03 กุมภาพันธ์ 2566

ไข่ขาว นักรบดำ (ทหารดอทคอม 29 มี.ค.55)

        29 มีนาคม 2505 วันนี้อาจจะไม่มีความหมายสำหรับคนส่วนใหญ่มากนัก แต่คงมีความมากสำหรับ "ไข่" เพื่อนร่วมตอนนักเรียนเตรียมทหารชั้น 1 ตอน 6 รุ่น 21 ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมมาในหลายเหตุการณ์ของชีวิต เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเขาเอง ไข่เป็นชื่อที่เพื่อน ๆ ในตอนตั้งฉายาให้กับเขา คงอาจจะเป็นเพราะว่าเขาชอบกินไข่เป็นอาหารโปรด หรือไม่ก็คงเพราะผิวเขาขาวดั่งไข่ปอก ไข่เป็นคนที่รักเพื่อนและสนิทกับหลาย ๆ คนในตอนเรียน โดยเฉพาะกับผมที่เป็นหัวหน้าตอนที่ต้องร่วมรับผิดแทบทุกครั้งที่ไข่ทำผิด(เวรจริง ๆ) ไข่มักส่งสายตาขอโทษให้ผมเสมอ เวลาที่หัวหน้าหมวดสั่งกอดคอกับไข่งอเข่าครึ่งนั่งครั้งแล้วครั้งเล่าในยามที่ไข่ทำอะไรเฟอะฟะและหัวหน้าหมวดสั่งให้ผมรับผิดชอบร่วมกันกับไข่ ในชีวิตจริงแม้ว่าไข่จะเป็นลูกนายทหารผู้ใหญ่แต่ก็ชอบทำตัวสบาย ๆ คบกับผมได้แม้ว่าผมจะเป็นลูกชาวบ้าน ไข่ชอบที่จะมาเที่ยวที่บ้านผมที่ท่ายางยามปิดเทอมเพื่อมาดูบรรยากาศบ้านนอกและลงอาบน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีหลังบ้านเกิดของผมที่ไข่ไม่ค่อยได้สัมผัสมาก่อน

        ไข่เลือกเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบกเช่นเดียวกับผม ในปีแรก ๆ ไข่อยู่คนละกองร้อยกับผมแต่ไข่ก็ยังคบหากับผมในช่วงระหว่างเรียนหนังสือและการฝึกภาคสนามยามใกล้ปิดการศึกษา ไข่มักจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผมเสมอยามว่าง แล้วเราก็มาสนิทสนมกับแบบปาท่องโก๋กันอีกครั้งในเทอมปลายปีการศึกษาชั้น 5 ปลายปีใกล้จบผมกับไข่มักไม่ไปไหนย้ายมาอาศัยนอนที่ห้องหัวกองร้อย พัน 3 เพื่อรอวันประดับยศเนื่องจากเราทั้งคู่ไม่มีแฟนให้ไปหาและไม่ค่อยชอบกลับบ้าน แต่ละวันกว่าเราจะตื่นกันก็บ่าย ๆ มาต้มน้ำกาไฟฟ้าใส่มาม่ากินกันตายเพราะไม่มีสิทธิ์ไปกินที่โรงเลี้ยงแล้ว พอตกค่ำก็มีเพื่อนสนิทอีกสองคนมาเพิ่มคือต้อกับอ้วน เราใช้เงินที่อดออมกันมาในการชวนกันออกไปท่องราตรี ไม่ว่าจะเป็นตลาดนานา เดอะพาเลซ สวีท รวมทั้งอ้วนมักชอบนำไปตรวจกิจการของโรงแรมรอบโรงเรียนและสอบถามสารทุกข์สุขดิบของน้อง ๆ ที่โรงแรมด้วยความเป็นห่วงเป็นใยตอนตีสองตีสามโดยที่ในกระเป๋าแต่ละคนแทบจะไม่มีสตังค์เหลือแล้วก่อนกลับเข้ามานอน บางโอกาสก็ไปชวนอาจารย์ที่สนิทกันมาร่วมร่ำสุราที่ท่านไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนเช่น แม่โขง หงส์ทอง ด้วยกันจนฟ้าใกล้สางก่อนกลับมานอน

        หลังจากประดับยศและเรียนหลักสูตรปฐมนิเทศที่ค่ายธนะรัชต์จบแล้ว เราสี่คนก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางตามความฝันและความเชื่อของตนเอง ผมสมัครเป็นผู้หมวดปืนเล็กที่บางเขนเพราะมีคนบอกว่าอยากโตต้องอยู่เมืองใหญ่ ไข่ไปเป็นผู้หมวดปืนเล็กที่ยะลาเพราะอยากจับโจรใต้ตามบิดา ต้อไปอยู่เชียงใหม่เพราะชอบบรรยากาศและคนเหนือ ส่วนอ้วนสมัครทำงานที่หน่วยแถวถนนสุโขทัยเพราะอยากทำงานในสิ่งที่ตนศรัทธา สามปีผ่านไปไข่ย้ายกลับมาเป็นนายทหารคนสนิทของผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยที่นครนายก แต่มีบ้านพักอยู่ที่บางเขน ผมเองก็กลับจากการไปเรียนหลักสูตรชั้นนายร้อยทหารราบจากสหรัฐมาทำหน้าที่นายทหารฝ่ายส่งกำลังบำรุงที่บางเขนอีกรอบ จึงทำไข่กลับมาเจอกับผมอีกครั้งเวลาติดตามผู้บัญชาการมา ในแต่ละวันหลังจากหมดงานหรือวันหยุดไข่มักมาอาศัยนอนที่บ้านพักเรือนไม้เก่าแก่ของผมที่เปรียบเสมือนบ้านพักชายโสดและที่พักพิงของเพื่อน ๆ ที่มาจากต่างจังหวัด กลางวันวันหยุดไข่จะชวนผมนั่งรถท่องเที่ยวจังหวัดใกล้ ๆ แล้วร้องเพลงกันลั่นรถพร้อมกับคนสนิทของไข่ นัยว่าเพื่อให้ทุกคนได้เห็นความเป็นสุภาพบุรุษของไข่ กลางคืนถ้าไม่มีภาระก็มักจะออกไปหาบรรยากาศสนุก ๆ ยามราตรีกันแบบเดียวกับตอนเป็นนักเรียนนายร้อย โดยผมมักจะโทรตามต้อให้ลงเวลาพักจากงานสนามลงมาจากเชียงใหม่เพื่อสมทบกันด้วยเสมอ

        เมื่อไข่ทำหน้าที่ครบกำหนดสองปี ไข่ก็ตัดสินใจกลับไปทำในสิ่งที่ตนเองชอบคือ การกลับไปกำหราบผู้ก่อการร้ายที่ยะลาด้วยการเป็นทหารพราน ผมเองช่วงนั้นต้องระเห็จไปเป็นอาจารย์ที่ค่ายธนะรัชต์ ปราณบุรี ตามที่สัญญาไว้กับโรงเรียนทหารราบ วันเวลามันก็เดินของมันไปและแล้วในบ่ายวันที่ 29 มีนาคม 2534 วันที่ไข่อายุครบ 29 ปีเต็ม ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคนสนิทมากที่สุดของไข่ว่า "พี่ไข่ เสียแล้ว" คำพูดสั้น ๆ แต่เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงกลางหน้าผากของผม ตัวผมเย็นชาพูดไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูก นอกจากคิดอยู่ในใจว่านี่ไม่ใช่ความจริง มันเป็นเพียงฝันร้ายของผมที่ผมมันฝันบ่อย ๆ เท่านั้น ผมพยายามปลุกตัวเองให้ตื่น แต่ผมไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้เพราะนี่คือความจริง ผมเสียเพื่อนที่ดีที่สุดของผมคนหนึ่งไปแล้วจริง ๆ

    ไข่ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่ลูกน้องขับระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมกับหน่วยเหนือซึ่งต้องเดินทางออกจากฐานตั้งแต่เช้ามืด ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่ารถที่ไข่นั่งหน้าคู่กับคนขับไปเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์แล้วไถลไปชนราวสะพาน ไข่ที่นั่งหลับอยู่หน้าอกกระแทกคอนโซลรถอย่างแรง แต่ไข่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันตนเอง ไข่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ออกมาช่วยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บร่วมเหตุการณ์และถามว่ามีใครเป็นอะไรมากไหม ซึ่งเป็นนิสัยของไข่ที่มักจะคิดถึงคนอื่นก่อนตนเองเสมอ แต่ไข่ยังไม่สามารถทำอะไรได้มาก ก็หมดสติเนื่องจากเลือดตกในจากการที่ปอดฉีกขาดอันเกิดการกระแทกอย่างแรงช่วงรถชนราวสะพาน ซึ่งตอนนั้นรถที่นั่งไปนั้นยังไม่มีเข็มขัดนิรภัย และกว่าที่จะมีใครมาช่วยทัน ไข่ก็สิ้นลมไปแล้ว

        หลังจากทราบข่าวผมลางานมาจากค่ายธนะรัชต์แล้วเดินทางมารับศพของไข่ที่เดินทางมาจากยะลาถึงวัดพระศรีมหาธาตุในตอนบ่าย ผมจับร่างของไข่ที่ไร้วิญญาณและอธิฐานให้ไข่ไปดี ผมส่งข่าวให้ต้อทราบ ต้อลางานมาจากเชียงใหม่ เราสองคนร่วมงานศพของไข่ตั้งแต่แรกจนวันสุดท้าย ต้อแต่งชุดขาวอ่านคำสดุดีความเสียสละของไข่ที่มีต่อประเทศชาติให้แก่ทุกคนได้ทราบ ไม่น่าเชื่อเลยที่ไข่ผู้ที่ไม่เคยเห็นแก่ตัว มีความตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยไม่ได้คิดถึงตนเอง จะต้องมาจากไปด้วยวัยเพียง 29 ปี ซึ่งมิใช่วัยอันควรและด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ซึ่งมิใช่การตายด้วยฝีมือข้าศึกตามที่เราเคยตั้งใจไว้หากว่าเราจะต้องตาย แต่ถึงอย่างใดความจริงก็คือ ไข่ได้จากผมและคนที่รักไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ

        จะเป็นด้วยผมคิดไปเองหรือสัญญาที่เราให้กันไว้ในฐานะเพื่อนที่ผ่านมาหรือไม่ ที่ว่าวันหนึ่งในอนาคตเมื่อเราใกล้เกษียณกัน เราสี่คน ไข่ ต้อ อ้วน และผม จะมารวมกลุ่มกันอีกครั้งเพื่อทำสิ่งที่เราเคยร่วมกันแต่ยังไม่สำเร็จตอนก่อนที่เราจะจบจากโรงเรียนนายร้อย บัดนี้ สัญญาที่เราสี่คนตั้งใจไว้คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว นับตั้งแต่วันที่ไข่ตาย ไข่มักเข้ามาในฝันของอยู่เป็นระยะ ๆ ซึ่งความคิดของผมในฝันนั้น ไข่ยังไม่ได้จากผมไปไหน ไข่ยังคงเป็นเพื่อนผมที่ไปไหนไปด้วยกัน ร่ำสุราด้วยกัน ร้องเพลงดังลั่นในรถคันเล็ก ๆ ด้วยกัน ผมพยายามถามไข่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ไข่ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่มีรอยยิ้มให้ผมเช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ผมคุ้นเคย แล้วผมก็ตื่นจากฝันมาลืมตาอยู่ในความมืดเพื่อบอกกับตนเองว่าไข่จากไปแล้วจริง ๆ

            แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีจนผมมีครอบครัวแล้ว ความฝันของผมก็ยังคงมีไข่เข้ามาเสมอ จน 8 ปีเต็มผ่านไป วันที่ 29 มีนาคม 2542 เป็นวันที่ภรรยาของผมคลอดน้องฟ้าลูกสาวคนที่สองที่หน้าตาของเธอกลมดังไข่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาไข่ก็ไม่เคยมาเข้าฝันผมอีกเลย ไข่คงไปดีตามที่ไข่ต้องการแล้ว ผมไม่ทราบว่าไข่จะยังคงคิดถึงผมหรือไม่ แต่ผมยังระลึกถึงไข่เสมอเมื่อถึงวันที่ 29 มีนาคมของทุกปี และผมจะตั้งจิตในวันนี้ว่าขอให้ไข่โชคดี และหากไข่ยังคงรับรู้ได้ ก็ขอให้ทราบว่า ไม่ว่าสถานะเราจะต่างกันเพียงใด ความเป็นเพื่อนของเราจะยังคงอยู่เช่นเดิมตลอดไป Happy Birthday มีความสุขมาก ๆ นะไข่เพื่อนรัก
   --------------------------------
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

การปฏิบัติงานในศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกกับระบบควบคุมบังคับบัญชา (ทหารดอทคอม 5 เม.ย.55)


        ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก หรือที่เรียกว่า ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกชื่อนี้เป็นชื่อที่มีพลัง น่าเกรงขาม ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกมีการตั้งอย่างเป็นทางการและจริงจังมาตั้งแต่ปี 2506 ที่สวนรื่นฤดี และได้ย้ายมาอยู่ที่ชั้น 5 อาคาร 1 กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปัจจุบัน

        ผมเองเคยมาที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกสวนรื่นฤดี ครั้งแรก เมื่อ ธันวาคม2534 โดยตอนนั้นยศร้อยเอกเป็นนายทหารคนสนิทผู้บัญชาการศูนย์การทหารราบ ติดตามท่านมาเพราะเสนาธิการทหารบก โทรศัพท์ตาม ผู้บัญชาการศูนย์การทหารราบให้มาชี้แจงเรื่องแผนการพัฒนา ศูนย์การทหารราบ ด่วน จึงทำให้ต้องยกเที่ยวบิน ของเครื่อง T-41 ที่บินตรวจพื้นที่ ศูนย์การทหารราบที่ถูกบุกรุกไปแล้วรอบหนึ่งของ ผู้บัญชาการศูนย์การทหารราบ และผมให้กับอาจารย์แผนกยุทธวิธีบินแทน


        วันนั้นจำเหตุการณ์ได้ดี เพราะขณะกำลังใช้โทรศัพท์สื่อสารทหารหน้าห้อง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก(เสนาธิการทหารบก ทำหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก) ในขณะนั้น โทรกลับไปตามข้อมูลที่ศูนย์การทหารราบ ตามที่ผู้บัญชาการศูนย์การทหารราบ สั่ง ยังไม่ทันได้ข้อมูลครบ สายโทรศัพท์ก็เงียบหายไปเฉย ๆ มาทราบสาเหตุอีกที่ก็พักใหญ่ว่า เครื่องบินจากศูนย์การบินทหารบกที่มีแผนจะนั่งในวันนี้กับผู้บัญชาการศูนย์การทหารราบ ซึ่งยกให้อาจารย์ยุทธวิธี ขึ้นแทนนั้น เครื่องขัดข้องตอนขึ้นจากสนามบินใน ศูนย์การทหารราบ ต้องบินย้อนกลับ แต่มายังไม่ถึงเครื่องก็ดับและตกลงบนถนนใน ศูนย์การทหารราบ และโดยเฉี่ยวชนกับเสาไฟฟ้าและโทรศัพท์ทำให้สายโทรศัพท์ขาดการติดต่อสื่อสาร และทำให้อาจารย์ 2 ท่านและนักบินอีก 2 นาย เสียชีวิตทั้งหมด

        ผ่านไปเกือบ 10 ปี หลังจากกลับจากติมอร์ตะวันออก เมื่อ สิงหาคม 2543 ผมก็ย้ายจากที่ทำงานจากบางเขนมาทำงานเป็น หัวหน้าแผนกที่ กองยุทธการ กรมยุทธการทหารบก และบรรจุอีกตำแหน่งหนึ่งในส่วนของห้องปฏิบัติการ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกที่ตอนนี้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้ย้ายมาอยู่ที่ถนนราชดำเนินนอกรวมกับ กองบัญชาการกองทัพบก ใหม่แล้ว ผมเองมีหน้าที่หลักในการดูแลหรืออยู่เบื้องหลังของห้องประชุมสำหรับ Morning Brief รวมทั้งการประชุมที่มีผลต่อการตัดสินใจสำคัญระดับกองทัพบกของ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ กองทัพบก หรือที่มาเรียกตอนหลัง ๆ ว่าห้อง War Room ทำหน้าที่นี้อยู่ได้สองปี ก็เดินทางไปทำงานที่สหรัฐและที่อื่น ๆ อีกเกือบ 5 ปี

        หลังจากเรียนจบวิทยาลัยการทัพบก เมื่อ กันยายน 2550 ก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่ ที่กรมยุทธการทหารบก (กลับมาอยู่ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกอยู่ 2 เดือน หลังจากกลับจากสหรัฐและรอไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อปี 48) ตำแหน่งใหม่ของผมคือทำหน้าที่เป็น รองผู้อำนวยการกองเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมยุทธการทหารบก และความรับผิดชอบหลักของผมในครั้งนี้ คือ การสร้างระบบควบคุมบังคับบัญชากองทัพบก หรือที่เรียกว่า Army C4I ให้เป็นรูปธรรม การมาของผมในครั้งนี้ได้รับความกรุณาจากพี่เป้งและการอนุมัติของท่านเจ้ากรมที่เคยเป็นหัวหน้าพาไปติมอร์ตะวันออกและ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนความรับผิดชอบของผมใน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกคือ การทำให้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกที่ พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน และกำลังพลในทุกระดับชั้นที่เกี่ยวข้องได้สร้างสมกันมาให้มีความทันสมัย ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้ง เอามาอวดต่อสายตาทุกคนให้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในกองทัพบกได้

        หลังจากศึกษาโครงสร้าง สำรวจทรัพยากรที่มี หาข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสารของสหรัฐ ทำการตั้งหลักหาแนวทางอยู่สัก 3 เดือน ก็สรุปได้ว่า ของสองสิ่งที่มีความเร่งด่วนที่ต้องเริ่มต้นให้ ระบบควบคุมบังคับบัญชากองทัพบกเป็นจริงได้ คือ การสร้าง/พัฒนากำลังพลให้มีขีดความสามารถด้าน Hi-Tech และการสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในทุกระดับชั้น เพื่อเป็นพลังผลักดันให้ระบบควบคุมบังคับบัญชาเดินไปได้

        ผมเองได้เก็งตัวบุคคลต่าง ๆ ในแต่ละกองใน กรมยุทธการทหารบก และ กรมฝ่ายอำนวยการและกรมฝ่ายยุทธบริการ รวมไปถึง กองกำลังป้องกันประเทศทั้ง 7 กองกำลัง และ อีก 5 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาค/หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และก้าวข้ามเส้นแดนของ กองทัพบก ไปพัฒนาความสัมพันธ์กับ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กรุงเทพมหานคร บริษัท ESRI และออกนอกประเทศไปยังกองทัพสหรัฐฯ เพื่อนำความรู้ความสามารถและยุทโธปกรณ์ที่มีความ Hi-Tech ของแต่ละหน่วยมาเสริมงานให้เกิดประโยชน์ซึ่งกันและกัน


        ผมเองและทีมงานที่จัดตั้งขึ้นจาก กองเทคโนโลยีและการสื่อสาร กรมยุทธการทหารบก ได้เดินสายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อปลุกเร้าผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของระบบควบคุมบังคับบัญชากองทัพบก และในส่วนของ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกก็ได้ใช้โอกาสของการฝึก การฝึกร่วม 51 เป็นจุดเริ่มต้นและเป็น Model ของทุกกรมฝ่ายอำนวยการ กิจการพิเศษ ยุทธบริการ และหัวใจสำคัญคือ ผู้บังคับบัญชาที่เป็นผู้ตัดสินใจให้ระบบควบคุมบังคับบัญชาเดินไปข้างหน้าได้ไกลขนาดไหน

        จากประสบการณ์การเข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกล์ดอยู่ 2 - 3 ครั้ง และภาพห้องปฏิบัติการจากหนังชุด 24 ก็เอามาถอดแบบเท่าที่ทรัพยากรมีและหามาได้ แล้วนำเอาโต๊ะเก้าอี้เดิมของห้อง ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกที่มีของใหม่มาแทนแล้ว สิ่งอุปกรณ์อื่น ๆ ของ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกและที่ กองเทคโนโลยีและการสื่อสาร กรมยุทธการทหารบก รวมทั้งการสนับสนุนจาก บริษัท MFEC ที่เป็นคู่ค้าของ กองทัพบก นำมาจัดตั้งห้องระบบควบคุมบังคับบัญชา

        วันเตรียมการก่อนฝึก การฝึกร่วม 51 จริง 26 พฤษภาคม51 ห้องระบบควบคุมบังคับบัญชาตามมีตามเกิดของผมและกำลังผมที่ผมไปอ้อนวอนและบังคับให้มาร่วมการฝึกพร้อมรับฟังการชี้แจงจากผมโดยมีท่าน จก.ยก. ยืนอยู่ท้ายห้องฟังไปด้วย โดยไม่พูดอะไร หลังจากผมชี้แจงจบ ผมกลับลงจาก ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกชั้น 5 ออกไปประสานงานกับหน่วยนอก กองบัญชาการกองทัพบก เพื่อลงรายละเอียดในการฝึก


        ก่อนกลับบ้านตอนเย็นผมกลับมาตรวจความพร้อมอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะฝึกจริงในวันรุ่งขึ้น ผมต้องตกใจแทบสิ้นสติ เพราะห้องที่ผมใช้เวลาคิดและเตรียมการมากว่าสองเดือน แม้ว่าจะเป็นไปแบบตามมีตามเกิดแต่ต้องความสามารถและความสัมพันธ์ตลอดจนกุศโลบายในทุกรูปแบบกับบุคคลจำนวนมากกว่าที่จะได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายได้อันตรทานหายไปจนหมดสิ้น คอมพิวเตอร์และสายแลนหลายสิบเส้นที่อุตส่าห์หามาและใช้เวลาลากกันเป็นวันเพื่อให้เชื่อมต่อกับ กองกำลังป้องกันชายแดน และ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาค ทั้ง 12 แห่งถูกถอดออกหมด จะมีหลงเหลือให้เห็นก็เป็นเพียงเศษกระดาษบนพื้นสามสี่แผ่น

        ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะมันไม่รู้ว่ามีอะไรไปจุดที่คอหอย แต่ก่อนที่ผมจะตั้งหลักพูดอะไรออกไปได้ ผมก็เหลือไปเห็นบริเวณที่เคยเป็นที่ว่างห่างออกไปจากที่เดิมสัก 40 เมตร เป็นภาพที่ต้องผมต้องตกตะลึงเป็นรอบสอง เพราะเป็นภาพที่ท่าน เจ้ากรมยุทธการทหารบก กำลังสาละวนบัญชาการด้วยตนเองในการจัดโต๊ะเก้าอี้ห้องระบบควบคุมบังคับบัญชาใหม่แทนจุดที่ผมดำเนินการเมื่อเช้านี้

        การสร้างภาพของเกิดพลังมหาศาลมากกว่าที่คาดและวาดหวังไว้ ผู้บังคับบัญชาและผู้คนมากมายที่ยืนเฝ้ามองผมอยู่ห่าง ๆ เพื่อดูว่าผมทำอะไรตลอดเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา บัดนี้ทุกคนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์และเข้าใจแล้ว หลังจากการฝึก การฝึกร่วม 51 จบ เจ้ากรมยุทธการทหารบก ได้อนุมัติเงินจำนวนหนึ่งและมอบหมายให้ พี่ตั๋งและพี่เป้ง 2 ผู้อำนวยการกองหลักของ กรมยุทธการทหารบก คิดและออกแบบห้องระบบควบคุมบังคับบัญชากองทัพบกขึ้นมาใหม่โดยมีผม น้อง ๆ และกำลังพลใน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกช่วยกันติดสิ่งละอันพันละน้อย จนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเปิดใช้งานในเวลาต่อมา

        ห้องดังกล่าวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมสัมผัสได้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนไม่เฉพาะ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ภาคภูมิใจของกำลังพลทั่วไปในกองทัพบก เพราะเป็นสถานที่ที่ใช้ในควบคุมการปฏิบัติการภารกิจของ ทบ.ที่สำคัญในหลายครั้งหลายหน และให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวมทั้งนายทหารระดับสูงของกองทัพอยู่เป็นประจำ จนเป็น ระเบียบปฏิบัติประจำของ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกไปแล้ว

        สำหรับห้องดังกล่าวทราบว่าตั้งแต่สร้างและเปิดใช้มาตั้งแต่ปี 2551 ทราบว่ายังไม่มีใครเสนอชื่อห้อง โดยยังคงเรียกชื่อว่า ห้อง C4I ซึ่งหากวันใดวันหนึ่งในอนาคตมีผู้ที่เห็นว่าควรมีการตั้งชื่อเฉพาะขึ้นมาผมก็อยากให้พิจารณาตั้งชื่อว่าห้อง "อักษรหัส" ไว้สักทางเลือกหนึ่งเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นหลังได้จดจำและระลึกถึงความเป็นมาสักหน่อยนะครับ
-------------------------------- 
พ.อ. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

02 กุมภาพันธ์ 2566

ทหารไทยกับสหประชาชาติ ตอนที่ 3 ทหารไทยในสำนักงานใหญ่ สหประชาชาติ นิวยอร์ก


                คุณจะคิดเหมือนผมไหมว่า เสน่ห์ของการมีชีวิตอยู่ในโลกของเราอย่างหนึ่งก็คือ การที่เราไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากเป็น แต่ได้เป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากเป็นแต่ไม่ได้เป็น ผมเองได้ผ่านการมีชีวิตแบบนั้นมาหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่ผมเป็นเด็กจำความได้ และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เป็นแบบนั้น ผมจำได้ดีว่าตี 4 ของวันที่ 5 มิถุนายน 2544 ผมตื่นขึ้นจากที่นอนนายทหารเวรยุทธการ ของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และไม่สามารถจะหลับตานอนต่อได้เหมือนเช่นทุกครั้ง เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมาผมได้รับการสอบสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์จากกรมปฏิบัติการสันติภาพ สหประชาชาติ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งความรู้สึกของผมหลังจากจบการให้สัมภาษณ์ผมมีความมั่นใจว่าผมจะต้องได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานที่นิวยอร์กแน่ ๆ เพราะผมรู้ดีว่าการตอบคำให้สัมภาษณ์ของผมเป็นคำตอบที่ผมเองคิดว่าเป็นคำตอบทำได้ดีมาก ด้วยความรู้สึกที่มั่นใจและไม่มีความง่วงผมจึงแต่งตัวแล้วคว้ารองเท้าวิ่งมาสวม จากนั้นก็ลงไปวิ่งรอบที่ตั้งของตึกกองบัญชาการกองทัพบกอยู่หลายรอบจนเกือบตีห้าจึงได้กลับขึ้นมา เพื่อเตรียมการบรรยายสรุปอย่างอิ่มเอิบใจ

                ตอนที่ผมให้สัมภาษณ์นั้น ก่อนจะวางหูผมถามว่า ผมจะทราบได้อย่างไรว่าผมจะได้รับการคัดเลือกหรือไม่เมื่อไร ซึ่งเขาก็ตอบว่า 6 - 8 สัปดาห์ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการติดต่อมาในช่วงนั้นก็หมายถึงว่าไม่ผ่านการคัดเลือก ซึ่งผมคำนวณแล้วก็ตกประมาณปลายกรกฎาคม หรือไม่เกินต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งผมก็เฝ้ารอการติดต่อด้วยการถือโทรศัพท์มือถือที่ผมให้เบอร์เขาไว้แนบกายตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืนแม้แต่เวลาเข้าห้องน้ำ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แวว ซึ่งก็ทำให้ความมั่นใจว่าผมจะต้องได้รับการคัดเลือกแน่ ๆ เริ่มลดความหวังดังกล่าวลงไปเรื่อย ๆ

            จนกลางเดือนสิงหาคม ก็มีการเสนอทุนปริญญาโทจากออสเตรเลียเสนอมา ซึ่งผมก็คิดว่าเพื่อเป็นการเพิ่มความรู้แล้วก็ถือโอกาสที่เคยตั้งใจว่าจะเรียนปริญญาโทตั้งแต่รับราชการใหม่ ๆ เมื่อปี 2528 แต่ไม่ได้เรียนเสียทีมาเรียนตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่ตอนไปสอนก็ไม่ได้หวังอะไรมากนักเพราะคิดว่าทำได้ไม่ดีเท่าไร แต่บังเอิญผู้ที่เข้าสอบพร้อมกันสอบได้ไม่ดีกว่าผมก็เลยได้รับการคัดเลือกให้ได้ทุน ซึ่งกำหนดการเดินทางในวันที่ 22 กันยายน 2544 คือประมาณ 1 เดือน แต่หลังจากที่ได้รับการคัดเลือกในขั้นต้นแล้วเขาก็ให้ไปที่สถานทูตออสเตรเลีย เพื่อรับการสัมภาษณ์ ซึ่งมีการถามถึงครอบครัวผมเองก็ตอบว่าตอนนี้ภรรยากำลังท้องและจะคลอดในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลังจากนั้นก็ดำเนินกรรมวิธีไปเรื่อย ๆ

            จนถึงประมาณต้นเดือน กันยายน ก็มีโทรศัพท์จากสถานทูตออสเตรเลียมาถึงผมแล้วก็ถามว่าผมคือคนที่ให้สัมภาษณ์ว่าภรรยาจะคลอดลูกในอีกสามเดือนข้างหน้าใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ เขาก็เลยบอกว่าทางสถานทูตมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าผมจะได้รับโอกาสให้เลื่อนการเดินทางไปอีก 5 เดือนเพื่อให้มีเวลาดูแลภรรยาและลูกที่เกิดใหม่ให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งผมก็ถามสวนกลับไปแทบจะทันทีว่า มันเรื่องอะไรกันเหรอถึงจะมาเลื่อนการเดินทางของผมเพราะการคลอดลูกของภรรยาผมไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะยอมรับได้ในการเลื่อนการเดินทาง ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ที่จริงแล้วมีปัญหาในเรื่องที่นั่งการศึกษาภาษาอังกฤษที่เมลเบิล์นก่อนการเรียนปริญญาโทที่แคนเบอร่า ที่ถูกลดลงจากนโยบายของประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนที่จะต้องถูกเลือกให้ไปที่หลังหรือไม่เรียนภาษา ซึ่งด้วยเหตุผมว่าภาษาของผมดีพอสมควรกับการที่จะได้อยู่ดำเนินการเรื่องลูกผมจึงถูกเลือกให้เดินทางไปทีหลัง และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ซึ่งผมก็ได้แต่บอกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับผมเลยแต่ก็ถือว่าโอเคสำหรับการที่ได้อยู่ดูแลวันที่ลูกเกิด


            แต่ในช่วงเวลาที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ นั้นผมเองก็ยังไม่หมดความหวังที่จะทำงานกับองค์การสหประชาชาติ ผมยังหวังว่าจะได้รับโทรศัพท์กลางดึกที่คนโทรมาจะพูดเป็นภาษาอังกฤษอยู่เสมอ และยังแวะเวียนไปถามที่ทำงานเก่าว่ามีจดหมายภาษาอังกฤษส่งมาหาผมหรือไม่แล้วในที่สุดกลางเดือนตุลาคม ผมก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากสหประชาชาติ ที่มาวางทิ้งไว้ที่หิ้งหน้าบ้านของผมที่บางเขน หลังจากที่ผมเห็นหลังจากการจอดรถผมรีบฉีกอ่านอย่างใจร้อน ด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเป็นข่าวดี แต่ก็มิได้สมหวังอย่างใจคิด จดหมายดังกล่าวเป็นจดหมายที่ส่งมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม แต่ไม่รู้ว่าไปตกค้างที่ใดอยู่สองเดือน ซึ่งในจดหมายเป็นการเขียนบอกว่าผมได้ผ่านการคัดเลือกในขั้นต้น ซึ่งถ้าผมได้รับเลือกจะมีการติดต่อมาทางเอกสารอีกครั้งและถ้าไม่มีการติดต่อมาก็ไม่ต้องพยายามติดต่อไปหาเขา ซึ่งผมก็ได้แต่นำเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อน ๆ ที่ทำงานฟังตอนกินข้าวกลางวัน ซึ่งเพื่อนผมคนหนึ่งก็บอกว่ายังดีที่เขาเขียนแบบนั้นถ้าเขาเขียนมาว่าให้รับเข้าทำงานโดยให้รายงานตัวเมื่อเดือนที่ผ่านมาจะช้ำใจหนัก ซึ่งผมก็ได้แต่หัวเราะตอบ แต่ก็ทำให้ผมคอยชำเรืองหิ้งหน้าบ้านและบริเวณรอบ ๆ อยู่เสมอเพราะเกรงว่าจะมีจดหมายจากสหประชาชาติมาแบบที่คุยกับเพื่อนแต่เลยเวลาไปแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววอะไร ผมเองก็เลยก้มหน้าก้มตาทำงานและทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวไปตามปกติ

            จนบ่ายวันที่ 21 พฤศจิกายน 2545 ขณะที่ผมยังคงสาละวนกับงานบนโต๊ะที่กองสุมบนโต๊ะตามปกติของหน่วย เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของผมก็ดังขึ้น แต่ในการดังครั้งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับทุกครั้ง ตั้งแต่ผมมานั่งทำงานที่โต๊ะตัวนี้มากว่าหนึ่งปี แม้ว่าการโทรครั้งนี้จะมาหน่วยงานที่ผมติดต่องานมาก่อนแล้ว นั่นคือกระทรวงกลาโหม เพราะครั้งนี้เป็นการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับตัวผมเองโดยตรง หลังจากที่ผมตอบยืนยันว่าผมคือ พันโทเบญจพล รังษีภาณุรัตน์ ตัวจริงเสียงจริงแล้ว อีกฝั่งหนึ่งของปลายสายก็บอกว่าขอแสดงความยินดีด้วย ที่ตอนนี้ผมได้รับการคัดเลือกจากสหประชาชาติให้ไปทำงานที่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งนายทหารฝ่ายแผน กรมปฏิบัติการสันติภาพ ตั้งแต่ 20 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นไป ณ วินาทีนั้นเป็นอีกครั้งหนึ่งที่โลกรอบตัวของผมหยุดนิ่งอีกครั้งหนึ่ง มันเหมือนกับมีพลังงานหรือดินระเบิดจำนวนมหาศาล อัดอยู่ในร่างกายของผม ที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกขณะ หัวใจผมอิ่มเอิบอย่างเหลือหลาย ผมเองได้ถามย้ำกลับไปว่าไม่ได้พูดเล่นนะครับ ซึ่งเขาก็บอกว่าเรื่องจริงแท้แน่นอน ซึ่งจะส่งโทรสารให้ผมได้ดำเนินกรรมวิธีในการกรอกข้อมูล ทำหนังสือให้กระทรวงกลาโหมอนุมัติตัวบุคคล และตรวจโรคตามที่กำหนดให้แล้วเสร็จ ภายใน วันที่ 30 พฤศจิกายน คืออีก 9 วัน และบอกให้ผมติดต่อกับเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศเพื่อประสานรายละเอียดเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด

                หลังจากที่ผมวางหูโทรศัพท์จากนายทหารจากกระทรวงกลาโหมแล้ว งานบนโต๊ะที่ผมสาละวนอยู่นั้นก็พลันหยุดลง ผมนั่งกอดอกแล้วก็พิงเก้าอี้สมองผมเริ่มปั่นติ้วและพลุ่งพล่าน ชีวิตของผมกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง บัดนี้ลูกผู้ชายจากบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีเส้น ไม่มีสาย มีแต่ความรู้ ความตั้งใจในการทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเสมอมา และมีพ่อที่เป็นชาวไร่กับแม่ที่แม่ค้าที่ได้พยายามส่งเสริมให้เรียนเท่าที่ความสามารถมีอยู่ ซึ่งได้รับเลือกให้ทำงานในตำแหน่งที่มีความสำคัญระดับโลก การทำงานที่เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ มันเป็นความภาคภูมิใจที่สุดจะกล่าวออกมาเป็นตัวอักษรใด ๆ ได้ จิตวิญญาณและความคิดของผมดำดิ่งกลับลงไปในอดีตในห้วงใกล้ ๆ ที่ผ่านมาและลึกลงไปในอดีตวัยเด็ก ผมนึกถึงคำของพ่อที่พูดกับผมบ่อยครั้งว่า "เกิดเป็นคนต้องซื่อสัตย์ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น การได้มาซึ่งทรัพย์สินจากการประพฤติไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเป็นสิ่งชั่วร้ายและห้ามทำเด็ดขาด" ซึ่งผมก็คิดอยู่ในใจว่า ถ้าไม่โกงแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างบ้านอยู่กับเขาได้เพราะทำงานมาจะ 20 ปีแล้วยังมีทรัพย์สินไม่ถึงห้าแสนบาท บ้านก็ยังอาศัยอยู่ของหลวง ผมคิดถึงสมัยเด็ก ๆ ตอนที่อยู่บ้านที่ท่ายาง เพชรบุรี ที่ร้องไห้กับแม่ในวันหยุดสำคัญ ๆ เพื่อขอพ่อแม่ให้พาไปเที่ยวทะเลที่ชะอำซึ่งห่างจากบ้านผมไป 25 กิโลเมตรเหมือนกับเพื่อน ๆ ข้างบ้านที่เขามีรถยนต์กัน ซึ่งแม่มักจะบอกว่า "บ้านเราไม่มีรถยนต์ที่จะพาไปเที่ยวหรอกแล้วก็ไม่มีเวลาเหลือพอที่จะพาไปได้ วันหยุดถ้าไม่ช่วยพ่อแม่ทำงานก็ให้อ่านหนังสือให้มากๆ ไว้ เรื่องไปเที่ยวถ้าเรียนเก่ง ๆ เวลาโตขึ้นก็ได้ไปเองแล้วก็ไปไกลมากกว่า ทะเลที่ชะอำเสียอีก" ซึ่งตอนนั้นผมเองก็คิดไม่ออกว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร

            ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวทะเลครั้งแรกในชีวิตผมดื่มด่ำไปกับความยิ่งใหญ่ของมัน ผมยืนอยู่ที่ชายหาดมองออกไปทางทะเลแล้วก็คิดว่าอีกฝั่งหนึ่งของทะเลมันจะเป็นอะไรซึ่งผมมีความตั้งใจว่าวันหนึ่งผมจะต้องเดินทางด้วยความสามารถของเด็กบ้านนอกของผมไปถึงให้ได้ ผมคิดถึงครูชะม้อย ครูคนแรกที่สอนให้ผมรู้จักภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ์ เพชรบุรี เมื่อปี 2515 ครูที่ทุกคนในห้องให้ความเคารพและยำเกรงเพราะท่านจะพยายามเคี่ยวเข็ญให้ทุกลูกศิษย์ทุกคนท่องจำคำศัพท์ให้ได้ ผมนึกถึงวันคืนและเงินทองจำนวนมากที่ผมได้ทุ่มเทให้การเรียนรู้และศึกษาคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในห้วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ผมจำภาพที่ผมเดินออกจากบ้านผู้บังคับบัญชาหลังจากที่ผมขอย้ายตัวเองออกจากตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันเพื่อจะเดินทางขึ้นเครื่องบินกองทัพอากาศไปติมอร์ตะวันออกเพื่อเตรียมปฏิบัติการทางทหารในอีก 6 ชั่วโมงข้างหน้าเมื่อ กันยายน 2542 ซึ่งหมายถึงผมได้ตัดสินใจที่จะละทิ้งสิ่งที่ผมมีความตั้งใจมากที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตไปนั่นคือการเป็นผู้บังคับกองพันทหารราบเพื่อเดินทางไปสู่สิ่งที่ไม่มีอนาคตใด ๆ นอกจากสิ่งที่เขาเรียกว่าอันตราย ซึ่งคนที่รู้จักกันได้ห้ามปรามและว่าผมเสียสติไปแล้วที่ทำแบบนั้น ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย เพราะในขณะนั้นลูกผมคนโตอายุ 2 ขวบ คนที่สองยังไม่ครบ 6 เดือนดี ผมนึกห้วงเวลาที่ผ่านมาในชีวิตการทำงานอย่างหนักตลอดช่วงชีวิตรับราชการและการเรียนตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยจนถึงการเรียนหลังจากจบทำงานแล้วที่ผมได้ทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งคนทั่วไปไม่เข้าใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร ผมนึกถึงรุ่นพี่ 2 คน ที่เป็นหมอดูให้ผมเมื่อ ปีสองปีที่ผ่านมาว่าผมจะดวงดี ได้ทำงานที่มีความโยงใยซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก แล้วก็คิดถึงครอบครัวของผมที่ผมได้ทิ้งให้ดูแลกันเองเมื่อช่วงที่ผมไปติมอร์ตะวันออกเกือบหนึ่งปี

                พลันห้วงความคิดผมก็พุ่งออกจากอดีตกลับมาคิดถึงเรื่องปัจจุบัน สิ่งแรกที่ผมทำคือ การโทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่ ภรรยา เพื่อให้ได้รับทราบเป็นคนแรก แล้วก็คิดถึงเรื่องที่จะต้องทำ เรื่องแรกที่สำคัญคือ ลูกคนที่สามที่จะเกิดในอีกห้าวันข้างหน้า ลูกที่มีผลทำให้ผมต้องเลื่อนการเดินทางไปเรียนปริญญาโทที่ออสเตรเลียเมื่อกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งผมจะต้องถือว่าเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมได้ไปทำงานที่สหประชาชาติในครั้งนี้ การยกเลิกการเรียนปริญญาโทที่ออสเตรเลีย ติดต่อกับกระทรวงต่างประเทศ ตรวจโรคเพื่อให้ได้ใบรับรองแพทย์ ทำหนังสืออนุมัติตัวบุคคลจากกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีเวลาทั้งหมดประมาณ 7 วันราชการ การติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติที่นิวยอร์ก แล้วก็ทำงานที่ผมรับผิดชอบตามปกติไม่ให้บกพร่อง ผมต้องกลับมาสู่ปัจจุบันที่เป็นจริงอีกครั้ง ผมต้องจัดการเรื่องทุกเรื่องให้ห้วงเวลาที่จำกัดอีกแล้ว ซึ่งผมใช้เวลาทั้งบ่ายและคืนนั้นอีกหนึ่งคืนในการกำหนดตารางการปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อดำเนินการในเวลาที่เหลือให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างลงตัว ซึ่งก็สามารถดำเนินการได้ครบทุกอย่างตามเวลาที่กำหนดโดยเสร็จสิ้นในบ่ายวันที่ 28 พฤศจิกายน ก่อนกำหนด 2 วัน หลังจากนั้นก็ไล่โทรขอบคุณคนที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ทำหน้าที่ในการตอบรับการแสดงความยินดีจากเพื่อน ๆ และคนที่รู้จัก จากนั้นก็เป็นการเตรียมการในเรื่องของอนาคตที่มีเวลาอีก เกือบแปดเดือนในการเพิ่มพูนความสามารถของผมให้สามารถทำงานได้คุ้มกับเงินเดือนที่เขาจะจ่ายรวมทั้งชื่อเสียงของประเทศชาติที่จะต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด


            ณ วันนี้ผมคงมีคำตอบที่ไม่มีเหตุผลแต่ดีที่สุดที่จะนำมาตอบตัวเองและทุกคนว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของผมในห้วงชีวิตที่ผ่านมา คำตอบนั้นก็คือ ฟ้าได้ลิขิตและดลใจให้ผมทำในสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่คนทั่วไปและตัวผมไม่เห็นด้วยเพราะไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงรออยู่ในอนาคต สิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจแม้ว่าตัวผมว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมานั้นมันคือ จิ๊กซอว์ตัวเล็ก ๆ แต่ละตัวที่ได้ถูกนำมารวมกันเป็นภาพที่สมบูรณ์แล้วในวันนี้ วันที่ทุกคนได้รับทราบว่าผมได้รับเลือกจากองค์การสหประชาชาติให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญและมีเกียรติมิใช่เพียงต่อตัวผม แต่ยังเป็นเกียรติต่อครอบครัวและวงศ์ตระกูลของผมที่ยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
-------------------------------- 

พ,ท. เบญจพล รังษีภาณุรัตน์

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ