานสำคัญรออยู่ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็แปลกดีที่อยู่ดีก็ถามว่าเรื่องที่สมัครไปทำงานกับฝรั่งที่เคยเล่าให้ฟังนานแล้วเป็นยังไงบ้าง ผมก็เลยเล่าให้ฟังเรื่องที่เขาโทรมานัดสัมภาษณ์ ซึ่งแม่ก็เห็นดีด้วยที่จะให้ผมไปถ้าเขาเรียกตัว ทำให้ผมรักแม่เพิ่มขึ้นมาอีก แม่ผมอายุ 74 ปีเท่ากับพ่อ แล้วก็อยู่กันสองคน ซึ่งยังคงทำงานเหมือนกับตอนที่ผมเป็นเด็ก ๆ แม่มักจะส่งเสริมให้ลูก ๆ ได้เจริญก้าวหน้าโดยที่ไม่เคยห่วงตนเอง พ่อกับแม่มักจะพูดเสมอว่าคนเราเมื่อถึงคราว ก็แสดงว่าเป็นกรรมที่ทำมา ลูก ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมเองได้ไปติมอร์มาเมื่อปีก่อนแล้วก็เคยคิดว่าไม่อยากอยู่ห่างพ่อแม่นาน ๆ แบบนั้นอีก แต่ถ้าครั้งนี้ได้ไปล่ะ เวลาและระยะทางมากกว่าที่เคยห่างทุกครั้งแน่ แต่ผมก็กลับมาคิดว่าเอาไว้ก่อนแล้วกันเพราะยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเอาหรือเปล่าแล้วก็ภรรยาพร้อมลูกอีกสองคน ในท้องอีกหนึ่งคนจะทำยังไงก็ไม่รู้
วันอาทิตย์หลังจากที่ผมกลับมาที่บ้านที่บางเขน สิ่งที่ต้องรีบทำก็คือการค้นหาข้อมูลของกรมปฏิบัติการสันติภาพแล้วก็สหประชาชาติเผื่อในวันสัมภาษณ์เขาอาจจะถาม ก็ได้ข้อมูลมาสี่สิบกว่าหน้า จากนั้นก็มาติดต่อเพื่อน ๆ ที่มีความคุ้นเคยกับฝรั่งเพื่อสอบถามคำแนะนำต่าง ๆ แต่ก็เหมือนแกล้งติดต่อใครไม่ได้เลยสักคนเดียว ทำอะไรไม่ได้ก็เลยกลับมานั่งเขียนว่าจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ในเมื่อไม่สามารถติดต่อใครได้ คืนนี้ก็นอนดึกหน่อยแล้วก็ตื่นเช้า วันจันทร์นี้เป็นวันที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำงานในหน้าที่เลยถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ซึ่งก็คือหน้าที่ในการเข้าเวรซึ่งตอนแรกคิดว่าจะเปลี่ยนแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนเวร ซึ่งปรากฏว่าเป็นผลดีเพราะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาทางธุรการอย่างอื่นในการเดินทางกลับบ้าน เพราะเมื่อถึงเวลาเย็นก็เลิกงานตามเวลา สี่โมงครึ่งแล้วก็ขึ้นมาที่ห้องเวรเลย อ้อตอนเช้าที่มาถึงที่ทำงานเจอน้องที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกด้วยกันก็ถามเขาว่าได้รับโทรศัพท์นัดสัมภาษณ์หรือยัง ซึ่งเขาบอกว่ายังผมก็เลยบอกว่าเขาโทรมาหาแล้วนะ ให้คอยเฝ้าโทรศัพท์ที่ให้เขาไปด้วย สำหรับคนอื่น ๆ ก็ยังไม่ได้บอกเพราะใจก็ยังกลัวหน้าแตกจากการไม่ผ่านการสัมภาษณ์ ช่วงเวลากลางวันก็เกือบไม่ได้ทำงานเลย เพราะเตรียมคำตอบที่เก็งว่าเขาจะถามแล้วก็อ่านข้อมูลที่ส่งให้เขาและข้อมูลที่เอามาจากอินเทอร์เน็ต พอตอนเย็นก็มาซ้อมพูดภาษาอังกฤษตามที่เพื่อนที่พึ่งติดต่อได้แนะนำอยู่คนเดียวในห้องเวรเกือบสองชั่วโมง พอเวลาประมาณหนึ่งทุ่มก็รีบทำงานของหน้าที่เวรคือการสรุปข่าวประจำวัน ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่ไม่มีอะไรยุ่งยากมากนักประมาณ สองทุ่มก็สรุปเสร็จ แล้วก็อาบน้ำเข้าส้วม ทำตัวให้สบาย จัดโต๊ะเตรียมเอกสารที่จะตอบ เตรียมโทรศัพท์มือถือพร้อมแฮนด์ฟรี เพื่อให้สะดวกในการโทรเพราะมือจะได้ว่างในการจดบันทึก
ที่สำคัญก็คือ การวานให้นายสิบช่วยรับโทรศัพท์แล้วก็รับหน้าเวลามีใครมาหา โดยห้ามเข้าโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นใคร เสร็จธุระเมื่อไรจะออกมาเอง ซึ่งเขาก็งง ๆ ว่าจะทำอะไรปานนั้น เมื่อเวลาสามทุ่มมาถึง เสียงโทรศัพท์เรียกก็ดังขึ้น เบอร์โทรที่โชว์ยังคงเป็นเบอร์ในประเทศไทย เพียงแต่ว่าเหมือนเบอร์สุดท้ายที่โทรเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก รีบรับก็ได้ยันเสียงของผู้หญิงฝรั่งคนเดิมที่โทรมานัด เมื่อทราบว่าเป็นผมเขาก็ส่งต่อให้กับคณะผู้สัมภาษณ์ ซึ่งหัวหน้าคณะเป็นพันเอก ของส่วนแผน ของกรมปฏิบัติการสันติภาพ สหประชาชาติ ชื่อ ฟิลิปป์ ซึ่งเขาได้แนะนำตัวพร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าคนที่มาฟังการสัมภาษณ์มีอยู่หลายคน จากนั้นก็เริ่มให้สัมภาษณ์ด้วยการถามคำถาม ซึ่งเท่าที่ผมจำได้ ผมก็เอามาลงไว้เผื่อจะมีประโยชน์บ้าง กับบางคนในอนาคต ซึ่งผมบันทึกการตอบของผมไปด้วยนะครับ แต่ก็ขอยกเอาไว้เขียนให้อ่านกันตอนหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ขอลุ้นการประกาศผลประมาณเดือนสิงหาคมก่อนนะครับ ว่าผมจะสมหวังหรือต้องกินแห้วเหมือนกับที่เคยกินบ่อย ๆ คอยติดตามตอนต่อไปนะครับ
--------------------------------
Links ที่เกี่ยวข้อง
2. ทหารไทยกับสหประชาชาติ ตอนที่ 2 การสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานในตำแหน่งนายทหารฝ่ายแผน กรมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ สหประชาชาติพ,ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น